ตอนที่ 12 ชะตา เลิศล้ำไม่อาจกล่าว (rewrite)
ถ้ำภูเขาไม่สูง แต่หนิงอี้ไม่ต้องก้มหัว หินย้อยพวกนั้นเกาะตัวอยู่บนถ้ำ ไม่รู้ผ่านกาลเวลามาเท่าไร หยดน้ำกัดกร่อน กลมและชื้นทุกส่วน
‘กระบี่ซ่อน’ ตรงระหว่างคิ้วเด็กสาวเปล่งแสงเรืองรองอย่างมั่นคง ภายใต้การกระตุ้นด้วยสัญลักษณ์พุทราแดง ได้รวมแสงดาราอ่อนเป็นวงกลม นางยกแขนขึ้นข้างหนึ่งเหมือนถือตะเกียงโบราณธรรมดา
ห้องลับพันปี ตะเกียงเดียวก็สว่าง
หนิงอี้เดาไว้ไม่ผิด…ภูเขาล้อมรอบข้างนอกเป็นสุสานวงกต มีแต่ทางเข้า ไม่มีทางออก หากหาถ้ำภูเขานี้ไม่พบ ก็จะไม่มีทางขึ้นไปได้ตลอดกาล
ไม่มีแสงดารา ไม่มีไอวิญญาณ ต่อให้มีปีกก็ไม่มีทางบินออกจากที่นี่ได้
‘บุตรแห่งโชค’ ที่หาถ้ำแห่งนี้พบ…ก็อาจจะเรียกว่าได้โชคลิขิตและโชควาสนา
หนิงอี้พบศพร่างหนึ่งด้วยสีหน้าปั้นยาก ฝังอยู่ในชั้นผิวผนังหินของถ้ำ แทบจะมองไม่ออกว่าเป็นร่างคน กระดูกสลายไป แทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหินย้อย ตายมานานมากแล้ว
ภายในถ้ำภูเขาอาจจะซ่อนผนึกบางอย่าง…หากไม่ใช่ศิษย์เขาสู่ซานเข้ามา ผลที่ตามมาก็อาจจะเหมือนกับศพนี้
เผยฝานกลั้นลมหายใจ กระทั่งนางเคยคิดว่าหินย้อยพวกนี้ ในทุกก้อนผนึกศพไว้ร่างหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ หินย้อยที่นี่ดูเหมือนกระบี่ แต่มีเป็นร้อยเป็นพันเต็มไปหมด ที่นี่คือหลังเขาสู่ซาน ไม่ใช่สนามรบโบราณอะไรนั่น…หนิงอี้ฝึกบำเพ็ญกับศิษย์พี่สามเวินเทา เขาท่องคัมภีร์ฮวงจุ้ยสุสานเบาๆ สิบพื้นภูเขาไม่ฝัง สุสานมีสิบไม่หันหา
ไม่ฝังชนภูเขา ตัดภูเขา ภูเขาหิน ข้ามภูเขา ภูเขาเดี่ยว ภูเขาคับแคบ ภูเขาพังทลาย ภูเขาเอียง ภูเขาชัน ภูเขาหัวโล้น
ไม่หันหากระแสน้ำ มุ่งสู่หินแปลก เกาะร้าง ภูเขาสูงหมื่นจั้ง…
ถ้ำภูเขานี้ผิดต่อกฎของสุสานอย่างยิ่ง หากมีศพจำนวนมาก ก็น่าจะเกิดกลิ่นอายมารเข้มข้น ถ้ำภูเขาคับแคบ หลังกลิ่นอายมารรวมกันแล้วจะเกิดปรากฏการณ์ขึ้น ศพนับร้อยมีโอกาสสูงที่จะเกิดปรากฏการณ์น่ากลัวคล้ายๆ ‘กองทัพทหารเงามืด’ กับ ‘ศพคืนชีพ’
หนิงอี้ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายชั่วร้าย
เขาพยายามให้ตัวเองผ่อนคลายมากที่สุด ขณะเดียวกันมือที่ถือพินิจเหมันต์ยังกำไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว กันหินย้อยที่อยู่สูงแตกลงมาอย่างกะทันหัน คงได้เกิดหมื่นภูตผีออกจากก้นสุสานขึ้นมาจริงๆ
หินย้อยห่อหุ้มกลิ่นอายมารได้ เวินเทาเคยเตือนไว้ว่าหากเป็นสุสานใหญ่ที่ใช้ปราบปรามบางอย่างจริงๆ ห้ามขยับของทุกชิ้นในนั้นง่ายๆ ปรมาจารย์สุสานในยุคโบราณ ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยระดับสุดยอดล้วนเป็นอัจฉริยะด้านการบำเพ็ญ วางของในสุสาน หากขยับตำแหน่งง่ายๆ จะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด
อย่างเบาก็สุสานถล่ม ทรัพย์สมบัติเสียหายทั้งหมด อย่างหนักก็เรียกสิ่งอัปมงคล ถูกคำสาปของเจ้าของสุสานพัวพัน ตายเสียดีกว่าอยู่
ศิษย์พี่สามเวินเทาเคยได้รับบทเรียนมาครั้งหนึ่ง เขานัดหมายร่วมมือกับสหายจากฝ่ายพุทธคนหนึ่ง ปล้นสุสานของคนใหญ่คนโตคนหนึ่งแห่งเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา อดใจไม่ไหวขยับของในสุสานชิ้นหนึ่ง ปรากฏว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เขาศักดิ์สิทธิ์พบว่าสุสานใต้ดินสั่นสะเทือน ยอดฝีมือขอบเขตราชันดาราโกรธจัด ดีที่ศิษย์พี่สามหนีเร็ว แต่สหายฝ่ายพุทธคนนั้นไม่ได้หนีออกจากสุสานใต้ดินด้วยกัน ถูกยอดฝีมือเขาศักดิ์สิทธิ์จับตัวไว้ ซักประวัติ ทำลายพลังบำเพ็ญ ตัดแขนขาสองข้าง ไม่รู้เป็นตายอย่างไร…
เพราะเรื่องนี้เอง เขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพานั้นเกือบจะทำสงครามเขาศักดิ์สิทธิ์นอกกำแพงเมืองแดนบูรพา
หนิงอี้ปลงกับสิ่งที่ศิษย์พี่สามพบเจอ ขณะเดียวกันยังอดสงสารไต้ซือฝ่ายพุทธดวงซวยแปดชั่วโคตรคนนั้นไม่ได้
ตอนที่เวินเทาบรรยายมรรค ยังเอ่ยถึงไต้ซือฝ่ายพุทธคนนั้นหลายครั้ง ในคำพูดเต็มไปด้วยความปลงรำลึกถึงอดีต
ช่วงที่ศิษย์พี่สามพลังบำเพ็ญยังอ่อนแอก็อาศัยการปล้นสุสานผงาดขึ้น วิวาทเล็กๆ น้อยๆ ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์แค้นเข้ากระดูกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนนั้นเวินเทารู้จักกับนักบวชที่มีนามว่า ‘อู๋เต้าจื่อ’ นามนักบวชคนนั้นฟังดูเหมือนคนสำนักเต๋า แต่กลับปลงผมทุกข์สามพันเส้น เรียกตัวเองว่าศิษย์ของเขาวิญญาณแดนบูรพา ชำนาญฮวงจุ้ยสุสาน สองคนสมคบคิดกัน ระหว่างทางยังปล้นเขาศักดิ์สิทธิ์ไปไม่รู้กี่ลูก ไม่เคยพลาดเลย
หลังจากพลาดครั้งนั้น ศิษย์พี่สามเวินเทาก็ไม่เคยไปสุสานของเขาศักดิ์สิทธิ์อีกเลย
ศิษย์เขาวิญญาณนามอู๋เต้าจื่อคนนั้น เล่าลือว่าตายอนาถ…หลังเวินเทาได้ข่าวก็เสียใจ แม้ศิษย์พี่หญิงพันกรจะมีศักยภาพเป็นหนึ่งในขอบเขตราชันดารา ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ต้องให้เกียรติส่วนหนึ่ง แต่ว่ากันตามเหตุการณ์ ถ้าเขาศักดิ์สิทธิ์อื่นรู้ว่าถูกตนปล้นสุสาน เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้ขานนามขุมอำนาจของตนเองก็คงจะถูกหักขาสามท่อน จากนั้นสับเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าทุกคน
หนิงอี้อกสั่นขวัญแขวนมาตลอดทาง สุดท้ายเดินผ่านพื้นที่หินย้อยนั้นมา
ถ้ำยังคงมืด แต่การมองเห็นกลับมากขึ้น ความเย็นเยือกที่พัวพันรอบกายหนิงอี้ค่อยๆ หายไป
พื้นเดินไม่ยาก ถ้ำภูเขาไม่มีทิศทางที่แน่นอน แต่เหมือนอีกโลกมากกว่า
หนิงอี้ประสานมุทราเดินหน้าไป เด็กสาวท่องชีพจรแสวงหามังกรได้คล่องกว่าเขา ปากพึมพำตลอด หยินปลอมหยางแท้ ตำแหน่งสายลมสายฟ้า ค่ายกลแยกน้ำไฟอะไรนั่น…หนิงอี้ละทิ้งความคิดที่จะใช้คนจับจดอย่างตนนำทาง
หากอยู่ในสำนักศึกษาดินแดนกลาง ยัยเด็กเผยฝานจัดอยู่ในอัจฉริยะอันดับต้นๆ ส่วนเขาด้วยรากฐานความจำที่คัดทีละคำนั้น อย่างมากสุดอาจารย์สำนักศึกษาก็คงปลอบตนว่า ‘นกโง่บินก่อน’ ถ้าจะรอวันนั้นที่ตนบินขึ้นอย่างแท้จริง…ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงปีลิงเดือนม้าใด
หนิงอี้กำพินิจเหมันต์ในมือ หลังแกนกระบี่ปลุกตื่น…สถานการณ์เหมือนจะต่างไปเล็กน้อย
คำศัพท์ที่ซับซ้อนเข้าใจยากพวกนั้นในความคิด คัมภีร์สั้นยาวที่ตอนแรกฝึกกับสวีจั้งในบ้านเมืองสันติ คัดไปหลายสิบรอบก็ยังไม่เข้าใจ แต่ทันใดนั้นก็เหมือนรู้แจ้งขึ้นมา
เหมือนกับกระดูกที่ซ่อนในกายตนนั้น เข้าใจแล้วว่าคำว่า ‘กระบี่’ ควรเขียนอย่างไรกันแน่
มนุษย์ไม่ได้เกิดมาโง่เขลา บางคนทึ่มทื่อเดินไปหลายสิบปี แต่ในคืนหนึ่งกลับโตเป็นผู้ใหญ่ รู้ว่าตนต้องคว้าอะไรเอาไว้ 艾琳小說
หนิงอี้ไม่คิดว่าตนเป็นคนที่มีคุณสมบัติธรรมดา เขาถือพินิจเหมันต์ได้ ทนความลำบากพวกนั้นได้ ทนบาดแผลดาบและกระบี่พวกนั้นได้ นี่ไม่ใช่เพราะเขาชอบอดทน
เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในพลัง ถูกสัตว์ป่ากัดก็ไม่ร้องไห้ เพราะการร้องไห้แก้ปัญหาไม่ได้ ถือพินิจเหมันต์ก็ไม่ยิ้ม เพราะเขารู้ว่าเส้นทางนี้ยาวไกลมาก…อดทนอยู่ช่วงหนึ่งคลื่นลมก็ย่อมไม่สงบลง ไม่มีใครกลัวสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนดั่งหยก ปุถุชนกลัวมารร้ายที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ส่วนยิ้มหรือเคร่งขรึมเป็นเพียงหน้ากาก ภายในที่แท้จริงขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย
ดังนั้นหนิงอี้จึงตึงเครียดมาตลอด
หากเส้นทางนี้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ‘สิ่งสกปรก’ ที่ซ่อนในหินย้อยโดดออกมา เขามั่นใจได้ว่าจะจบปัญหาอย่างราบรื่นด้วยกระบี่เดียว
หลังภูเขาพันจั้งแห่งนี้ชั่วร้ายกว่าอารามโพธิ์เทือกเขาประจิม ยันต์คำสั่งของบรรพจารย์ลู่เซิ่งเป็นไปได้ว่าเพื่อคัดเลือกหรืออาจจะเพื่อปกป้อง
อารามใหญ่พระโพธิสัตว์ใหญ่ ฟ้าใหญ่ดินใหญ่ ระมัดระวังดีที่สุด
จนเมื่อเด็กสาวจูงเขาเดินไปจนสุดทางจริงๆ เส้นประสาทที่ตึงเปรี๊ยะของหนิงอี้ถึงได้คลายลง มือที่กำพินิจเหมันต์ ฝ่ามือมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาชั้นหนึ่ง เขาพ่นลมหายใจยาว มองเด็กสาวข้างกาย ใบหน้าซีดขาวราวกับหิมะ ริมฝีปากแดงเรื่อจนคนอยากจะกัดสักที
หนิงอี้ส่ายศีรษะ ไล่ความคิดแปลกๆ ออกไป
สุดทางถ้ำภูเขา เห็นร่องรอยคนบนพื้นชัดเจน มีคนเดินมาถึงที่นี่…นี่มากพอจะยืนยันเรื่องหนึ่ง
เด็กสาวนำทางมาถูกต้อง
สองข้างผนังหินมีมือที่ชูประคองขึ้นสนิมอยู่ หนิงอี้รู้สึกคุ้นตานิดๆ…เหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน สองมือหลอมขึ้นจากวัสดุอะไรไม่ทราบแน่ชัด เหมือนทองสัมฤทธิ์ มีกลิ่นอายเก่าแก่ ฝ่ามือตั้งขึ้นฟ้า ห้านิ้วมือหุบเข้ามา เด็กสาวเขย่งเท้า วางไฟที่มีแสงดาราวนเวียนจาก ‘กระบี่ซ่อน’ ลงกลางฝ่ามือ
สองมือบนผนังหินนั้นจึงเหมือนยอดฝีมือยุคโบราณคีบไฟ ดูลึกลับและน่าเกรงขาม
ส่วนใกล้เคียงกับผนังหินถูกกระบี่ซ่อนส่องสว่าง
หนิงอี้เห็นเบาะกลมที่หนึ่ง ไม่รู้วางมานานเท่าไรแล้ว เบาะกลมขาดรุ่ย เขาย่อตัวลงแล้วพูดเสียงเบา “เขาสู่ซานก็มีเบาะกลมแบบนี้เหมือนกัน…คุณชายเจ้าหรุยเคยมาที่นี่ แต่เบาะกลมนี่ขาดแล้ว”
เขาพูดด้วยความสับสน “คุณชายเจ้าหรุยเคยนั่งฝึกบำเพ็ญที่นี่ หรือว่าจะตระหนักความลับของความเป็นตาย…หน้าผนังหินนี้”
เผยฝานไม่พูด แต่ยืนเหม่อหน้าผนังหิน
หนิงอี้รู้สึกได้ว่าเด็กสาวแปลกๆ ไป เขาหันกลับมา มองภาพวาดบนผนังหินพร้อมกับเด็กสาว หลายลายเส้นลวกๆ มีร่างเงาสูงเสียดเมฆหนึ่ง ชูของบางอย่างที่ไม่อาจประเมินน้ำหนักได้ขึ้นสูง กวาดทุกสิ่งอย่างก่อนจะฟาดลงมาอย่างแรง
กระบี่ฟาด!
หนิงอี้มองภาพนี้ หัวใจพลันเต้นเร็วขึ้น ใบหน้าเขาซีดขาวไปสองส่วน อ่านหยาบๆ รอบหนึ่งยังรู้สึกเหนื่อยมาก ทั้งเหนื่อยทั้งล้า มองแก้มเด็กสาว ใบหน้าที่ดูซีดขาวน่ามองนั้นแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง ภายใต้สัมผัสทางความคิดของเจ้าของ ‘กระบี่ซ่อน’ ทำให้เหมือนเป็นดาราสีแดงฉานดวงหนึ่ง
หนิงอี้รู้ความสามารถของผู้บำเพ็ญ สามารถประทับความคิด เจตจำนงกระบี่ เจตจำนงดาบ เจตจำนงหอกและเจตจำนงพลองลงในอักษรและภาพวาดได้…เจตจำนงมากมายใช้เสริมได้ ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ สมบัติล้ำค่าที่คนก่อนฝากไว้ ล้วนถ่ายทอดผ่านวิธีการเช่นนี้ และคนที่มีโอกาสได้เห็นกับตาล้วนเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก
บางคนตระหนักความคิดของผู้อาวุโสได้ จึงเลี่ยงทางอ้อมมากมาย
แต่พลังของจิตนี้จะลดลงไปเรื่อยๆ ตามการตระหนักรู้
ไม่ใช่ทุกคนที่จะตระหนักรู้ได้ นี่ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติ นี่คือ…ชะตาที่สวรรค์กำหนดไว้
ชะตา เลิศล้ำไม่อาจกล่าว
คุณชายเจ้าหรุยนั่งฌานที่นี่ ตระหนักความเป็นตาย นำคัมภีร์เต๋าออกไปส่วนหนึ่ง
สวีจั้งได้เห็น ‘กระบี่ฟาด’
เด็กสาวพิจารณามองภาพฝาผนังนี้
สิ่งแรกที่เห็น…คือภาพฝาผนังนี้ ส่วนหนิงอี้ที่ไม่รู้สึกถึงภาพฝาผนังนี้เลยมองไปรอบๆ อย่างสับสน เขากวาดสายตามองภาพฝาผนังนี้ทีละนิด ไม่ได้อะไรเลย
จากนั้นเขาก้มหน้าลงช้าๆ สังเกตเห็นว่าพื้นถ้ำภูเขาเหมือนจะมีหญ้าต้นหนึ่ง
แววตาหนิงอี้ฉายแววแปลกประหลาดเล็กน้อย
สถานที่ที่ไม่มีพืชกำเนิดเช่นนี้…หญ้านั้นกลับเกิดกลางผนังภูเขา…นั่นหมายความว่าข้างหลังผนังภูเขานี้เชื่อมต่อกับอีกพื้นที่หนึ่ง
หนิงอี้นั่งย่อตัวลง ยื่นมือออกไป
ดึงหญ้าต้นนั้น
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ…หญ้าแห้งเหลืองนั้นถูกหนิงอี้ดึงออกมาเช่นนี้
หนิงอี้กลั้นลมหายใจเล็กน้อย เขามองหญ้าเหลืองแห้งโค้งงอนั้น ยังไม่ทันตั้งตัว ผนังหินตรงหน้าก็เริ่มส่งเสียงดังครึกโครม
กลางฟ้าดินที่ถูกผนึกเกิดแสงสว่างขึ้นสายหนึ่ง
……………………..