ตอนที่ 26 ใต้เท้าบุตรสวรรค์ซื้อสุราดื่ม (rewrite)
ใต้เท้าบุตรสวรรค์
สี่สำนักศึกษา
จวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
หนึ่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์
เขาลั่วเจีย
สองแดนศักดิ์สิทธิ์
ตำหนักฟ้า จวนปฐพี
นอกจากนี้ สี่แดนเหนือใต้ออกตก ผู้บำเพ็ญอัจฉริยะทุกคนหลังหิมะตกหนักก็จะเดินทางมารวมกันที่เมืองหลวง
หลังพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ครั้งนี้ก็จะไปถึงขั้นตอนการคัดเลือกของงานราชวงศ์ใหญ่ อัจฉริยะพวกนั้นต่างอยากได้สิทธิ์เข้าร่วมงานราชวงศ์ใหญ่ และการจะได้สิทธิ์ของราชวงศ์ใหญ่นั้นจะต้องมาเมืองหลวง
ทั้งเมืองหลวงจะคึกคักขึ้นมาก
แต่จนถึงตอนนี้ เมืองหลวงหลังงานเลี้ยงวันเกิด ไม่ได้คึกคักเท่าไร แต่กลับค่อยๆ สงบเงียบลง
หลายคนรออาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนั้นปรากฏกาย รับคำท้าคนหรือสองคน ให้ผู้บำเพ็ญทั้งเมืองหลวงได้เห็นว่าอันดับหนึ่งรายนามดาราอยู่ในระดับใดกันแน่
แต่ความจริงคือ…อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่ชื่อหนิงอี้คนนั้น ไม่ได้เดินตามเส้นทางของสวีจั้งในตอนนั้น เขาไม่ยินดียินร้ายซ่อนตัวอยู่ในจวนของท่านเจ้าลัทธิ ไม่เคยก้าวออกมาเลยสักก้าว
นักพรตชุดคลุมหยาบถวายชีวิตปฏิบัติตามคำสั่ง เฝ้าประตูใหญ่นอกสุด ไม่ว่าคนนอกจะโวยวายเสียงดังอย่างไร ต่อให้ใช้วิชาแสงดารา หนิงอี้ข้างในก็ไม่ได้ยินเลย
คนไม่ได้ตีขึ้นจากเหล็ก ทุกวันจะมายืนเจ็ดแปดชั่วยาม ก็พอจะให้คนพวกนี้ลำบากบ้าง จึงไม่ต้องทำสงครามน้ำลายเลย และยังต้องรับมือกับนักพรตชุดคลุมหยาบที่มีร่างกายแข็งแรงพวกนั้นอีก
ไม่ถึงสัปดาห์ จวนของหนิงอี้ก็สงบลง ไม่มีใครทำเรื่องเสียเวลาอีก
……
ช่วงนี้เผยฝานกำลังอ่านตำรา อ่านตำราเยอะมาก
หนิงอี้ไม่รู้จะบรรยายระดับความบ้าคลั่งของเด็กสาวอย่างไร…ในจวนเจ้าลัทธิ นักพรตชุดคลุมหยาบจะใช้รถม้าส่งตำรามาให้ พวกนี้ก็ขนมาจากในคลังตำราของเมืองหลวง
มีคนอ่านหนังสือ อ่านแต่แก่นสำคัญ ทิ้งกาก
อย่างเช่นหนิงอี้ หนิงอี้เพียงแค่อ่านตำราเร็วกว่าคนปกติเล็กน้อย ถ้าจะท่องย้อนกลับและจำไว้ ก็ได้เก็บกิ่งไม้แห้งมาท่องจำ ได้แค่อ่านแต่ไม่ขอเข้าใจ
แต่เด็กสาวต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ความจำของเผยฝานทำให้หนิงอี้ตกใจ นั่งอยู่หน้าโต๊ะ ท่องย้อนกลับได้ตรงมาก ตั้งแต่แสงตะวันยามเช้าสาดส่องบนโต๊ะนั่งจนเย็น แสงตะเกียงสองข้างโต๊ะพลิ้วไหว ม้วนตำราหลายแสนของหอตำราเมืองหลวง มีผลงานที่โดดเด่นเยอะมาก แต่ย่อมมีเศษกาก เด็กสาวก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับไว้ทั้งหมด
นี่เป็นการประกาศสงครามอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่หนิงอี้ทะลวงพลังก็พบว่าเด็กสาวมีความอดทนสูงมาก ตั้งใจจะทำอะไรแล้วจะยืนหยัดต่อไปอย่างไม่เกียจคร้าน ไม่ว่าจะการบำเพ็ญหรือเส้นทางอื่นก็ต้องใช้ความอดทน เวทีของเขาสู่ซานเล็กเกินไป หอตำราของเขาน้ำค้างเล็กแม้จะไม่น้อย แต่เทียบกับเมืองหลวงแล้วก็ยังต่างกันชัดเจน
เด็กสาวที่กระหายในโลกที่ใหญ่ขึ้นคนนี้ได้รับโอกาสในการกระโดดออกจากบ่อน้ำ ก็ไม่เสียเวลาไปแม้แต่นิด ตั้งแต่วันนั้นที่มาถึงก็เริ่มขดตัวอยู่ในจวนทั้งวันทั้งคืน ยอมลำบากอ่านตำรา
หลังหนิงอี้ทะลวงพลังแล้วก็ว่างขึ้นเล็กน้อย จึงรับเรื่องยกน้ำชายกน้ำมาให้นายหญิงเผยฝานเอง เดิมทีคิดว่าการอ่านตำราเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก หากเด็กสาวอ่อนเพลีย ก็จะคุยเล่นเป็นเพื่อนได้ หากเด็กสาวรู้สึกว่ากลางคืนหนาว หนิงอี้ก็จะลำบากไปหาผ้านวมอุ่นๆ มาให้ ปรากฏว่าผ่านไปเกือบครึ่งเดือน เด็กสาวแค่นอนสองสามชั่วยามตอนกลางคืน ก็ลุกขึ้นมานั่งหน้าโต๊ะอย่างกระปรี้กระเปร่าตอนกลางวัน หากหนิงอี้ไม่พูดรบกวน ก็คงจะไม่รู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งวันเลยจริงๆ
หนิงอี้กลัดกลุ้มใจ เขาเข้าใกล้เด็กสาวหลายครั้ง พบว่าโต๊ะกองกระดาษเหลืองเต็มไปหมด บนนั้นกองซ้อนกันจนตนมองไม่เห็นเครื่องหมายและลายเส้น แต่แยกแยะร่องรอยคุ้นเคยได้รางๆ เหมือนว่าจะเป็นยันต์ ‘ค่ายกลมารดาบุตร’ นั้นที่บรรพจารย์ลู่เซิ่งวางไว้หลังภูเขา
ทว่าไม่ใช่แค่ค่ายกล ภายในห้องยังกองตำราไว้เป็นกองๆ เด็กสาวพลิกทีเดียวก็จำได้ นางเริ่มกวาดล้างคลังตำราของเมืองหลวงช้าๆ อาศัยฐานะของท่านเจ้าลัทธิ คลังตำราที่เดิมทีห้ามเผยแพร่ต่อภายนอก ตอนนี้กลายเป็นหอตำราส่วนตัวที่ให้เผยฝานเอาความรู้ของคนรุ่นก่อน
หนิงอี้ลองเดินตามรอยของเด็กสาว ก็พบว่าเป็นเรื่องที่ยากผิดปกติ
บทสรุปบันทึกของหอดูดาวหลวงทุกยุค การศึกษาวงโคจรดาวสังสุทธ์กับดารามากมาย…
การกำหนดและสำรวจของเส้นชีพจรมังกร แหล่งอ้างอิงของจุดชีพจรแสวงหามังกร การเกี่ยวข้องระหว่างวิชาเร้นลับกับแสงดารา…
การจะเพิ่มอายุขัยของคนธรรมดาผ่านการรวมความเป็นเทพภายใต้เงื่อนไขไม่ฝึกบำเพ็ญ…
ทิศทางการศึกษาที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันพวกนี้ เด็กสาวอ่านผ่านๆ นางเข้าใจด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง พวกนี้เกี่ยวข้องกับยันต์ของบรรพจารย์ลู่เซิ่ง ยันต์นั่นโยงไปหลายด้านมาก ตะวันจันทราและดารา ความลึกลับของการบำเพ็ญ ไม่ขอบอกว่าทำซ้ำได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าจะลอกออกมาส่วนหนึ่งก็ต้องรู้วงโคจรในยันต์ให้ชัดเจน
หนิงอี้ฟังแล้วปวดใจ
เขาขอความเห็นของเด็กสาวมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง เผยฝานก็พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ต่ำกว่าสิบครั้งอย่างจำใจเช่นกัน บอกหนิงอี้ว่าไม่ต้องอยู่กับตนอยู่ในจวนตลอดเวลาก็ได้…ทำเหมือนนักพรตชุดคลุมหยาบที่ยกน้ำชาให้เจ้าลัทธิ บางอย่างเด็กสาวก็ดูแลเองได้ สิ่งที่หนิงอี้ทำไม่มีความหมายเลย
ไม่เข้าใจค่ายพวกนั้น
ตำราก็ไม่ค่อยเข้าใจ
หนิงอี้ทุกข์ใจอยู่ในจวนมาเกือบเดือน ทั้งตัวจะขึ้นสนิมแล้ว
เขาพันพินิจเหมันต์ด้วยผ้าดำชั้นหนึ่ง ผูกไว้ตรงเอว ก่อนผลักประตูจวนออกไปเดินเล่น
ไม่มีใครมาก่อเรื่องหน้าประตูนานแล้ว จวนแห่งนี้ของเจ้าลัทธิเงียบสงบมาก
ผลักประตูออกไปดังแอ๊ด นักพรตชุดคลุมหยาบสองคนที่ยืนอยู่เหมือนเทพผู้รักษาประตูสองข้างมองอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่หน้าซีดขาวคนนี้ด้วยความแปลกประหลาด ใจนึกยังมีวันที่ออกมาด้วยหรือ
หนึ่งเดือนมานี้ พวกเขาเป็นคนส่งข้าว พวกเขาเป็นคนขนตำรา ลานบ้านของท่านเจ้าลัทธิจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าสวยก็สวย แต่หนิงอี้กับเผยฝานอยู่จนกลายเป็นสภาพนี้…นักพรตชุดคลุมหยาบผู้รักษาประตูทั้งสองสงสัยว่าตนกำลังเฝ้าคุกอยู่
หนิงอี้ยิ้มอ่อนโยนให้สองคน ก่อนจะออกจากจวนไป
เขาบิดเอวขี้เกียจ กระดูกดังกรุบกรอบ เดินไปบนถนนเช่นนี้ รู้สึกสบายไปทั้งตัว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินบนถนนเมืองหลวงจริงๆ เมืองที่เจริญรุ่งเรืองผู้คนเป็นมิตรที่สุดในใต้ฟ้าต้าสุยแห่งนี้ พื้นถนนทำขึ้นจากหินครามเก่าแก่ โรงสุรากับโรงเตี๊ยมสองข้างทางมีกลิ่นหอมที่ผ่านมานานแต่ก็ยังสดใหม่ ผู้คนไหลหลาก ไม่มีใครจำหนิงอี้ได้
เด็กหนุ่มนำตำลึงทองแดงออกมาเล็กน้อย ซื้อสุราไหหนึ่ง ดื่มสุราไปพลางเดินบนถนนเมืองหลวงไปพลาง
งานเลี้ยงวันเกิดเพิ่งเริ่ม ใต้ชายคาจะห้อยโคมไฟสีแดงไว้ โยกไหวตามลม
หนิงอี้ดื่มสุราพลางรู้สึกตัวอุ่นขึ้น เบาขึ้น เสียงผู้คนในเมืองหลวงดังข้างหูเขา นี่เป็นสถานการณ์ที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง
เมืองไร้มลทินแห่งเทือกเขาประจิมวุ่นวาย ทำให้คนจิตใจไม่สงบ
เมืองสันติในเขตเขาสู่ซานก็เงียบเหงาไปนิด เทียบกับความเจริญของที่นี่ไม่ได้เลย
หนิงอี้เห็นนกเพลิงอุสาที่หลงทางอยู่เหนือศีรษะ บินลงมาจากมุมหนึ่งของเมืองหลวง บินมาเฉียดพื้น ตัวกระแทกกับโคมไฟสองสามอันแตก โคลงเคลงจะล้มลง หยุดบนกำแพงเมือง สายตายังมองไปทางหนึ่งอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นบินขึ้น เงาสีแดงเพลิงเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไปในหมอกหิมะ
เขายิ้ม ใจนึกเมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้เชียว ถึงขนาดนี่นกเพลิงอุสายังไม่ยอมจากไป
เขาเดินเล่นช่วงบ่าย เสพความเจริญของเมืองหลวง
ฟ้าค่อยๆ มืดลง หนิงอี้โยนไหสุราเปล่าในมือทิ้งไปตามใจ เป่าๆ ที่สองมือ ก่อนจะก้มหน้าโค้งตัวเปิดผ้าไหมหนา มุดเข้าไปในร้านอาหารที่มีความอบอุ่น
ในเมืองหลวงมีร้านอาหารแมลงวันเช่นนี้อยู่เยอะ ฝีมือของเถ้าแก่ส่วนใหญ่ไม่เลว ร้านอาหารเช่นนี้เทียบกับโรงเตี๊ยมแล้ว ราคาถูกกว่า รสชาติใช้ได้ อาหารดีราคาถูก มีอย่างเดียวที่ไม่ดีคือที่ไม่พอ ผู้คนแออัด
การเปิดร้านอาหารเล็กในแผ่นดินทองอย่างเมืองหลวงได้ ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวเล็กที่บรรพบุรุษเดินทางมาเมืองหลวง ขายบ้านมาอยู่ในเมืองสักแห่งในเขตต้าสุยก็จะเป็นเจ้าของที่ดินได้อย่างสบายๆ ว่างก็จับช้อนทำอาหาร หรือเจ้าของร้านสั่งการอย่างเดียว เปิดร้านอาหาร ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
ราคาที่ดินเมืองหลวงสูงขึ้นเรื่อยๆ คนโง่ถึงจะซื้อหน้าร้าน
หนิงอี้สั่งถั่วลิสงผัดน้ำมันมาหนึ่งจาน และยังมีเหล้าขาวที่มีเฉพาะเมืองหลวงมาอีกชาม ตอนที่เถ้าแก่ยกสุรามาก็ได้แนะนำความเป็นมาแบบพิเศษ เหล้าขาวของเมืองหลวง นำข้าวเหนียวหรือข้าวแข็งหรือข้าวสาลีมานึ่งสุก หมักในไหเจ็ดวัน ก่อนใช้ภาชนะนำออกมา
มันจะใสดั่งน้ำ รสชาติเข้มข้นมาก
หนิงอี้จิบเบาๆ เขาเองก็คอแข็งไม่เบา ในวันหิมะตกหนักที่เทือกเขาประจิม ยังดื่มสุราทำให้ร่างกายอบอุ่นเป็นประจำ แต่ได้ยินว่าเหล้าขาวของเมืองหลวงนี้มีรสชาติแรงมาก ดังนั้นต้องดื่มอย่างระมัดระวัง
เมื่อเหล้าขาวลงท้อง ท้องน้อยก็ร้อนแผดเผาขึ้นมา ช่วงที่หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น ความร้อนได้ลุกลามไปทั้งตัว ไม่รู้สึกเมาเท่าไร เบาไปทั้งตัว สบายไปหมด
“สุราดี”
หนิงอี้มองเหล้าขาวชามนี้พลางพูดชมเบาๆ
ก่อนจะสั่งหม้อไฟเนื้อวัวมาอีก เถ้าแก่ยกหม้อไฟมา จับที่จับหม้อไฟลักษณะเขาวัวลงอย่างดี เนื้อวัวที่ตุ๋นจนเปื่อยชิ้นใหญ่ๆ กลิ้งไปตามน้ำแกงเดือดสีแดงเพลิง เสี่ยวเอ้อนำเส้นมันเทศมาให้อีกจาน หั่นไว้อย่างเรียบร้อย ด้านนอกยังมีผักกาดขาวที่มีหยดน้ำเกาะอยู่
หม้อไฟเนื้อวัวของเมืองหลวงเรียกว่า ‘หม้อดิน’ ภายในหม้อดินจะวางแผ่นแป้งใหญ่ตีไว้อย่างดีหลายแผ่น หนิงอี้ใช้ตะเกียบพลิกแผ่นแป้งเบาๆ จุ่มเนื้อวัววนในน้ำแกงสีแดงรอบหนึ่ง แป้งแข็งกลายเป็นนุ่ม คีบออกมากดเนื้อวัวชิ้นใหญ่หลายชิ้น และยังมีเส้นที่ลวกจนนิ่มแต่ก็ยังไม่เสียความทนทาน รวมถึงใบผักกาดขาวอีกสองใบ ก็นำมาห่อเข้าด้วยกัน
กัดไปคำหนึ่ง น้ำกระจายเต็มปาก
ฟ้าดินหนาวเหน็บ จะแก้ไขอย่างไร
สุรากับหม้อไฟ ทั้งยังมีเนื้อวัว
หนิงอี้ก้มหน้ากินต่อไป ชามเหล้าขาวข้างกายถูกเรียงขึ้นสูง เนื้อวัวเข้าถึงรสชาติมากขึ้น ความเมาเล็กน้อยในความคิดค่อยๆ ทวีคูณเพิ่มขึ้น
จากนั้นเขาได้ยินเสียงหนึ่ง
“หนิงอี้”
หนิงอี้ได้ยินเสียงคุ้นหูนี้ ความคิดเลือนรางพลันสลายไป เขาหรี่ตาลงด้วยความระแวงทันที มองไปทางเสียงนั้นนอกร้านอาหารเล็ก
นอกร้านอาหารเล็ก มีคนเปิดม่านขึ้น ไม่ปล่อยมือ ปล่อยให้ลมหนาวข้างนอกพัดเข้ามาในร้านไม่หยุด
มีคนหันมาจะต่อว่า แต่พอเห็นชุดคลุมของอีกฝ่ายแล้วก็เงียบไปทันที
ชุดคลุมสีแดงตัวใหญ่ รูปแบบของสำนักศึกษา ข้างหลังคนนั้นยังมีคนอีกกลุ่ม เขาเปิดม่านขึ้น เดินเข้ามาช้าๆ นั่งลงตรงข้ามหนิงอี้ต่อหน้าทุกคน พูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมืองหลวงห้ามต่อสู้กัน เจ้าโชคดีจริงๆ”
หนิงอี้วางตะเกียบลงมองบุรุษสวมชุดคลุมสีแดงตัวใหญ่และเคยพบกันครั้งหนึ่งนอกเขตเทือกเขาประจิม ความอารมณ์ดีของเขาหายไปมากกว่าครึ่ง
ก่วนชิงผิงยิ้มกว้าง เข้ามาใกล้หนิงอี้ช้าๆ พูดเสียงเบามาก พูดมาทีละคำ “อย่างเจ้าน่ะหรือจะคู่ควรกับอันดับหนึ่งรายนามดารา”
………………………..