ตอนที่ 44 เมื่อกฎปาเข้ามา (rewrite)
ตรงหัวถนนไกลๆ มีรถม้าคันหนึ่ง สองข้างรถม้าเป็นกองทหารเมืองหลวงต้าสุยสวมเกราะทอง เป็นระเบียบ มีชื่อเสียงและอำนาจ
สามกรมต้าสุย กรมข่าวกรองที่ปกคลุมทั้งใต้ฟ้าสี่เขตต้าสุย กรมผู้คุมกฎในเมืองหลวง รวมถึงกรมปราบปีศาจในเขตทะเลพลิกผันแดนอุดร
เมืองหลวง ขุมอำนาจของกรมผู้คุมกฎค่อนข้างใหญ่ จะดูถูกไม่ได้เลย เรื่องเล็กใหญ่ในเมืองหลวง ความจริงเป็นหน้าที่จัดการของกรมผู้คุมกฎ โครงสร้างของกรมผู้คุมกฎยิ่งใหญ่ เป็นสถานที่ดีที่ราชวงศ์จะส่งลูกหลานเข้าไป และเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหลังที่ช่วยอำพรางเรื่องชั่ว
เจ้ากรมทั้งสามคนแห่งกรมผู้คุมกฎล้วนเป็นราชนิกุล เรียงตามกันลงไป เจ้ากรมน้อยเป็นผู้ถือคำสั่ง ข้าราชการสามขั้นนี้สามารถสวมมงกุฎให้ตัวเองได้ ล้วนเป็นราชนิกุลต้าสุยที่มีฐานะไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับคนใหญ่คนโตระดับอ๋อง ปกติจะมีเพียงราชนิกุลต้าสุย และคนสนิทที่เหล่าอ๋องพวกนั้นให้ความสำคัญถึงจะได้รับหน้าที่ในกรมผู้คุมกฎ
อาณาจักรแห่งนี้ดูยังแข็งแกร่งเหมือนเมื่อร้อยปีพันปีก่อน
แต่ต้นไม้แก่พันปีสักวันต้องโค่นล้ม เริ่มจากใจกลางต้นไม้ส่วนใน ลุกลามไปช้าๆ ถึงจะเกิดผลเสีย
ในเนื้อในของอาณาจักรเน่าเสียแล้ว ในเมืองหลวง สิ่งที่รับผิดชอบค้ำยันสามกรมไม่ใช่กฎหมายที่คัดเลือกตาม ‘คุณธรรมและความสามารถ’ อีก แต่เป็นความไม่รู้ผิดชอบชั่วดีที่ ‘รับแต่ญาติพี่น้องตนเอง’
ต้าสุยก็ยังไม่เสื่อมสลาย แต่ทุกอย่างโยงไปถึงตัวจักรพรรดิไท่จง
ต่อให้เมืองหลวงตอนนี้จะเน่าเฟะกว่านี้อีกหน่อย ไท่จงก็ไม่เคยล้มลง เช่นนั้นทุกอย่างจะค่อยๆ ฟื้นกลับมาด้วยมือของเขา
เวลานานเข้า อาณาจักรจะเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย
“ที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ว่าใครทำอะไรฝ่าฝืนกฎหมายต้าสุย ก็ไม่อาจเลี่ยงผลที่ตามมาได้…สิ่งที่ควรรับก็ต้องรับ หรือเจ้าคิดว่าจะเหนือกว่ากฎหมายของฝ่าบาทไท่จงได้รึ”
รถม้านั้นหยุดลง
คนที่มาตรอกฝนพรำไม่ใช่ท่านกงซุนผู้ถือคำสั่งที่เพิ่งรับตำแหน่งมาอย่างที่ท่านหญิงคนนั้นแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคิด แต่เป็นเจ้ากรมน้อยที่มีสายเลือดจวนขานฟ้า
รถม้านั้นหยุดลง คนที่เปิดม่านออกมาเป็นบุรุษสวมอาภรณ์เรียบง่าย สีหน้าดูราบเรียบแต่อวดดี ในตัวเขาไม่เห็นร่องรอยของผู้บำเพ็ญเลย เกรงว่าคงถูกดนตรีขับร้องสูบกายทุกคืนในเมืองหลวงต้าสุย เจ้ากรมน้อยที่ดูเด่นตาคนนั้นสวมอาภรณ์ไม่ได้แล้ว พุงยื่น เดินมาหน้าหนิงอี้
“คุณชายหนิงอี้รึ ได้ยินว่าเจ้ามีชื่อเสียงดังมากในเมืองหลวง…เป็นอาจารย์อาน้อยอะไรนะ” เขาขมวดคิ้วขึ้น “แต่พวกนี้ไม่สำคัญ หากยังตรวจสอบตรอกฝนพรำไม่เรียบร้อย เกรงว่าเจ้าคงกลับไปไม่ได้ วางอาวุธลง มากับข้าเสียดีๆ เห็นแก่หน้าสำนักเจ้า กรมผู้คุมกฎจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้า”
หนิงอี้หรี่ตาลง เขาได้กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงจากตัวคนอ้วนนี่
กลิ่นเจ้าขุนมูลนายเช่นนี้แสบจมูกจริงๆ ทำให้เขากำด้ามกระบี่แน่น
“ท่านปู้หรู!” ฉินโซ่วที่เห็นหนิงอี้กำด้ามกระบี่มองผู้อาวุโสสำนักตน ก่อนจะรีบพูด “คุณชายหนิงอี้คนนี้เป็นแขกคนสำคัญของคุณชายคราม จะดูแคลนมิได้”
หนิงอี้ยิ้มเยาะ
คำพูดนี้ ท่านหญิงถ้ำกวางขาวคนนั้นยังฟังแล้วรู้ถึงความหมายแฝง
คนที่รับผิดชอบคดีนี้ ตามหลักน่าจะเป็นผู้ถือคำสั่งแซ่กงซุนคนนั้น มาเปลี่ยนกันจวนตัว เป็นเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยปู้หรูที่มีขั้นเหนือกว่า และยังเป็นผู้บำเพ็ญสายเลือดจวนขานฟ้า ถ้าบอกว่าในนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน นางไม่เชื่อเด็ดขาด
หนิงอี้ปัดๆ ฝุ่นบนตัวก่อนพูดนิ่งๆ “ท่านเจ้าผู้คุมกฎน้อยจะกักขังข้ารึ”
ปู้หรูหัวเราะเหอะๆ ไม่ตอบ แต่ทหารเกราะทองข้างหลังเขาเรียงแถวกันเงียบๆ ภายในเมืองหลวง การดำเนินคดีของกรมผู้คุมกฎแทบจะไม่เคยมีปัญหาติดขัดเลย
หลายปีมานี้ใครกล้าขวางกรมผู้คุมกฎบ้าง
กรมผู้คุมกฎจะลงโทษใครไม่ต้องมีโทษใด ขอแค่สงสัยก็ได้แล้ว
กองทหารเกราะทองอยู่ที่นี่ หากขัดขืน เช่นนั้นจะกักตัวด้วยโทษขัดขืน ถึงตอนนั้นโทษจะหนักไปอีกขั้น
หากไม่ขัดขืน เช่นนั้นพากลับกรมผู้คุมกฎ วิธีการ ‘ต้อนรับ’ และ ‘ซักถาม’ ก็มากพอจะทำให้คนที่ถูกพากลับไปปฏิเสธทุกอย่างก็ต้องมีโทษ
คนดีถูกทรมานจนต้องรับโทษหรือ ดูถูกพวกเขาเกินไปแล้ว
ใต้เท้าบุตรสวรรค์ วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ข้อหาการก่อกบฏมาข่มขู่ คิดจะทำลายชื่อเสียงของจักรพรรดิไท่จง ใครจะกล้าขัดขืน ศูนย์กรมผู้คุมกฎใหญ่มีเสียงร้องและเสียงด่าทอดังตลอดทั้งคืน น่าเสียดายประตูเหล็กหนักนั้นของกรมผู้คุมกฎ หากปิดลงแล้ว โลกข้างนอกจะไม่ได้ยินอะไรเลย ยังคงสงบสุขเหมือนโลกที่สวยงาม
อย่าว่าแต่หนิงอี้บรรลุขอบเขตหลังเลย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญของเขตที่สิบ หรือผู้บำเพ็ญดาราชะตา มากรมผู้คุมกฎก็ต้องหนังหลุดชั้นหนึ่ง
ราชันดาราอี๋อู๋แห่งจวนขานฟ้าเป็นอาจารย์อาน้อยที่เจ้ากรมน้อยปู้หรูเคารพมาก คนใหญ่คนโตที่ไม่ยุ่งทางโลกในสำนักศึกษาไม่ออกมือ ราชันดาราก็เป็นผู้บำเพ็ญที่แกร่งที่สุดแล้ว ราชันดาราอี๋อู๋อยู่สูงส่งในเมืองหลวง ยินดีปกป้องตนเดินมาถึงก้าวนี้ ตนช่วยทำงานบางอย่าง มีโอกาสได้ติดตามอยู่ข้างกายนับเป็นโชควาสนาเท่าฟ้า
ปู้หรูมองเด็กหนุ่มหัวดื้อที่ถือกระบี่ตรงหน้าพลางยิ้มอ่อนโยน “คุณชายหนิงอี้พูดเล่นแล้ว…แค่เชิญไปนั่งที่กรมผู้คุมกฎเท่านั้น ดื่มชา และจะได้ถือโอกาสคุยเรื่องที่เกิดขึ้นในตรอกให้ชัดเจนด้วย จะได้สะดวกกับการสืบคดี”
“ไม่ต้องไปกรมผู้คุมกฎ ข้าจะพูดให้ชัดเจนตรงนี้เลย”
หนิงอี้ชี้หัวนั้นบนพื้นพลางเอ่ยอย่างเฉยชา “พญายมน้อยแห่งจวนปฐพีคิดจะลอบสังหารข้า เขาถูกข้าฆ่า ป้ายคำสั่งนี้ยืนยันตัวตนเขาได้”
ปู้หรูยังคงยิ้ม เขานึกถึงคำกำชับของราชันดาราอี๋อู๋ ถามเชิงซ่อนดาบในรอยยิ้ม “คุณชายหนิงอี้คิดว่าเบื้องหลังจวนปฐพีมีใครเป็นตัวบงการ”
คำพูดนี้มีการวางแผนมาก่อนแล้ว
หนิงอี้หรี่ตาลง ใจนึกจิ้งจอกเฒ่าแห่งจวนขานฟ้านี่ เลวยันในกระดูกจริงๆ ดีที่ตนขีดความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องนี้กับราชวงศ์ชัดเจน หากเมื่อครู่มีเค้าลางว่าจะหันหัวหอกไปทางราชวงศ์แม้แต่นิด กองทหารเกราะทองที่มา ‘อย่างเชื่องช้า’ พวกนี้ก็คงจะลงมือทันทีแล้ว
หนิงอี้ยิ้มเยาะในใจ ก่อนพูดเสียงดังอย่างน่าประหลาด “จวนปฐพีทำอะไรต้องมีใครบงการด้วยรึ และจะมีใครกล้าบงการอีก”
เมื่อเอ่ยจบ ปู้หรูมีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย
“ท่านเจ้ากรมน้อย ท่านกำลังสงสัยว่ามีใครบงการจวนปฐพีให้สังหารข้ารึ” หนิงอี้พูดเสียงดัง ดังจนคนในตรอกฝนพรำได้ยิน “แม่ทัพสวรรค์อยู่เบื้องบน ในเขตต้าสุย บุตรสวรรค์ใหญ่ที่สุด…ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้! ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าใครที่มีอำนาจบงการจวนปฐพีได้ ท่านจะต้องทวงความเป็นธรรมให้กับข้า!”
เจ้ากรมน้อยจวนขานฟ้าที่อยู่กินสบายในกรมผู้คุมกฎเมืองหลวงมาสิบกว่าปีตกใจจนเหงื่อท่วมตัวกับคำพูดของหนิงอี้
ยังมีใครอีก
เดิมทีตนคิดว่าจะกักขังหนิงอี้ด้วยข้อหาหมิ่นราชวงศ์ต้าสุย เหตุใดพูดไปพูดมา ข้อหานี้กลับมาตกอยู่ที่ตนอย่างน่าประหลาด
เจ้าลูกกระต่ายนี่ เจ้าเล่ห์จริงๆ!
เมื่อรู้สึกถึงสายตาแปลกๆ และซับซ้อนจากโดยรอบแล้ว ปู้หรูรีบลดมือลง พูดด้วยใบหน้าแดงหูแดง “เปล่าเลยๆ…เพียงแค่สงสัย แค่คาดเดาเท่านั้น!”
“สงสัย คาดเดารึ” หนิงอี้พูดจากใจจริง “ท่านปู้หรูมีใครอยู่ในใจใช่หรือไม่”
โดนลูกไม้แบบนี้อีกแล้ว ตอนนี้ยิ่งอธิบายยิ่งแย่…
ปู้หรูด่าทอในใจ ปิดปากไม่พูดเสียเลย
เขากระแอมไอในลำคอ ก่อนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หนิงอี้! คดีนี้มียังมีหลักฐานไม่เพียงพอ ตามกฎหมายต้าสุยแล้ว ข้าจะต้องพาเจ้ากลับไปกรมผู้คุมกฎใหญ่ เจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่”
พูดไปตั้งมากกลับไม่มีประโยชน์เลย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎเดิมของกรมผู้คุมกฎ
ปู้หรูมองไปรอบๆ เห็นสายตาเกรงกลัวและเคียดแค้นรอบๆ แต่ก็รับไว้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่รู้สึกอะไรเลย
กองทหารเกราะทองข้างหลังถือง้าวยืนตรง วงแสงสายเลือดของราชวงศ์เปล่งแสงมาจากในซอกของชุดเกราะ ถนนตรอกฝนพรำสั่นไหวเบาๆ ปลายง้าวชี้ลงพื้น พื้นหินดำ เศษหินหลายชิ้นสั่นไหวในความถี่สูง ตกลงและลอยขึ้นใหม่
หนิงอี้กำพินิจเหมันต์แน่น มองอย่างเฉยชา
กรมผู้คุมกฎต้าสุย มีอำนาจยิ่งใหญ่มาก
สวีจั้งเคยบอกตนว่าใต้ฟ้าแห่งนี้มีกฎมากมายมาจำกัดผู้บำเพ็ญ ทำให้คนเงยหน้าไม่ได้ก้มหน้าไม่ได้ เดินหน้าไม่ได้ถอยหลังไม่ได้ นานเข้า หากกฎบอกเจ้าว่าแม้แต่หายใจยังผิด เช่นนั้นเจ้าก็หายใจไม่ได้
ทว่าในฟ้าดิน ไหนเลยจะมีกฎมากขนาดนั้น
หากจับกระบี่ไว้ เช่นนั้นกฎปาเข้ามาไม่ขาดสาย ก็ฟันทิ้งเสีย!
จวนขานฟ้าคิดจะใช้กลอุบายสร้างความลำบากให้ตน หนิงอี้รู้ ต่อให้ตนเข้าไปในกรมผู้คุมกฎจริงๆ อีกฝ่ายจะทำอะไรได้ หากศิษย์พี่หญิงพันกรโกรธ ทั้งกรมผู้คุมกฎจะต้องพังพินาศ!
แต่เขาไม่มีทางก้มหัวเด็ดขาด
เดินอยู่ใต้ฟ้า เขาเป็นตัวแทนเกียรติของเขาสู่ซาน เป็นตัวแทนเกียรติของสวีจั้ง เป็นตัวแทนเกียรติของคุณชายเจ้าหรุย
เมื่อเห็นหนิงอี้กำพินิจเหมันต์แน่น รอยยิ้มใต้ตาปู้หรูลึกยิ่งขึ้น
เขากำลังรอตอนนี้อยู่ เด็กหนุ่มเทือกเขาประจิมคนนี้ อายุยังน้อยไม่รู้ว่ากฎแรงเพียงใด จะชนกำแพงตายสู้กับราชวงศ์ เขาปู้หรูเป็นเพียงตัวละครเล็กๆ แต่ภูเขาข้างหลังคือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดในใต้ฟ้า จึงไม่ถือสาที่จะวัดกับเด็กหนุ่มถือกระบี่คนนี้ ว่าอีกฝ่ายกับที่พึ่งพิงของตนใครจะแข็งกว่ากัน
‘มาสิ ลงมือเลย’
ปู้หรูอดหัวเราะในใจไม่ได้
เสียงสตรีกังวานดังขึ้นในตรอกฝนพรำ
ท่านหญิงสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่ถือตะเกียงคนนั้นนั่งยองลงวางตะเกียงบนพื้น ก่อนยืนขึ้นช้าๆ มาขวางหน้าหนิงอี้
ปู้หรูขมวดคิ้ว
หญิงคนนั้นชูป้ายชื่อขึ้นอย่างนุ่มนวล ป้ายชื่อนั้นเปล่งแสงเชื่องช้า ดวงตานางสะท้อนเป็นสีแดง เปลวไฟแผ่ออกมา
“สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวขอคัดค้าน”
นางพูดนิ่งๆ “ข้ามีสายเลือด ‘เคียงกระบี่’ อาจารย์อาคือยอดผู้บำเพ็ญสุ่ยเยวี่ยขอบเขตดาราชะตา”
นางชูป้ายคำสั่งขึ้น แสงไฟกับปราณกระบี่พัวพันกัน เงาสะท้อนของสุ่ยเยวี่ยลอยขึ้นมาช้าๆ
สตรีสวมชุดคลุมดำที่เคยมาร่วมพิธีศพของสวีจั้งบนเขาน้ำค้างเล็กคนนั้นแสดงร่างอิทธิฤทธิ์มาส่วนเล็กๆ
กองทหารเกราะทองในเมืองหลวงพลันพบว่าตนขยับตัวไม่ได้
สุ่ยเยวี่ยในชุดคลุมดำมองปู้หรูข้างล่างพลางเอ่ยเสียงเย็นชา
“ข้าจะปกป้องหนิงอี้…เจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่”
………………………