ตึก ๆ
หลังจากผ่านเรื่องราวอันเปี่ยมล้นไปด้วยมิตรภาพอันแสนพิศวง ผมกับซิลเวียก็ออกมาเดินชมเมืองกันต่อ แน่นอนว่าบรรยากาศของพวกเราดูผ่อนคล้ายลงมาบ้าง…..มั้ง
“ซิลวี่….เราถูกเรียกว่าซิลวี่….อืออออ”
“อัล…. จะดีจริง ๆ เหรอ เรียกไปแบบนั้น ถะ…ถึงอัลจะบอกแบบนั้นก็เถอะ”
“ถ้าท่านพ่อรู้ เราจะโดนว่าไหมนะ”
ไม่เลยสักนิด!!!
ตามหลักการของนิยายหรืออนิเมแล้ว พอได้เป็นเพื่อนกัน ฉากถัดมาที่ควรเป็นมันต้องเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สองสาวสุขสันต์เดินจูงมือกันด้วยรอยยิ้มไม่ใช่เหรอ!!!
แล้วทำไม… แล้วทำไมซิลเวียถึงเป็นหนักกว่าเดิมล่ะเนี่ย!!!!
ใช่แล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่จับมือหัวเราะเลย…. ขนาดคุยกันยังแทบไม่มี เพราะยัยเด็กน้อยผมทองลุคคุณหนูผู้ฝึกมาอย่างดี กำลังเอาแต่พูดกับตัวเองรัว ๆ จนแม้แต่ผมยังไม่รู้จะแทรกอย่างไรเลยเนี่ยสิ
‘ข้าบอกแล้ว ว่ายิ่งเจ้าทำมันยิ่งไปกันใหญ่’
เอาเถอะ อย่างน้อยก็แก้ปัญหาไปได้หนึ่งอย่างนะ
‘เพิ่มมาอีกปัญหามากกว่าล่ะสิ’
พวกเราทั้งสองคนเดินมาเรื่อย ๆ จนเริ่มห่างจากใจกลางเมืองพอสมควร ทำให้ตึกรามบ้านช่องรวมถึงผู้คนเริ่มเบาบางลงไป
“เอ่อ…ซิลวี่คะ นี่เราจะไปไหนกันเหรอคะ?”
“คะ…คะ? อ่อ เราจะไปหาท่านอาจารย์กันค่ะท่านออ….อัล”
ซิลเวียยังคงพูดตะกุกตะกักบ้าง แต่ก็นะ อะไรที่มันฝืนตัวเองก็คงต้องใช้เวลาหน่อยในการปรับตัว ว่าแต่อาจารย์อย่างงั้นเหรอ?
ตามปรกติเหล่าขุนนางมักจะมีอาจารย์ไปสอนวิชาจำเป็นต่าง ๆ ถึงบ้านอยู่แล้ว ยิ่งเป็นลูกของดยุคด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าจะมีไปหาอาจารย์นอกสถานที่แบบนี้ คงเป็นวิชาที่ไม่มีสอนหรือไม่ก็ทางบ้านห้ามเรียนอย่างแน่นอน
“ท่านอาจารย์? เอ เป็นอาจารย์สอนวิชาอะไรให้กับซิลวี่อย่างงั้นเหรอคะ?”
“ถ้าบอกไปแล้ว อัลอย่าหัวเราะนะคะ”
“ไม่มีวันที่ฉันจะหัวเราะเพื่อนของตัวเองได้หรอกค่ะ การหัวเราะตัวตนของคนอื่นนับเป็นการผิดต่อพระเจ้าผู้สร้างเรานะคะ”
“เอ่อ….เป็นวิชาการต่อสู้คะ”
ซิลเวียหันกลับมาตอบผมด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความลังเลหรือความกังวลใจซ่อนอยู่ภายใน
อ่อ อย่างงี้นี่เอง… ก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้อยู่บ้าง
“แปลกสินะคะ ทั้ง ๆ ที่เป็นบุตรีแห่งตระกูล เดอ ฟรอเซีย แต่กลับอยากไปจับดาบเช่นนี้”
ก็นะ ในรูปแบบการปกครองยุคกลางนั้น การถือดาบ ถือโล่ออกไปสู้นั้นเป็นหน้าที่ของผู้ชาย การที่ผู้หญิงจะถือดาบออกไปนำรบนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก
แม้จะเป็นอาณาจักรราสเวนน่าที่ให้สิทธิ์ผู้หญิงมากขึ้นเนื่องจากนักบุญคนแรกของอาณาจักรเป็นผู้หญิง แต่ก็ใช่ว่าจะลบล้างความคิดที่มีมานานพวกนี้ได้ โดยเฉพาะชนชั้นขุนนางที่ขึ้นชื่อว่าเคร่งต่อวัฒนธรรมเก่าแก่มากที่สุด…แน่นอนว่านักบุญเป็นข้อยกเว้น
แต่ว่า… ความฝันที่จะฝึกจับดาบน่ะ มันไม่ใช่เรื่องตลกหรอกนะ
“ไม่หรอกค่ะ ที่จริงออกจะน่าชื่นชมด้วยซ้ำค่ะ”
นี่มันความใฝ่ฝันของผมเลยนะ เป็นนักบุญผู้ถือดาบนำหน้าเหล่าผู้ศรัทธาทั้งหลาย ฟาดฟันศัตรูผู้ชั่วช้าด้วยดาบศักดิ์ในมือและกลายเป็นตำนานที่กล่าวขานของเหล่าเด็ก ๆ และสาว ๆ ทั้งปวง
“การได้ถือดาบเพื่อพิทักษ์ผู้คนนั้น…มันเป็นสิ่งที่ช่างวิเศษและงดงามมากเลยค่ะ”
เท่จังเลยน้า~ อยากอยู่ในสภาพนั้นจังเลยนะ~
“เช่นนั้นเหรอคะ… สมกับเป็นท่านออโรร่าจริง ๆ ค่ะ”
น้ำเสียงของซิลเวียพูดออกมาด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่หาพบได้ยากนั้นถูกคลี่ออกมาอย่างใสซื่อและบริสุทธิ์ ผมที่เห็นเช่นนั้นก็ทำเพียงยิ้มตอบกลับไป
เด็ก ๆ นี่ดีจังเลยนะ อะไร ๆ ก็มีความสุขได้ ไม่เหมือนออโรร่าน้อยที่ต้องเข้าวัยผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร ตัวเรานี่มันช่างน่าสงสารเสียจริง ๆ
‘เจ้าพูดอย่างกับคนแก่ แต่เอาจริงการกระทำของเจ้านั้นช่างเด็กจริง ๆ’
ราสบ่นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประดุจครัวดุนักเรียน ก่อนที่มันจะใช้ขาเล็ก ๆ ของมันตบที่หัวของผมเบา ๆ จนเกิดละอองแสงเล็ก ๆ กระจายออกมา ทำเอาซิลเวียที่ยิ้มอยู่ต้องตาลุกวาว…
มุกนี้อีกแล้วเหรอ!!! ไอ้แสงของเจ้าราสที่ประกอบเอฟเฟคประดุจพระแม่ลงมาโปรดเนี่ย… ใช้งานได้ดีเกินเหตุไปแล้ว!!!
เพราะงั้นเจ้าราส นายช่วยเก็บไอ้ละอองแสงของนายไปได้ไหม? แค่นี้ชาวบ้านก็เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ขืนหนักกว่านี้ตัวตนผมมันจะกลายเป็นเทพลงมาจุติเอานะโว้ย!!!
‘ของแบบนี้มันก็เหมือนลมหายใจล่ะนะ ต่อให้อยากหยุดมันก็หยุดไม่ได้’
ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจจริง ๆ ….
ในเมื่อทำอะไรอื่นไม่ได้ ผมก็ได้แต่ยิ้มรับชะตากรรมของตัวเองที่อาจจะต้องยุ่งเหยิงกว่าเดิมจากพลังเอฟเฟคของนกน้อยประจำตัว ก่อนที่จะปล่อยให้เด็กสาวผมทองตรงหน้าลากร่างของผมไปต่อเรื่อย ๆ
พวกเราเดินกันมาได้ระยะหนึ่งก็ถึงชานเมือง โดยเดินหลบเข้าซอยไปเล็กน้อยในที่สุดก็มาถึงจุดหมายของพวกเราจนได้
ที่ตรงหน้าของพวกผมมันเป็นลานหญ้ากว้างขนาดใหญ่พอ ๆ กับสนามบาสโรงเรียน ลานนี้ถูกล้อมไปด้วยตึกรอบ ๆ ทำให้ยากที่ตามหาหากไม่รู้ตำแหน่ง ที่ฝั่งตรงข้ามมีบ้านไม้เล็กสูงสองชั้นตั้งอยู่
ที่บริเวณตรงลานมีเด็กประมาณสิบคนกำลังฝึกฟาดดาบไปมา เสียงของดาบที่แหวกอากาศดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ แต่หากให้เทียบกับเสียงหวดลมที่ผมได้ยินทุกวันสมัยอยู่มหาวิหารของพวกกลุ่มอัศวินแห่งศาสนจักร คงต้องบอกว่าเด็กพวกนี้ยังห่างชั้นอีกเยอะ
“อ้าวมาแล้วเหรอพี่สาว!!…. แล้วนั่นพี่สาวใครมาด้วยเหรอ?”
เสียงของเด็กคนหนึ่งร้องทักขึ้น เรียกให้ทุกสายตาหันมารวมกันที่พวกผมจุดเดียว แน่นอนด้วยสภาพปัจจุบันของผมที่ใส่ผ้าคลุมปิดมิดชิดนั้นย่อมต้องเรียกความสนใจของพวกเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี
“โหยยย ใส่ชุดคลุมแบบนี้ เป็นโจรเปล่าเนี่ย”
“ฮ่า ๆ ถ้าโจรตัวเล็กแค่นี้ล่ะก็ พวกเราปราบได้สบายมาก~”
พวกเด็กเปรต!
พวกเด็ก ๆ ที่มองผมตอนนี้ ต่างยกดาบโบกไปมาและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะมั่นใจซะราวกับวอนบาทาศักดิ์สิทธิ์ของออโรร่าน้อย แต่ผมก็ต้องข่มใจไว้ด้วยหลักการที่ผู้ใหญ่จะไม่ถือสาคำพูดของเด็ก…แค่บางส่วน
‘สรุปเจ้าก็อยากล้างแค้นนี่หว่า…. ท่องไว้หน่อยสิยัยหนูเผือก ว่าเจ้าคือนักบุญนะ นักบุญอะ’
ตอนนี้ปลอมตัวอยู่ ถือว่าข้อยกเว้นน่า!!!
‘นี่ตำแหน่งนักบุญนะเว้ย ไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนประจำ!!!’
โป้ก โป้ก
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ดำเนินแผนการแกล้งเด็กสไตล์ ออโรร่า ดาบไม้ก็ถูกเคาะไปที่ศีรษะของเด็กเปรตทั้งสอง ซึ่งคนทำก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นซิลเวียนั่นเอง
“โอ้ย เบา ๆ หน่อยสิพี่สาว พวกผมแค่ล้อเล่นเองงงง”
เด็กทั้งสองต่างเอามือกุมหัวของตัวเอง ดูท่าซิลเวียจะไม่ได้พยายามเบามือแม้แต่น้อย…. ว่าแต่ไปหยิบดาบไม้มาตอนไหนนั่น
“คน ๆ นี้คือเพื่อนของพี่เอง แล้วก็เป็นคนสำคัญมาก ๆ เพราะฉะนั้นพูดอะไรก็ระวังหน่อยนะ มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องแย่ ๆ กับพวกเธอได้นะ”
แค่นั้นล่ะ เด็ก ๆ ทุกคนต่างมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ตาของพวกเขาเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น พร้อมกันก็ทำเสียง “ฮูววววว” กันออกมาอย่างกับวงผสานเสียง
……
ผมเป็นลูกสาวเจ้าพ่อเหรอ?
นั่นคือความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาในหัวของผมอย่างทันทีทันใด และด้วยคำพูดนั้นก็ทำเอาผมเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาและมองไปที่ซิลเวียอย่างหวาดระแวง
งานงอกแล้ว!
ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าแม่หล่อนพูดด้วยความหวังดี เพราะหากมองในแง่มุมที่ผมเป็นนักบุญแล้วนั้น การมาพูดอะไรที่ไม่สมควรก็ประดุจท้าทายพระเจ้าและการลงทัณฑ์ย่อมตามมาแน่ ต่อให้ไม่ตั้งใจก็ตาม…
แน่นอนว่าตามความเชื่อของคนในประเทศนี้ย่อมต้องคิดมาแบบนั้น ซึ่งซิลเวียที่รู้ความจริงข้อนั้นย่อมต้องพูดห้ามพวกเด็ก ๆ แน่นอนแต่จะบอกตรง ๆ แผนพวกเราก็แตก
เพราะฉะนั้น นักบุญจึงเท่ากับคนสำคัญ พูดจาอะไรก็ระวังหน่อยคือการรู้จักกาลเทศะ และเกิดเรื่องแย่ ๆ คงหมายถึงการลงทัณฑ์จากพระเจ้า…. แต่ว่านะ… แต่ว่า….
แต่ว่าอะไรบันดาลให้สหายซิลเวียพูดเช่นนั้นกันครับ!!!
ลองมามองมุมคนที่ไม่รู้ว่าผมเป็นนักบุญดูสิ!!!
สาวน้อยคนสำคัญที่บวกกับการมีคนคุ้มกันประจำตัว แถมยังใส่ผ้าคลุมปิดมิดชิด = ลูกสาวของผู้มีอิทธิพล
พูดจาอะไรก็ระวังหน่อย = การข่มขู่จากผู้คุ้มกันของลูกผู้มีอิทธิพล
จะเกิดเรื่องแย่ ๆ = พวกเอ็งเตรียมโดนสั่งเก็บแน่!!!
ดังนั้นหากรวมประโยคทั้งหมดหลังผ่านการแปลของผมมาแล้ว สิ่งที่ซิลเวียพูดออกมานั้น สำหรับคนภายนอกที่ไม่รู้เรื่องตัวผมจะได้ว่า
‘เฮ้ย พวกเอ็งบังอาจมาพูดจาดูหมิ่นคุณหนูแบบนี้ เดี๋ยวก็จับอุ้มฆ่าเสียหรอก!!!’
…..
“โหววว เธอคนนั้นเป็นลูกขุนนางอย่างงั้นเหรอพี่สาว ว้าววว”
“นี่พวกผมจะโดนสั่งเก็บไหมครับ!!”
“นี่ ๆ เธอเป็นลูกขุนนางตระกุลไหนเหรอ”
แน่นอนว่าเหล่าเด็ก ๆ หาได้กลัวคำขู่สักนิด พวกเขายิ่งราวกับเห็นของแปลกใหม่ จึงรีบวิ่งกรูกันเข้ามารุมล้อมตัวผมก่อนจะรุมยิงคำถาม ทำเอาซิลเวียแอบเหวอไปชั่วขณะ
“เอ่อก็แค่คนธรรมดาที่แพ้แสงเองค่ะ”
“แต่มีพี่สาวเป็นคนคุ้มกันด้วยนะ”
แน่นอนว่าชั่วโมงบินการเจอเหตุไม่คาดฝันของผมกับซิลเวียนั้นช่างต่างราวฟ้ากับเหว ผมจึงสามารถสวนตอบกลับไปได้อย่างสบาย ๆ
“พวกเราเป็นเพื่อนกันค่ะ เพื่อนย่อมปกป้องเพื่อนค่ะ”
“ไม่เคยเห็นพี่สาวพาเพื่อนมาก่อนเลย จนนึกว่าไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากพวกเราแล้วนะเนี่ย”
โห นี่เหรอปาก…..พูดขนาดนี้นี่ เอามีดมาเสียบซิลเวียเลยดีกว่ามั้ง
ผมเหลือบมองไปที่ซิลเวีย แต่เธอก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอื่นใดนอกจากมองมาที่ผมอย่างกังวล ๆ พร้อมพยายามห้ามเหล่าเด็ก ๆ ไม่ให้มาดึงผ้าของผมออก
เห็นแบบนั้นผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นี่โชคยังดีนะที่พูดกับเด็ก ๆ ถ้าพูดกับผู้ใหญ่ที่เข้าใจความล่ะก็ มิวายได้เจอเรื่องซวยแน่นอน
“ว่าแต่ที่แห่งนี้.. สถานที่ฝึกดาบของซิลวี่งั้นเหรอ?”
ผมที่เห็นซิลเวียดูกังวล ๆ ก็เลยทักเรียกสติของเธอไป ทำเอาเธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะรีบพยักหน้าหงึก ๆ ให้
“ชะ..ใช่ค่ะ เนื่องจากต้องแอบทำไม่ให้ท่านพ่อรู้จึงแอบมาฝึกดาบกับพวกเขาแล้วก็ท่านอาจารย์ในที่แห่งนี้นั่นล่ะค่ะ”
โห น่าสนใจใช้ได้เลยนี่นา… สถานที่ฝึกดาบลับอย่างงั้นเหรอทำเอาคิดถึงสมัยอยู่กับคุณพ่อที่บ้านเลยนะ
“ถ้างั้นวันนี้ขอฉันร่วมด้วยคนนะคะ”
พอคิดแบบนี้แล้วผมก็เกิดอาการคันมือเดินไปหยิบดาบไม้ที่วางอยู่ตรงข้างกำแพงขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าทำไม น้ำหนักของมันจึงมากกว่าดาบไม้ปกติที่ผมเคยใช้อยู่ที่บ้าน ทำไมแค่จะยกขึ้นมือก็รู้สึกมือมันเกร็ง ๆ กันนะ?
“เอ่อ…. อัลจะมาร่วมฝึกเหรอคะ? จะดีเหรอคะ!”
ซิลเวียตอบกลับมาอย่างกังวลส่วนเด็กพวกนั้นทันทีที่เห็นผมยกดาบก็พลางกันหัวเราะออกมาแล้วพูดแซวกันไม่หยุด
“เพื่อนพี่สาวถือดาบแบบนั้นจะไหวเหรอ? มือสั่นหมดแล้วนะ”
“นั่นสิ ๆ แขนบางแบบนั้นจะมีแรงยกดาบไหวเหรอ?”
ต้องขอโทษด้วยนะที่ผมมันไร้เรี่ยวแรงน่ะ!!! ใครใช้ให้วัน ๆ ได้แต่สวดมนต์กับทำวัดเช้าเย็นและเรียนหนังสือจน และก็กิน ๆ นอน ๆ จนไม่ได้ออกกำลังกายกันล่ะ!!!
คำพูดของเจ้าพวกเด็กเปรตยิงเข้าใส่ผมอย่างไม่หยุดหย่อน ทำเอาคิ้วของผมเริ่มกระตุกขึ้นมาเรื่อย ๆ ซิลเวียที่เห็นแบบนั้นก็พยายามที่จะเข้าไปห้ามปรามเด็กพวกนั้นแต่ก็หยุดลงเมื่อมีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“อ้าว ๆ ตรงนั้นทำอะไรกันอยู่น่ะ ยัยหนู พาเพื่อนใหม่มางั้นเหรอ?”
เสียงผู้ชายดังขึ้นมาจากทางบ้าน เรียกให้ผมละความสนใจจากพวกเด็กเปรตและหันไปทางต้นเสียง
ร่างที่มาของเสียงนั้นเป็นร่างของชายวัยกลางคน เขามีร่างกายสูงใหญ่กล้ามเป็นมัด ๆ ผมสีทองสลับสีขาวบ่งบอกอายุที่ผ่านมาอย่างเนิ่นนานของเขาว่าใกล้เข้าวัยชราเต็มทน
แต่สำหรับผม คงไม่มีอะไรที่เด่นมากเท่ากับแผลเป็นขนาดใหญ่ที่บริเวณใบหน้าของเขา มันเป็นแผลของกรงเล็บสัตว์ขนาดใหญ่ที่ตัดแนวเฉียงลงมาตั้งแต่ศีรษะจนถึงกราม บ่งบอกถึงความโหดร้ายที่ชายคนนี้เจอได้เป็นอย่างดี
ซิลเวียเมื่อเห็นชายคนนั้นโผล่ตัวมาก็รีบหันไปโค้งให้อย่างรวดเร็วเป็นการทำความเคารพ ส่วนผมที่เห็นแบบนี้ย่อมเดาได้ถึงตัวตนของคน ๆ นี้ได้
นี่สินะ ท่านอาจารย์ของซิลเวีย
“ค่ะ นี่เพื่อนของฉัน….. อัล ค่ะ”
ท่านอาจารย์หรี่ตามองผมอย่างถี่ถ้วน พร้อมกันมือของเขาก็ยกขึ้นมาลูบที่คางแบบที่พวกนักประเมินทำกันเวลาใช้ความคิด หากให้ผมเดาเขาคงกำลังตรวจสอบตัวผมซึ่งลูกศิษย์ของเขาพามาแน่นอน
หึ ๆ จะมาประเมินฝีมือของออโรร่าน้อยอย่างงั้นเหรอ เอาเลยสิ รู้ไหมว่าออโรร่าผู้นี้นั้นได้รับการฝึกสอนเป็นอย่างดีมาจากคุณพ่อผู้ซึ่งเป็นนักดาบในตำนาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาจะได้เห็นนั้นคือมาดของออโรร่าผู้แข็งแกร่ง
ไม่รอช้า ผมทำการจัดท่าตัวเองให้เหยียดตรง ปรับระดับเท้าให้คงที่แบบที่คุณพ่อสอนให้ทำ ใช่ ออโรร่าผู้ยืนหยัดนิ่งดุจดั่งหินผาอันยิ่งใหญ่ เพียงแค่มองก็ต้องหวั่นเกรง!!!
‘โห ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าเพี้ยน ๆ แบบนั้นแต่ก็มีทีเด็ดซ่อนอยู่สินะ แบบนี้ข้าค่อยวางใจหน่อย!’
ราสที่ได้ยินผมคิดออกมาแบบนั้น มันก็ขยับกระพือปีกแล้วร้องออกมาอย่างดีใจราวกับสิ่งที่มันได้ยินนั้นเป็นข้อดีแรกที่มันได้ยินจากผม… ให้ตายสิ ผมน่ะมีข้อดีเยอะแยะจะตายนะ!!!
ผมรีบตั้งท่าตามภาพที่นึกได้จากที่คุณพ่อสอนมา หลังตรงขาแยกออกเล็กน้อย แล้วเอ่อ…. อ่อ ปรับตำแหน่งมือให้เหมาะสม แค่นี้เราก็จะได้ท่ายืนสุดเท่ เอาสิ คุณครูของซิลเวีย ยกย่องผมให้ลูกศิษย์คุณดูเลย!!!
‘ไหนขอดูหน่อยสิ….. เฮ้ย!!!’
อาจารย์ของซิลเวียจ้องมองมาที่ผมพักหนึ่ง และเมื่อเขาเห็นผมเริ่มปรับท่าทางเขานั้นก็ยิ่งหรี่ตาเล็กลงเรื่อย ๆ แน่นอนว่าจะต้องทึ่งในการตั้งท่าของผมเป็นแน่แท่ และสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำก็หนีพ้นไปไม่ได้นอกจากกล่าวชม
“นี่เจ้าพาใครมาเนี่ยยัยหนู ดูไง ๆ ก็ไม่เหมือนคนที่จะจับดาบได้เลยนะ”
‘ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่แล้วกันนะ….’
กรี๊ดดดดด
ได้ยินแค่นั้นล่ะผมแทบเกือบหน้าคว่ำพร้อมกรีดร้องออกมา เพราะคำพูดที่อาจารย์ของซิลเวียนั้นช่างโหดร้ายประดุจเปิดประตูห้องแล้วตะโกนด่าอัดหน้า
ทำไมกันล่ะ ทำไม ก็ผมทำท่าตามที่คุณพ่อบอกหมดแล้วนี่นา! แล้วไหงถึงโดนตบกลับมาแบบนั้นกันเล่า ราส นายก็เห็นไหม เห็นถึงท่าอันยิ่งใหญ่ของผมน่ะ
‘ท่าอันยิ่งใหญ่เรอะ…. ถ้าให้เรียกว่าท่า “หมาหงอย” ก็เป็นท่าสั่นที่ยิ่งใหญ่ดี’
ว่าไงนะ!!!
ผมได้ยินมันพูดแบบนั้นก็อยากสวนกลับไป แต่ไม่ทันจะได้สวนอะไร อาจารย์ของซิลเวียก็เล่นจัดสวนผมมาเต็ม ๆ คราวนี้ไม่ใช่แค่เปิดประตูห้อง แต่ถึงระดับขั้นลากไปตบกลางสี่แยก!!!
“เจ้าดูสิ แค่ท่ายืนมองก็รู้แล้ว หลังที่โอนแอนประดุจไม้กำลังถูกโค่น มือก็เล็กไร้เรี่ยวแรงสั่นหงิก ๆ ราวลูกหมา และไหนจะยังขาที่ตั้งท่ายังกับคนลื่นล้มนั่นอีก…. อย่าว่าแต่จับดาบเลยข้าว่าแค่เจอเด็กพวกนั้นสะกิดก็ล้มหน้าหงายแล้วล่ะ”
นี่ออโรร่าน้อยหรือลูกกระจ๊อก เหตุฉะไหนท่านครูถึงได้กล่าวว่าร้ายผมได้ขนาดนั้น!!! แค่สะกิดก็ล้มงั้นเหรอ ถึงร่างของผมมันจะเป็นเด็กสาวน้อยไร้แรงแต่ถึงขั้นบอกว่าเด็กเปรตพวกนั้นตบผมหัวทิ่มได้นี่…. เอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า!!!
‘แต่ข้าว่าเขาพูดถูกนะ ขนาดข้าเองยังรู้สึกเสียใจที่ต้องมาเห็นท่าอะไรแบบนี้เลย’
โหดร้าย!!! สหายผมมันย้ายฝั่งทิ้งผมให้อยู่เดียวดายคนเดียวซะแล้ว… ก็ได้ ถ้าหากจะว่าอย่างงั้นล่ะก็… ผมจะจัดการปัญหานี้เอง!!!
ผมรีบเปลี่ยนท่าตัวเองให้กลับมาอยู่ในท่าปรกติ เพราะหากขืนทำต่อไป มิวายคงได้ขายหน้ากว่าเดิม ดังนั้นที่ผมต้องทำต่อไปก็คือแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของผม
“ต้องขออภัยด้วยนะคะ แต่ถ้าว่าเช่นนั้นแล้วล่ะก็…”
“ท่านอาจารย์คะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ว่าระวังคำพูดหน่อยนะคะ มิเช่นนั้นท่านอาจจะมีปัญหาได้ค่ะ”
เอาอีกแล้วเหรอ!
ผมยังไม่ทันได้พูดจบ ซิลเวียก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยประโยคเดิมอันแสนคุ้นเคย และด้วยประโยคนั้นเองทำเอาผมแทบตาถลนเหลือบมองเธอไปด้วยความ…ช็อค
เอาอีกแล้วเหรอ!!!
“หือ?”
ทันทีที่ได้ยินประโยคสุดแสนจะข่มขู่ของลูกศิษย์ตัวเอง ก็ทำเอาท่านอาจารย์แกชะงักไปครู่นึงก่อนจะหรี่ตามองมาที่ผมอีกครั้ง และคราวนี้ แววตาของแกเปลี่ยนไปเป็นมองอย่างสงสัยแทน…….
มันก็แน่นอนอยู่แล้วสิ!!! เมื่อครู่นี่ผมบอกว่าโชคดีที่คนเจอประโยคแสนจะชวนเข้าใจผิดของซิลเวียนั้นเป็นพวกเด็กที่ไม่รู้ความ แต่ว่านะ…..
คนรู้ความมันโผล่มาแล้ว!!!
งานงอกแล้วไง อีแบบนี้คุณลุงแกจะคิดว่าผมเป็นใครไปแล้วเนี่ย โอ้ย ๆ ซิลเวีย! เหตุใดถึงต้องทำให้เรื่องมันยุ่งด้วย
“เพิ่งเคยเห็นเจ้าออกอาการเช่นนี้ครั้งแรก ช่าง…น่าแปลกใจเสียจริง”
น้ำเสียงที่ล้นไปด้วยความสงสัยและความไม่ไว้ใจถูกส่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด อาจารย์ของซิลเวียไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากำลังเริ่มสงสัยในตัวตนของผม และมันน่าจะเป็นการสงสัยในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ต้องรีบหาข้อแก้ตัว!
“ค่ะ การว่ากล่าวอาจารย์คือสิ่งที่ลูกศิษย์มิควรทำ แต่หากข้าไม่บอกท่านแล้ว ท่านอาจารย์อาจจะต้องเจอกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ”
เฮ้ย!!! ใจเย็นซิลเวีย!
ผมที่พยายามหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองก็ถึงกับเหวออีกรอบเมื่อซิลเวียได้พูดประโยคประดุจข่มขู่อาจารย์
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มันจำเป็นจริง ๆ ค่ะ”
สติ ซิลเวีย! สติ! รู้ไหมว่าตอนนี้หล่อนกำลังจุดไฟกองโตมาเผาผมเต็ม ๆ เลยนะ
“แล้วหากข้ายังพูดต่อไปล่ะ”
แล้วลุงจะไปราดน้ำมันลงกองไฟทำไมครับ!!! นี่กลัวลูกศิษย์เหงามากใช่ไหม ถึงเล่นชงมาแบบนี้น่ะ ไอ้คุณท่านอาจารย์ที่เคารพ
ไม่ได้การ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ตัวตนของผมมันชักจะกลายเป็นอะไรที่ชั่วร้ายแทนที่จะเป็นนักบุญน้อยผู้น่ารัก และหากเป็นแบบนั้น… หากตัวตนของผมกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายในสายตาของเขาแล้วล่ะก็….
เขาจะต้องคิดว่าผมเป็นมารร้ายที่ล่อลวงลูกศิษย์ เป็นบ่วงที่เหนี่ยวรั้งลูกศิษย์ไว้ไม่ให้ก้าวหน้า แน่นอน ผมที่ดูหนังจีนกำลังภายในมาเป็นอย่างดี ย่อมคิดออกว่าผลลัพธ์มันจะออกมาแบบไหน
‘ไม่นึกเลยว่าเจ้าคบกับคนชั่วช้าเช่นนี้…. ในฐานะอาจารย์ข้าต้องกำจัดมารร้ายที่ล่อลวงศิษย์ข้าเสีย!!!’
ฉึก
ภาพของท่านอาจารย์ที่เหินเวหา หมุนควงสว่างสิบรอบก่อนเอาดาบมาทะลวงไส้ออโรร่าน้อยแวบผ่านเข้ามาในหัวของผมจนทำเอาเผลอกลืนน้ำลายหายใจไม่ทั่วท้อง
ถ้ายังไหลตามสถานการณ์นี้ต่อไปเรื่อย ๆ ออโรร่าน้อยผุ้แสนบอบบางจะต้องกลายเป็นหมูบะช่ออย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้น….
เจ้าพระเจ้าบ้า เอาพลังนายมาบัฟผมที ขอแบบจัดเต็ม!!!
“แด่องค์เทพผู้ซึ่งข้าเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ขอท่านนำพลังอันยิ่งใหญ่ของท่านมาประทับตัวข้าผู้ไร้พลังด้วยเถิด”
สิ้นคำกล่าวอวยพร ผมรู้สึกถึงพลังในร่างกายของตัวเองเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ ดาบในมือที่หนักอึ้งเริ่มรู้สึกเบาหวิวดุดขนนก ขาที่มีแรงอันแสนน้อยนิด ผมสัมผัสได้ถึงพละกำลังมหาศาลระดับที่ถีบทีเดียวน่าจะพุ่งไปดวงจันทร์ได้
พลัง!!! ผมสัมผัสได้ถึงพลังอันไร้ขีดจำกัด!!!
ตู้มมมม
พลังแห่งพระเจ้าที่ถูกส่งมาได้หลั่งไหลไปทั่วร่างกาย ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ว่าส่วนใดของผมนั้นเอ่อล้นไปด้วยพลังอันมากล้น มากเสียยิ่งกว่าตัวเองในอดีต…ไม่สิ มากกว่าเดิมอีกสิบเท่า
!!!
พูดว่าผมเหงื่อแตกหน้าเครียดแล้ว มันยังมีอีกคนหนึ่งที่หน้าซีดเหงื่อแตกโชกประดุจน้ำตกยิ่งกว่าผมเสียอีก…. ซิลเวีย!!!
ใบหน้าของเธอตอนนี้ต้องเรียกว่าเป็นใบหน้าที่น่าสนใจมาก มันผสมผสานไปด้วยความสับสน ความกังวลใจและความหวาดกลัว เหงื่อจำนวนมากไหลประดุจน้ำตก ใบหน้าแทบเรียกว่าซีดเหมือนกระดาษ ดวงตาส่ายลอกแลกไปมาระหว่างผมกับอาจารย์ของเธอ
ในหัวกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย!!! ใบหน้าหวาดกลัวขนาดนั้น ต้องจินตนาการอะไรที่เหลือเชื่อเกินจินตนาการอย่างแน่นอน….
ไม่รู้ว่าในใจของเธอกลัวว่าอาจารย์ของเธอเผลอทำอะไรไม่ดีต่อผม หรือพลังของผมที่พุ่งขึ้นมาจะไประเบิดหัวอาจารย์ของเธอ
ปากเล็ก ๆ ของซิลเวียเริ่มสั่นเทา เธอพยายามที่เอื้อนเอ่ยบางอย่างออกมา ไม่รู้ว่าเหตุใด ทำไมคิ้วขวาของผมมันถึงได้กระตุกรัวเป็นปืนกลเช่นนี้
“ท่านอาจารย์คะ ท่านผู้นั้นน่ะ…ท่านผู้นั้นคือท่านออโรร่า…..คือท่านนักบุญนะคะ!!!”
เซ้นต์เรามันแรงจริง ๆ !!!
ซิลเวียหลังจากที่ตะโกนความลับที่เก็บงำเอาไว้มาอย่าง….ไม่ยาวนานสักเท่าไหร่ ดวงตาของเธอก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาก่อนจะหันมาทางผมด้วยแววตาสุดแสนจะน่าสงสาร
ให้ตายสิ ไหงมันกลายมาเป็นแบบนี้กันได้
ไม่รู้ว่าที่ทำให้เธอเป็นแบบนั้นเพราะเธอคิดว่าพลังนักบุญมันแรงอาจระเบิดหัวของอาจารย์เธอได้จึงต้องเตือนให้ระวัง หรือเพราะกลัวอาจารย์ของเธอพลังแรงจัดจนอาจเผลอระเบิดหัวผมได้จึงต้องรีบห้ามปรามก่อนที่คนที่เธอเคารพจะเจอคำสาป
…..
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหน สุดท้ายมันก็ทำเอาซิลเวียที่เป็นเด็กอายุไม่ถึงสิบต้องกดดันอย่างหนักจนสุดท้ายก็ระเบิดความสับสนเหล่านั้นออกมาซะจนต้องร้องไห้แบบเด็ก ๆ
ความผิดผมใช่ไหมเนี่ย
‘แน่นอนสิ’
เสียงของเจ้าราสขึ้นมาข้างหู ทำเอาผมต้องเหลือบไปเขม็งตาใส่ด้วยความคิดประมาณว่าอย่ามาซ้ำเติมจะได้ไหม
ก่อนที่อะไรหลาย ๆ อย่างจะแย่ลงไปกว่าเดิม ท่านอาจารย์ของซิลเวียได้คลายสีหน้าหวาดระแวงออกไปก่อนจจะพยักหน้าหงึก ๆ ให้กับลูกศิษย์ตัวเอง
“อ่อท่านนักบุญที่ว่าสินะ พอเข้าใจที่เจ้าพูดแล้วล่ะซิลเวีย… หือ? นี่เจ้าร้องไห้เหรอ”
ท่านอาจารย์ที่กำลังพูดอยู่ เมื่อเห็นศิษย์ของตัวเองร้องไห้ก็ตาโตก่อนมีความสับสนเข้ามาแทรก พร้อมมองสลับไปมาระหว่างผมกับซิลเวียอย่างงุนงง
“นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ…”
แย่ล่ะสิ ขืนเป็นแบบนี้ชื่อเสียงของผมจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน จะกลายเป็นนักบุญผู้รังแกเด็กอย่างแน่นอน เพราะงั้นผมต้องรีบแสดงความเป็นมิตรภาพ
ทันที่คิดได้ ขาของผมก็เริ่มก้าวออกไป ขาเล็ก ๆ ไร้เรี่ยวแรงของออโรร่าน้อยได้ก้าวออกไปอย่างเชื่องช้าดั่งที่มันเป็นทุกครั้ง….
ตู้ม!!
ซะที่ไหน…..
ภาพท่านอาจารย์ของซิลเวียที่อยู่ห่างหลายช่วงตัวจู่ ๆ ก็ถูกขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว ผสมกับสัมผัสของสายลมรุนแรงที่พุ่งเข้ากระแทกที่หน้าผสมกับเสียงดังสั่นประดุจมีอะไรบางอย่างแหวกอากาศ
บางอย่างที่ว่า…. ก็คือตัวผมเอง!!!
ตัวของผมที่ตอนนี้พุ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับเครื่องบินกำลังทะยานแหวกอากาศ ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากการก้าวขาเพียงก้าวเดียว!
ว้ากกกก!! พลังที่เสริมมามันชักจะแรงเกินไปแล้ว แบบนี้ร่างของผมได้ชนท่านอาจารย์จนร่างแกเละเป็นโจ๊กแน่นอน!!!
หยุดดดดด
ผมพยายามอย่างสุดความสามารถในการหยุดร่างของตัวเองที่พุ่งแบบไม่ลดละ และสิ่งเดียวที่มีอยู่ในมือก็คือดาบสำหรับฝึกซ้อม
ไม่ไหว…. ดาบซ้อมนี่มันเป็นดาบไม้นะ ด้วยความเร็วแบบนี้ถ้าเอามาใช้หยุดล่ะก็ น่าจะหักตั้งแต่สัมผัสพื้นแน่ ๆ ….. ไม่สิ แต่ถ้าใช้พลังเวทล่ะก็….
ความคิดอันเป็นเหตุเป็นผลผ่านเข้ามาในหัวของผมเพียงชั่วขณะ ก่อนจะหายไปแล้วแทนที่ด้วยอะไรก็ไม่รู้แทน
ในตอนนั้นเองที่ผมได้ลองใช้พลังเวทถ่ายซึ่งยังคงเหลือตกค้างถ่ายทอดออกไปยังปลายทางซึ่งก็คือแขนของผมและอาวุธในมือ
สัมผัสของพลังมหาศาลได้เอ่อล้นออกมาจนแม้แต่ตาเปล่ายังคงเห็นได้อย่างชัดเจน ดาบไม้ในมือได้เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ไม่ต้องเป็นผู้ที่มากฝีมือ เพราะแม้แต่เด็กธรรมดาก็ยังสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าถึงพลังของอาวุธในมือของผม
น่ากลัว! น่ากลัวเกินไปแล้ว เจ้าเวทเสริมพลังนี่มันจะมอบพลังให้เยอะเกินเหตุไปแล้วนะ แบบนี้ถ้าเกิดผมเผลอเอาไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าล่ะก็ บ้านเมืองมันไม่วายวอดกันหมดเหรอ!!!
แต่เรื่องนี้มันหาใช่เรื่องที่ผมจะต้องหันมาสนใจอะไรเท่าไหร่ เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหาทางหยุดไม่ให้ตัวเองชนจนร่างของท่านอาจารย์ตรงหน้าแบนเป็นกล้วยทับ
ในระยะอีกเพียงแค่ไม่กี่ช่วงแขนที่ผมจะกลายสภาพเป็นรถสิบล้อพลังสูง พุ่งชนเข้าใส่อาจารย์ ดาบในมือก็ถูกเคลื่อนลงไปดันพื้นแทนเบรค และเมื่อดาบไม้เสริมพลังสัมผัสกับพื้นแล้วนั้นผลที่ได้มันก็มากเกินกว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้
ตูม!!!
พลังมหาศาลของดาบซึ่งถูกเสริมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมาในทีเดียว ส่งให้เกิดแรงระเบิดมหาศาลทำเอาพื้นที่มันสัมผัสระเบิดออกมาอย่างกับมีใครฝังระเบิดเป็นตัน ๆ ไว้ใต้ดิน เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ซึ่งขั้นผมไว้กับท่านอาจารย์ซึ่งถูกแรงระเบิดเมื่อครู่ผลักจนเสียศูนย์ล้มลงกับพื้น
แรงส่งมหาศาลนั้นทำเอาผมเกือบจะล้มหัวทิ่มพื้น แต่อย่างน้อยผมก็ยังไหวตัวทันจึงได้ทำการถอนดาบออกมาก่อนจะตั้งหลักทรงตัวให้ดี ไม่งั้นได้เสียชื่อยอดนักดาบ ออโรร่ากันหมด
แต่ให้ตายสิ พอพลังเยอะแบบนี้แล้วขืนดึงดาบเร็ว ๆ ได้มีระเบิดระลอกสองแน่นอน ดังนั้นผมจึงค่อย ๆ ยกมันขึ้นมาอย่างช้า ๆ พลางมองภาพตรงหน้าไปด้วย
ท่านอาจารย์ที่ถูกแรงระเบิดดันซะจนติดพื้น ตอนนี้ดวงตาของท่านอาจารย์ได้เบิกออกกว้างมองสลับไปมาระหว่างผมกับหลุมตรงหน้าของตัวเองไม่หยุด
“พลังนี่มัน…. นี่สินะ นักบุญที่เขาล่ำลือ”
“พี…พี่สาวน่ากลัว”
เจ้าพวกเด็กเปรตที่ตอนแรกเกรียนใส่ผมไม่หยุด ตอนนี้นั้นแววตาของพวกเขาจ้องมาด้วยความหวาดกลัว พร้อมกันก็ต่างพากันกอดกันตัวกลมประดุจเดินไปเจอเสือในป่าก็ไม่ปาน
“ทะ…ท่าน ออโรร่า…”
เสียงของซิลเวียตอนนี้สั่นเทายิ่งกว่าเดิม เสียงที่ดูเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้วนั้นยิ่งดูเสียใจยิ่งกว่าเดิม ไม่เพียงแค่นั้น ดวงตาสีน้ำเงินสวยของเธอก็ยังสั่นเทา ที่ขอบตาของเธอเองก็เริ่มที่จะมีหยดน้ำใส ๆ โผล่ออกมา
ไหงทุกคนถึงมองผมด้วยสีหน้าแบบนั้นกันเนี่ย?
‘เจ้าเด็กโง่ ลองมองสภาพตัวเองก่อนสิ’
ผมเหลือบตามองบรรยากาศรอบ ๆ ของตัวเองตามคำพูดของเจ้าราสบอกและสิ่งที่เห็นก็คือภาพของผมที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของท่านอาจารย์ซึ่งนอนราบกับพื้นเพราะแรงระเบิดมหาศาลเมื่อครู่
และผมที่เมื่อครู่พยายามตั้งดาบขึ้นมาอย่างช้า ๆ นั้นก็พบว่าดาบที่ยกขึ้นมาได้ชี้หน้าของท่านอาจารย์ และด้วยความที่มันค่อย ๆ ถูกยกขึ้นช้า ๆ สภาพมันก็เหมือนกับตัวร้ายในนิยายกำลังข่มขู่ชาวบ้านชาวช่องอยู่
แค่นั้นยังไม่หมด เนื่องจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ผมยัดเข้าไปยังดาบของตัวเองนั้นมันยังไม่หมดไป ทำให้ดาบไม้ในมือยังคงทอแสงเรือง ๆ อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งหากประกอบกับการระเบิดเมื่อครู่ ก็ไม่แปลกเลยที่อาจมีคนเข้าใจผิดคิดว่าผมยังอยากใช้ไอ้ระเบิดเมื่อครู่รอบสอง
ดังนั้นเมื่อนำทุกอย่างมารวมกันแล้ว สภาพตอนนี้มันก็เหมือนกับออโรร่าน้อยที่สุดแสนจะน่ารักและเปี่ยมล้นด้วยเมตตากำลังยกดาบทรงพลังที่ระเบิดทุกอย่างเป็นจุณชี้ขู่ไปที่ท่านอาจารย์ หรือก็คือ…. ออโรร่าน้อยกำลังจะฆ่าท่านอาจารย์!!!!
‘ยัยเด็กผี เสร็จเรื่องตรงนี้เมื่อไหร่ ข้าจับเจ้าอบรมยาวแน่!!!’
ฮรือออ ผมขอโทษษษษษษษษ