ตอนที่ 99 เบามือหน่อย
“เขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ เล่าลือว่าเป็นสนามรบของผู้เป็นอมตะในตอนนั้น นอกจากเขตต่างๆ นอกที่ราบสูงเทพสวรรค์แล้ว ความจริงผู้บำเพ็ญระดับนิพพานทุกรุ่นของต้าสุยได้ทำการสำรวจไปพอประมาณแล้ว ขอแค่ทุกคนเดินตามเส้นทางแผนที่ในมือ ก็จะไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายใด”
นกกระจอกเงินเดินนำหน้าสุด กลุ่มคนตามหลัง เดินทางไปบนที่ราบสูงเทพสวรรค์
หนิงอี้ก้มหน้าลงมองม้วนหนังแกะโบราณที่ผ่านการแช่ด้วยวิธีการโบราณในมือ วาดทั้งเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ จุดอันตรายมีสองที่ ที่หนึ่งเรียกว่า ‘ภูเขาแดง’ อีกแห่งเรียกว่า ‘หุบเขาวิญญาณร่วงหล่น’ กำลังหลักขององค์ชายรองและองค์ชายสามออกจากที่ราบสูงเทพสวรรค์แล้ว สีเขียวที่เป็นพื้นที่กว้างบนแผนที่หมายถึงว่าที่ราบสูงแห่งนี้…ไม่มีอันตรายอะไรจริงๆ
ที่ราบสูงเทพสวรรค์ เป็นที่ที่ราชสำนักต้าสุยให้เป็นลานการล่า มีผู้มีอิทธิพลสามกรมจำนวนมากประจำการ และยังห่างไกลจากถิ่นของเผ่าปีศาจมาก ต่อให้ไม่อยู่แดนอุดรแล้ว ก็ยังปลอดภัยมาก
หนิงอี้สังเกตเห็นว่าเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณที่ว่า เขตแดนแปดส่วนเป็นที่ราบเทพสวรรค์กว้างใหญ่ มุ่งตรงไปทางเหนือตลอด…เขตสันติระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ เขตต้องห้ามมากมาย มีเพียงเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณที่หลายปีมานี้ยังสงบนิ่งไม่มีเหตุการณ์ใดมาตลอด
ส่วนที่ราบสูงเทพสวรรค์ก็ข้ามเขตต้องห้ามมาหลายแห่ง มีเพียงที่นี่ที่ค่อนข้างปลอดภัย
ส่วนลึกของที่ราบยักษ์แห่งนี้ก็มีเผ่าปีศาจบุพกาลที่แข็งแกร่งเช่นกัน
ทั้งหมดสิบคน
เดินหน้าไปเช่นนี้ หลายชั่วยามต่อมา สิ่งรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ใช่ที่ราบที่มองไปสุดสายตาอีก หมอกลอยมาไกลๆ หินภูเขายกขึ้น ระหว่างทางนี้ เยี่ยนจือเลือกปล่อยแสงดาราของตนนำทางอย่างอวดดี แต่ก็ไม่เจอเผ่าปีศาจบุพกาล
ระหว่างทางน่าเบื่อนิดๆ หนิงอี้ขี่ม้า หลับตาพักผ่อน แบ่งสมาธิเล็กน้อยไปกับการรักษาสมดุล เขารั้งท้ายสุดของกลุ่ม เก็บม้วนหนังแกะโบราณไปแล้ว หนิงอี้ก็ใช้สมาธิส่วนใหญ่ไปกับกระบี่โบราณสามเล่มบนทะเลสาบจิต
หนวดมังกร
รุ้งขาว
อักษรเต่า
กระบี่บินสำนักศึกษาสามเล่มนี้ หากใช้ ‘คุมกระบี่ดรรชนีสังหาร’ ควบคุม ด้วยพลังบำเพ็ญเขาตอนนี้ เกรงว่าคงกลายเป็น ‘ปล่อยไก่’ ยังสู้กับศัตรูขอบเขตที่หกได้ หากเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ด แม้จะได้เปรียบกว่า แต่หากใช้สถานการณ์จะพลิกกลับทันที…สาเหตุใหญ่ที่สุดเพราะความชำนาญของ ‘ดรรชนีสังหาร’ ของตนยังไม่มากพอ เขาเอียงไปทางถือกระบี่สังหารมากกว่า เดินเส้นทางของสวีจั้ง หนึ่งกระบี่อยู่ในมือ มหามรรคของโลก ผ่ากฎเกณฑ์ฝุ่นธุลีให้หมด
และยังมีอีกสาเหตุ ก็คือระดับของกระบี่บินสามเล่มนี้สูงเกินไป เดิมทีนี่เป็นเรื่องดีเท่าฟ้า แต่สำหรับหนิงอี้ตอนนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไรจริงๆ
พินิจเหมันต์ได้ท่านชายเจ้าหรุยปรับแก้ให้ไว้สำหรับศิษย์เขาสู่ซานโดยเฉพาะ หนิงอี้ถือในมือได้ก่อนขอบเขตแรก ชำนาญประกายคมทุกส่วนและทุกเส้นสายของมันนานแล้ว
แต่กระบี่สามเล่มของสำนักศึกษามีสัมพันธ์กับตนแปลกตามาก ต่อให้ยกมาจากทะเลสาบจิตก็ยากจะให้เกิดผล ‘เกินคาด’ ได้
หากหนิงอี้เดินวิถีกระบี่ขึ้นไปอีกขั้นได้ สถานการณ์ก็อาจจะเปลี่ยนไป
พลังบำเพ็ญของตนถึงคอขวด ขอบเขตที่หกไปขอบเขตที่เจ็ดต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล เดิมทีหนิงอี้คิดว่าตนจะอยู่ในขอบเขตที่หกนานหน่อย ย่อยสิ่งที่ตระหนักรู้มาบ้าง…แต่เขาไม่นึกเลยว่าตนจะปรับสภาพกับขอบเขตพลังนี้ได้เร็วมาก กระทั่งหลายวันก่อนที่จะไปตามนัด หนิงอี้ลังเลมาตลอดว่าจะกลับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก่อนดีหรือไม่ จะขอทรัพยากรในสุสานสำนักศึกษาเล็กน้อยเพื่อทะลวงขอบเขตที่หก
จะสำเร็จก็ไม่ ขาดแค่ลมตะวันออก
หากตนทะลวงพลังบำเพ็ญแสงดารา เช่นนั้นวิชาต่างๆ จะก้าวขึ้นไปขั้นใหญ่ สู้กับผู้บำเพ็ญอัจฉริยะขอบเขตที่เจ็ดก็จะมีรากฐานที่มั่นคง หนิงอี้ยังคิดอยู่ตลอดว่าหากสู้กับขอบเขตหลัง ตนมีแค่เส้นทางวิถีกระบี่ เช่นนั้นกลอุบายของตนก็คงจะเปราะบางไปจริงๆ
ขอบเขตหลัง…
เขาท่องคำนี้เงียบๆ บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายถูกสงสัยกันมานานแล้วว่ามีพลังบำเพ็ญขอบเขตที่แปด ตอนนี้ใกล้งานราชวงศ์ใหญ่เข้าไปเรื่อยๆ เขากลับยังไม่ก้าวสู่ขอบเขตหลังเลย
หนิงอี้พ่นลมหายใจยาว ไม่คิดเรื่องกวนใจที่ทำให้คนกังวลพวกนั้นอีก
ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกบำเพ็ญ
หนิงอี้ไม่สังเกตเห็นสิ่งเล็กๆ ที่เกิดขึ้นข้างนอก
……
กลุ่มผู้บำเพ็ญสิบคนเข้าสู่หุบเขาแห่งหนึ่ง ภูมิประเทศพลันแคบขึ้น
ระหว่างทาง หลายคนส่งสายตากัน
นกกระจอกเงินอยู่หน้าสุด เขาจับความคิดวุ่นวายพวกนั้นในกลุ่มตนได้อย่างเฉียบคม เดินหน้าไม่เร็ว ‘หมายเลขเก้า’ ที่ตามหลังสุดนั้นอยู่รั้งท้ายสุดของกลุ่มตลอด ไม่รีบไม่ร้อน เหมือนไม่กลัวตนตกขบวนเลย ผนึกจิต นี่กำลังฝึกบำเพ็ญรึ
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่นกกระจอกเงินที่พบว่าหนิงอี้กำลังฝึกบำเพ็ญ
หญิงสองคนที่ยั่วยุหนิงอี้ก่อนหน้านี้ก็พบเรื่องนี้เช่นกัน หญิงสองคนจากแดนทักษิณจงใจลดความเร็วลง ใจอยากเห็นหมายเลขเก้าที่สวมหน้ากากหัวใจราชสีห์ชัดๆ ตามหลังสุดขบวน กำลังฝึกวิชาอะไร
ดังนั้นเลยมีการส่งสายตาลับๆ
หญิงสองคนเร่งความเร็ว มาอยู่ตรงกลาง ส่งสายตากับผู้บำเพ็ญชุดคลุมดำหลายคน
แสงดาราห่อหุ้มเสียง ดังผ่านในอากาศ
“ดูไม่เหมือนผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ…และไม่เหมือนศิษย์สำนักใหญ่”
“ตอนแรกข้าคิดว่าเขาเป็น ‘กุมาร’ นั่นจากภูเขาใหญ่แสนลี้ ดูท่าคงไม่ใช่”
หญิงคนหนึ่งที่ส่งกระแสจิตหรี่ตาลง “ได้ยินว่าพรสวรรค์ของกุมารเหนือธรรมดา ถูกเลือกให้เป็นหายนะที่ห้าของคุณชายหานเยวียแล้ว หลังจบวันล่าเหยื่อ ถึงขั้นใช้ตัวตนของผู้ฝึกบำเพ็ญภูตผีมาร่วมงานราชวงศ์ใหญ่แดนกลาง”
ผู้บำเพ็ญหลายคนปกติจะเคยแลกตัวตนกัน รู้ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นผู้บำเพ็ญแดนทักษิณ สำนักเบื้องหลังก็อยู่ไม่ไกลกัน แม้จะไม่รู้รายละเอียดใหญ่ๆ แต่การออกเดินทางครั้งนี้ก็ผูกมิตรกันไปบ้างแล้ว
หมายเลขสาม ชายร่างกำยำสูงใหญ่ที่ข้างหลังแปะยันต์ ‘ขนห่าน’ หลายสิบจั้งก็เป็นผู้บำเพ็ญภูตผีเช่นกัน เขาหันไปมองหนิงอี้ มองใบหน้า ‘เหม่อลอย’ นั้นพลางคิดในใจ
หมายเลขสามหันกลับมา เอ่ยช้าๆ “จะออกจากที่ราบสูงเทพสวรรค์รึยัง”
เสียงที่ปะปนแสงดาราเย็นยะเยือกนี้ส่งถึงหูเยี่ยนจือ
เขาไม่หันกลับมา แค่พยักหน้าอย่างเย็นชา
หมายเลขสามเริ่มลดความเร็วลงด้วยใบหน้าเฉยชา
ออกจากที่ราบสูงเทพสวรรค์ คนของสามกรมจะไม่สนใจว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ที่นี่เป็นเขตไร้คนกำกับ หรือก็คือคำพูดนั้นที่นกกระจอกเงินพูดสบายๆ ก่อนหน้านี้ เป็นตายถึงแก่ชีวิต ขึ้นอยู่กับความสามารถของตนเอง…
‘ทุกท่านเก็บกวาดให้เรียบร้อย ซ่อนตัวตนให้ดี ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครพบ’
หนึ่งคำพูดสองความหมาย
คนที่ลดความเร็วพร้อมกับหมายเลขสามยังมีหญิงสองคน รวมถึงบุรุษผอมสูงสองคน หน้าหลังซ้ายขวา ทั้งหมดห้าคน ล้อมหนิงอี้ไว้ตรงกลาง
ผู้บำเพ็ญแดนทักษิณส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญป่าเขา ในที่ราบสูงเทพสวรรค์ พวกเขาล่วงเกินคนที่พลังบำเพ็ญแกร่งกว่าตนพวกนั้นไม่ได้ และล่วงเกินคนที่เบื้องหลังแข็งแกร่งเกินไปไม่ได้ แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญพเนจรเหมือนกัน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลัวอะไร
คนที่ไม่ได้ลดความเร็วลงพร้อมกับพวกเขา กอดอกมองดูอย่างเฉยชา…พวกเขาไม่ถูกผู้บำเพ็ญแดนทักษิณจับจ้องย่อมมีเหตุผลของพวกเขา ตอนนี้ดูแล้ว พวกเขายินดีมากที่จะได้เห็นการกระทบกระทั่งในตอนนี้
ถือเป็นความบันเทิงก่อนการปล้น
หนิงอี้ยังคงหลับตาพักผ่อน เพียงแต่ว่าเขาสังเกตเห็นว่ามีสายตาหยั่งเชิงมองมาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
วิชาตรวจจับของเขาสู่ซาน เป็นหนึ่งใต้หล้า!
เสียงที่หุ้มด้วยแสงดาราพวกนั้น หนิงอี้ตั้งใจจับก็ได้ยินทุกอย่างชัดเจน ผู้บำเพ็ญพเนจรแดนทักษิณอาจจะมีวิธีการสังหารคนเหี้ยมโหดเหนือกว่าขั้นหนึ่ง แต่การใช้แสงดารา พวกเขาใช้ไม่ได้เลย ห่างชั้นกันมาก…หนิงอี้ขี้เกียจสนใจ คลื่นระหว่างทางอาจจะมีบ้าง ความมั่นใจจากในคำพูดนกกระจอกเงินทำให้การปล้นสะดมครั้งนี้เป็นเรื่องง่าย แต่หนิงอี้ตื่นตัวตลอด
หลายร่างเงาล้อมหนิงอี้ไว้ตรงกลาง
เขาเอ่ยราบเรียบ “ทุกท่าน ยังทำงานไม่เสร็จเลย…ไฉนต้องรีบร้อนเช่นนี้”
เสียงของหมายเลขสามหนักดุจขุนเขา เขาขนาบข้างขวาหนิงอี้ ระยะห่างระหว่างสองคนเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ
“ไม่รีบ…เราห้าคนมาจากแดนทักษิณ ร่วมมือกันไม่เคยพลาด ดังนั้นเลยมาที่นี่…อยากถามคำถามเดียว เจ้ามาจากภูเขาใดในแดนทักษิณ”
หนิงอี้ได้ยินดังนั้นก็ตอบเบาๆ “แดนทักษิณแสนลี้ เอ่ยสำนักมาเจ้าก็อาจไม่รู้จัก”
หมายเลขสามแค่นยิ้ม “เช่นนั้นก็ลองโผล่มือมาหน่อย ให้พวกเราเปิดโลกกันหน่อยได้หรือไม่”
หนิงอี้ยังคงไม่ลืมตา เขาพูดเนิบนาบ “หากข้าจำไม่ผิด หลี่ไป๋จิงให้ป้ายคำสั่งทุกท่านก็เพื่อไม่ให้เผยตัวตน ส่วนข้ามาจากสำนักใด เป็นผู้บำเพ็ญพเนจรหรือไม่ มาจากแดนทักษิณแดนบูรพาหรือแดนกลาง…พวกนี้ไม่จำเป็นต้องบอกทุกท่าน”
ทางซ้ายหนิงอี้ หญิงคนหนึ่งเข้ามาขนาบข้างช้าๆ
หญิงที่เสียงดังน่ารำคาญมาตลอดพูดอย่างไม่เกรงใจ “ที่นี่ออกจากที่ราบสูงเทพสวรรค์แล้ว”
“ออกจากที่ราบสูงเทพสวรรค์…” หนิงอี้ยิ้ม “แล้วอย่างไร”
หญิงอีกคนพูดเสียงเย็นชา “พวกเรากำลังเตือนเจ้า ระวังจะมีชีวิตออกไป แต่ไม่มีชีวิตกลับมา”
เผยเจตนามาชัดเจน
โลกนี้ใจคนไม่อาจคาดเดาจริงๆ กฎการอยู่รอดของผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณคือการต่อสู้เข่นฆ่า พวกเขาเอากฎนี้มาในค่ายของดอกบัวแดนบูรพา ร่วมมือกัน รังแกของอ่อนกลัวของแข็ง…คนที่พวกเขาไม่ยุ่งด้วยก็มองดูอย่างสนุกสนาน อาจจะเผยเบื้องหลังแข็งแกร่งของเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาบางแห่งแล้ว
หากหลี่ไป๋จิงรู้เรื่องนี้ ไม่รู้เขาจะโกรธเพียงใด
หนิงอี้รู้สึกขำนิดๆ
เขาลืมตาขึ้นช้าๆ มองเงาคนซ้อนทับที่กำลังเดินไปข้างหน้า ถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่จัดการหน่อยรึ”
นกกระจอกเงินข้างหน้าสุดเหมือนเข้าสู่ห้วงความคิดสั้นๆ เพราะคำพูดนี้ของหนิงอี้ จากนั้นแค่เอ่ยคำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบออกมาเบาๆ
“เบามือหน่อยแล้วกัน”
เมื่อเอ่ยจบ ผู้บำเพ็ญภูตผีที่ล้อมรอบหนิงอี้หลายคนเหมือนโล่งอก
มีคนหัวเราะ
หนิงอี้ถอนหายใจเบา
เบามือหน่อย…นี่คือให้ตน อย่าเอาชีวิตกันหรือ
………………………