ตอนที่ 33 กระบี่ซ่อน (rewrite)
เหตุการณ์ถนนนิมิตชาดเมืองหลวง กระบี่สุดท้ายของหนิงอี้กลายเป็นบทสรุปสุดท้าย
หนึ่งกระบี่ฟันถนนนิมิตชาดแตกกระจาย คุณชายครามถอยไปสามสิบจั้ง
ทั้งเมืองคึกคัก
หลังจากกลับไป เพราะเรื่องยั่วยุโดยพลการบนถนนนิมิตชาดครั้งนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจวนขานฟ้ากับสำนักเต๋าแปลกไปเล็กน้อย คุณชายครามอดเลี้ยงมื้ออาหารค่ำ ได้แต่เชิญท่านเจ้าลัทธิในวันหลัง อีกทั้งยังขายหน้าไม่มากไม่น้อยในเมืองหลวง…ศิษย์ที่เกี่ยวข้องในที่เกิดเหตุถูกลงโทษอย่างหนัก โดยเฉพาะก่วนชิงผิงที่เพิ่งกลับมาจากฝ่ายคุมกฎเทือกเขาประจิมเมื่อไม่นานมานี้ ถูกสายเลือด ‘อาภรณ์ครามวรุณ’ ปลดออกจากศิษย์หัวเข็มขัดฝ่ายในชุดคลุมแดง ขังอยู่ในแดนต้องห้ามภายในจวน
หนิงอี้ออกกระบี่สุดท้ายนั้น หน้าประตูจวนถึงได้เงียบสงบลงอย่างแท้จริง
และมีเพียงจวนแห่งนี้ที่เงียบสงบ
ภายในเมืองเต็มไปด้วยพายุฝนถาโถม
เสียงวิจารณ์ต่างๆ มาไม่ขาดสาย
“อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่มาใหม่เป็นคนโหด ดูท่าเมืองหลวงคงจะไม่สงบสุขเท่าไรแล้ว เขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นที่ตอนแรกจะกำราบเขา เหตุใดถึงไม่ก้าวออกมากันเลย”
“เขาลั่วเจียเพิ่งปิดภูเขา เยี่ยหงฝูตามอาจารย์ฝูเหยาออกไปฝึกฝน ไม่รู้จะกลับเมืองหลวงเมื่อไร”
“มังกรจู๋หลงน้อยเฉาหลันแห่งแดนอุดรท่องไปทั่วโลก เหมือนกำลังตามหาคู่ต่อสู้ที่ถูกใจอยู่ เล่าลือว่าหลังจากลั่วฉางเซิงทะลวงพลัง เฉาหลันก็ยังไปภูเขาเชียงพำนักเทพ จะท้าสู้กับลั่วฉางเซิง สุดท้ายถูกกระทบกระเทือนจิตใจไม่น้อย นอกจากเยี่ยหงฝูแล้ว เขาจะหาคนที่อยู่ขอบเขตพลังเดียวกันสู้อีก เกรงว่าคงยากมาก บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นไม่ใช่คนโง่ ไม่มีใครอยากสู้กับคนคลั่งยุทธ์ไร้สำนักหรอก เฉาหลันออกมือไม่มีหนักเบา การประชันก่อนราชวงศ์ใหญ่ หากสู้กันรุนแรง กายจิตหรือใจมรรคบาดเจ็บ ล้วนไม่ใช่เรื่องดี”
“ไม่รู้ว่าอาจารย์อาน้อยคนนี้ เทียบกับคนโหดพวกนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร…เมืองหลวงไม่มีใคร พายุฝนมาถึงที่สุดก็อาจจะต้องรอสักระยะ ถึงจะเห็นการตัดสินระหว่างพวกเขา”
ภารกิจของเจ้าลัทธิรัดตัวมาก หลังจบงานเลี้ยงวันเกิด เขาก็ยังอยู่ในเมืองหลวง ต้องไปสำนักศึกษาทีละแห่งครบถึงจะไปจากที่นี่ได้
เป็นบุญคุณของเฉินอี้
นักพรตชุดคลุมหยาบขวางการเชื้อเชิญและคำร้องขอไร้เหตุผลหลายอย่างแทนหนิงอี้
หลังจากหนิงอี้ออกกระบี่นั้นอัดคุณชายครามถอยไปบนถนนนิมิตชาดแล้ว ถึงได้ยืนบนเมืองหลวงอย่างแท้จริง ความสงสัยในศักยภาพโลกภายนอกเป็นการตบหน้าอย่างดัง สิ่งที่ตามมาคือการผูกมิตรและการติดต่อเล็กใหญ่ต่างๆ
ตระกูลขุนนางอำนาจจักรพรรดิแห่งเมืองหลวง ขุมอำนาจเล็กใหญ่มากมายอยากจะผูกมิตรกับอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้ บัตรเชิญที่วางไว้ตรงหน้าหนิงอี้มีตั้งแต่ปลายปีนี้ยาวไปจนถึงปลายปีหน้า
“อ้าปาก”
“อ้า…”
เผยฝานนั่งเรียบร้อยอยู่ข้างเตียง มือข้างหนึ่งถือชามโจ๊ก ภายในชามเต็มไปด้วยโจ๊กแปดสิ่งเลอค่าเหนียวข้น อีกมือถือช้อนลายครามตักขึ้นมา เป่าเบาๆ เม้มริมฝีปาก ลองดูอุณหภูมิอย่างรู้ใจ จากนั้นส่งไปในปากบางคน ‘ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง’
อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้ต่างกับที่ข้างนอกจินตนาการอย่างสิ้นเชิง
หลังจากใช้ความเป็นเทพเกินขีดจำกัดไปห้าหยด ร่างกายหนิงอี้ก็รับแรงกดดันที่ไม่คิดให้ถี่ถ้วนเองไม่ไหว ก็เหมือนเด็กหนุ่มที่ดื่มสุราครั้งแรก ไม่รู้ขีดจำกัดของตน ดื่มไม่รู้จักพอเพื่อหน้าตา ตอนแรกยังคิดว่าไหว ก่อนจะกลับมาล้มลงในจวน ดีที่ไม่เกิดปัญหาใหญ่ นอนหัวหนักอยู่สองวัน หลับตาปิดสนิท ใบหน้าซีดขาวดูเหมือนคนตาย แต่คนชั่วมักตายยาก ควรตายไม่ตาย ยังเหลือลมหายใจแผ่วเบาไว้เฮือกหนึ่ง
เผยฝานเห็นหนิงอี้อยู่ในสภาพนี้มาไม่รู้กี่ครั้ง โกรธก็โกรธ ไม่มีประโยชน์ก็อีกเรื่อง หลังจากชินแล้ว ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักกว่านี้ ขอแค่ยังมีลมหายใจ สภาพน่าเวทนากว่านี้ เด็กสาวก็เคยเห็น ไม่ตายกลับมาได้ เช่นนั้นก็ดีแล้ว
หนิงอี้ที่ชาไปทั้งตัวขยับไม่ได้กินโจ๊กไปคำหนึ่ง กลืนลงคอดังอึก ก่อนถอนหายใจอย่างสบายใจ
เขารู้สึกครั้งแรกในชีวิตว่าการอ้าปากกินข้าวได้เป็นเรื่องที่โชคดียิ่ง
เพิ่งล้มลง ตอนแรกยังขยับตัวไม่ได้เลย มีสติ แต่ดำดิ่งอยู่ในความเจ็บปวด ขยับนิ้วไม่ได้ ลืมตาไม่ได้ เหงื่อออกมาท่วมตัว เขาได้ยินเสียงของเด็กสาว แต่เสียงทั้งหมดกองวนเวียนอยู่หลังศีรษะ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระตุ้นทุกเส้นประสาท
หนิงอี้ตอบกลับไม่ได้
สะลึมสะลือหลับไป ตื่นมาอีกก็ทำซ้ำเช่นนี้
ชีวิตผ่านวันเหมือนผ่านปีอย่างแท้จริง
จนเขาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนลืมตาได้ ความรู้สึกชานั้นยังอยู่ ตนขยับตัวไม่ได้ และพูดไม่ได้
แต่สิ่งที่ทำให้หนิงอี้อบอุ่นลึกๆ ในใจคือตนลืมตาขึ้น ก็เห็นใบหน้ารูปไข่ของเผยฝาน
“หิวรึ”
“…”
“กระหายรึ”
“…”
“เป็นอะไร”
พูดไม่ได้ ได้แต่ส่งสายตา หนิงอี้กะพริบตาอย่างยากลำบาก เด็กสาวที่ฉลาดมากเข้าใจความหมายของเขา
กินโจ๊ก ดื่มน้ำ เปลี่ยนอาภรณ์
จนโจ๊กสุกแล้ว หนิงอี้อ้าปากได้แล้ว เขาพูดถึงเรื่องถนนนิมิตชาดด้วยเสียงอ่อนแรง
เผยฝานรู้อยู่ก่อนแล้ว หลายวันมานี้ดังไปทั้งถนนใหญ่ซอยเล็ก หน้าจวนเงียบสงบผิดปกติ ไปๆ มา มีคนมาเยี่ยมเยือนมากมายผิดปกติ คำเชิญมากมายถูกนางปฏิเสธไป
ต่อให้เป็นอย่างนั้นนางก็ยังฟังหนิงอี้พูดอย่างอดทน ตอนหนิงอี้จะพูดก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางจะป้อนโจ๊กที่เพิ่งเป่าเย็นใส่ปากเขา
“เรื่องก็เป็นเช่นนี้…”
หนิงอี้พูดจบ เขารู้สึกโชคดีนิดๆ ที่เขาสู่ซานอยู่โดดเดี่ยวมาตลอด ไม่มีพันธมิตร แดนประจิมก็มีเพียงภูเขาม่วง ที่นี่คือเมืองหลวง ฝ่ายที่ถือว่าเกี่ยวข้องกันก็มีเพียงสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว สำนักศึกษานี้เงียบวิเวก ต่อให้เป็นระหว่างเขาสู่ซาน ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันตลอดทั้งปี
ตนใช้ความเป็นเทพไปห้าหยดเพื่อออกกระบี่นั้น ความจริงทำร้ายตัวเองเล็กน้อย
หน้ามืดหมดสติ ปิดผนึกหกสัมผัส เป็นการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง หากไม่ปกป้องเช่นนี้ หนิงอี้อาจจะสูบพลังที่สั่งสมในกายไปทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว…ส่วนหลังจากนั้น ก็อาจจะล้มลง และเป็นการล้มลงตลอดกาล
หนิงอี้แอบปาดเหงื่อในใจ รู้สึกกลัวทีหลังขึ้นมาเล็กน้อย
ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ
ตนฟันกระบี่ใส่คุณชายคราม คุณชายครามเสียเปรียบ ตนก็ลำบากพูดไม่ได้ หากเขาสู่ซานมีพันธมิตรเยอะ ตอนที่มาขอบคุณและแสดงความยินดีในจวน พบว่าหนิงอี้นอนเป็นศพเช่นนี้ ตอนถนนนิมิตชาดแค่เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ถึงตอนนั้นข่าวรั่วไหลออกไป แผนการที่ตนกลั่นความคิดมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
เขาปากแห้งเล็กน้อย เอ่ยถาม “มีคนมาหาเรื่องเยอะเลยใช่หรือไม่”
เด็กสาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ข้าปฏิเสธไปหมดแล้ว ไม่มีใครรู้สภาพนี้ของเจ้า”
หนิงอี้พ่นลมหายใจยาว
ขุดรากลึกลงไปเป็นเพราะตนพลังบำเพ็ญไม่พอ หากพลังบำเพ็ญตนสูงกว่านี้อีกหน่อย หลังทะลวงพลัง เรื่องจะง่ายขึ้นมาก
อย่างน้อยตอนรับมือกับคุณชายครามก็ไม่ต้องวางเงื่อนไขจำเป็นเยอะขนาดนั้น สุดท้ายพึ่งที่ราบกระดูกถึงจะได้เปรียบในหนึ่งกระบี่
“หลังจากนี้เจ้าพักผ่อนให้ดี อย่าออกไปอีก” เผยฝานป้อนโจ๊กเสร็จ ใบหน้างดงามก็เคร่งขรึมขึ้น เด็กสาวไว้ผมยาว เชือกมัดผมไว้ข้างหลัง เส้นผมยาวถึงเอว เตาผิงไฟในจวนลุกโชน อุณหภูมิเหมาะสม นางสวมแค่อาภรณ์บางๆ วาดเป็นทรวดทรงเอวสวยงาม
หนิงอี้ขานรับอย่างอ่อนแรง
ตั้งแต่กลับมาจากหลังภูเขา เขาพบว่าเอกลักษณ์ของเด็กสาวเปลี่ยนไป ความนุ่มนวลงดงามดั่งเกสรดอกไม้เมื่อก่อนค่อยๆ ผลิบาน เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์อย่างหนึ่ง บางทีกระบี่ซ่อนที่ท่านเผยหมินฝากไว้ให้ ในที่สุดก็ถูกจุดไฟ แสงดาราพลิ้วไหว เด็กสาวมีเจตจำนงกระบี่ทั้งตัว เวลาพูดอย่างจริงจัง จะเคร่งขรึมจนมองตรงๆ ไม่ได้
เขาอ่านพลังบำเพ็ญของเด็กสาวไม่ได้มาตลอด
ก่อนเข้าหลังภูเขา นางน่าจะถึงจุดสูงสุดขอบเขตกลางแล้ว การลอบโจมตีของเงานั้นปลุกตื่นกระบี่ซ่อนในกายนางทั้งหมด…ตอนนี้เผยฝานเหมือนเป็นอีกคน หนิงอี้มองกลิ่นอายพลังคุ้นเคยออกจากในคำพูดและการกระทำลับๆ
อาจารย์วิถีกระบี่ของสวีจั้งคือเผยหมิน
ท่านเผยหมินคือบิดาของเผยฝาน หนิงอี้เหมือนจะเข้าใจเล็กน้อย…พ่อเสือไม่มีลูกเป็นสุนัข สิ่งที่สืบต่อในกระบี่ซ่อน เกรงว่าคงเป็นคลังสมบัติจิตใจของท่านปราชญ์กระบี่
นอนอยู่บนเตียง เด็กสาวนั่งอยู่ไม่ไกล นางอ่านตำราเงียบๆ หลายวันมานี้ก็เป็นเช่นนี้ เพื่อดูแลหนิงอี้ นางจึงย้ายตำราโบราณมาไว้ที่โต๊ะหนังสือในห้องหนิงอี้
หนิงอี้หลับตาพักผ่อน เขานึกไปถึงตอนนั้นที่ตัดสินกับคุณชายครามบนถนนนิมิตชาด
นึกถึงเจตจำนงกระบี่ที่จะหายไปทุกเมื่อนั้นตอนที่ตนคลำกระบี่และใช้ความเป็นเทพไปทั้งหมดห้าหยด
การตัดสินกับยอดฝีมือทุกคนล้วนเป็นโชคล้ำค่า ก่อนหนิงอี้เดินออกจากเขาสู่ซาน เขาไม่มีประสบการณ์ใดๆ เลย เขาสรุปบทเรียนในการต่อสู้จริง สั่งสมมาทีละหยด หากตอนแรกตนเปลี่ยนวิธีการออกกระบี่ บางทีอาจจะประหยัดความเป็นเทพไปได้บ้างหรือไม่
เขาครุ่นคิดช้าๆ ความคิดฉายเป็นภาพนั้นไม่หยุด ตกตะกอนอยู่ในนั้น
เด็กสาวเผยฝานที่อยู่ตรงข้ามเตียงหนิงอี้ไม่ไกล นั่งบนเก้าอี้เถา อาบแสงตะวันข้างนอก ครึ่งตัวอยู่ในแสงสว่าง นางถือม้วนโบราณม้วนหนึ่ง สีหน้าดูไม่ยินดียินร้ายและเป็นธรรมชาติ
กระบี่ซ่อนกำลังเปล่งแสงสีแดงอ่อนยิ่ง
หนิงอี้ไม่รู้ ม้วนคัมภีร์โบราณนี้ไม่ใช่ค่ายกลมารดาบุตรที่นางศึกษาในตอนนั้นแล้ว
เด็กสาวถือม้วนคัมภีร์โบราณ กำลังอ่านอย่างยากลำบาก สีหน้านางไม่เห็นคลื่นอารมณ์ใดๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย กระทั่งมีความสุขในนั้นเล็กๆ
อ่านจนแสงตะวันอยู่กลางศีรษะ อ่านจนตะวันยามอัสดงลับทางตะวันตก
สองคนมีพูดคุยหัวเราะ เด็กสาวป้อนอาหารเย็นให้หนิงอี้ ผ่านไปไม่นาน ความเจ็บปวดที่ใช้ความเป็นเทพเกินขีดจำกัดหลั่งไหลเข้ามาเหมือนน้ำหลาก หนิงอี้ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เด็กสาวกลับมาในบ้าน มองไปรอบๆ ใบหน้าเรียบนิ่ง
นางวางม้วนคัมภีร์ที่ปิดไว้แล้วลงบนโต๊ะ
นางรู้ว่ากระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาดไม่ใช่สิ่งที่หนิงอี้ในตอนนี้จะฟันออกไปได้
หนิงอี้จ่ายไปไม่น้อยเพื่อกระบี่นี้
ทุกคนล้วนมีความลับ นางจะไม่ถามมาก
เด็กสาวมองแสงสว่างภายในห้อง กระบี่แต่ละเล่ม ปลายกระบี่ขยับตามตน ยังคงเล็งมาที่ตน กระบี่บินมากกว่าพันเท่าลอยอยู่ในห้องเช่นนี้เต็มไปหมด นางสูดลมหายใจเบาๆ ตราพุทราแดงนั้นตรงระหว่างคิ้วเปล่งแสงสว่าง
กระบี่ซ่อน
ซ่อนกระบี่
กระบี่เต็มฟ้าหดเล็กเข้าไปในระหว่างคิ้ว แสงดาราสว่างไสว
เด็กสาวมีใบหน้าปกติ นางหยิบม้วนคัมภีร์โบราณนั้นขึ้นมา
‘คัมภีร์กระบี่ซ่อน’ สามคำเด่นตา มีปราณกระบี่เข้มข้น
หนึ่งกระบี่ซ่อน กระบี่เต็มฟ้า อักษรโบราณหนึ่งม้วนคัมภีร์
นี่คือมรดกสุดท้ายที่เผยหมินให้ไว้กับบุตรสาวของเขา
…………………………..