ตอนที่ 110 ช่วยเจ้านิพพาน
“เจ้าอยากนิพพานรึ”
หนิงอี้ได้ยินคำพูดนี้ก็แค่นยิ้ม “อย่างเจ้าหรือ หานเยวีย เจ้าไม่กลัวถูกฟ้าผ่าตายตอนนิพพานหรือ”
ตอนเอ่ยคำพูดนี้ หนิงอี้เพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่มือขวาที่จับพินิจเหมันต์แน่น เขาพร้อมออกกระบี่ทุกเมื่อ ‘กุมาร’ ตรงหน้านี้ดูอ่อนแอ แต่ภายในกายคงจะซ่อนพลังไว้มหาศาล หานเยวียชอบรวบรวมตัวอ่อนในครรภ์ คนที่ได้รับการชมเชยจากเขา จะต้องเป็นอัจฉริยะแท้จริง จะดูถูกไม่ได้เด็ดขาด
ใครจะไปคิด
เด็กที่ลอยอยู่กลางอากาศเอ่ยราบเรียบ พูดเสียงเบา
“ข้าหานเยวียจะนิพพาน สายฟ้าสวรรค์จะกล้าผ่าข้ารึ”
นี่เป็นน้ำเสียงที่โอหังเพียงใดกัน
ผู้บำเพ็ญภูตผีกลัวสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด โดยเฉพาะสายฟ้าสวรรค์ สายฟ้าสวรรค์ครั้งเดียวก็แทบจะเอาชีวิตของผู้บำเพ็ญภูตผี หานเยวียกลับดูถูกสายฟ้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้
หนิงอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ลังเลอีก เขาฟื้นพลังกลับมาแล้ว ปรับอยู่ในสภาพจุดสูงสุด ไม่ให้หานเยวียสั่งสมพลังเช่นนี้ต่อไปอีก
เจ้าบอกว่าไม่กลัวสายฟ้าหรือ
หนิงอี้ตะโกนเสียงดัง “เช่นนั้นก็ลองดู!”
เขายกมือซ้ายขึ้น ยันต์ที่แนบข้างในแขนเสื้อพุ่งออกมาแผ่นหนึ่ง หนิงอี้เอานิ้วกลางกับนิ้วชี้คีบไว้ ไฟลุกขึ้นเบาๆ นี่เป็นยันต์สีฟ้าใส ด้านบนเขียนคำว่า ‘ห้า’ ที่มีรูปแบบเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
บูรพาสาม ทักษิณสอง อุดรหนึ่ง ประจิมสี่ และตรงกลางกลุ่มตัวเลขพวกนี้คือคำว่าห้า
ระดับของยันต์นี้สูงกว่ายันต์ที่หนิงอี้โปรยไปหลายสิบถึงร้อยก่อนหน้านี้หลายขั้น นี่คือ ‘คำสาปห้าอัสนี’ ที่มีพันตำลึงทองก็ยากจะแสวงหาได้ในสำนักเต๋า ใช้ปราบสิ่งชั่วร้ายโดยเฉพาะ ใช้ศาสตร์ของฟ้าดินคุณธรรม
หนิงอี้ใช้สองนิ้วคีบคำสาปห้าอัสนี ลูบตรงคมพินิจเหมันต์อย่างแรง สายฟ้าถูกกดจนเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ
ท้องนภาเปลี่ยนไปอย่างมาก
สายฟ้าผ่าลงมาจริงๆ
กุมารที่อยู่ตรงกลางสุดของสายฟ้าดวงตาพลันแคบลง เขาหลบไม่ทัน บนฟ้าปกคลุมด้วยเมฆมืดครึ้ม เหมือนสั่งสมมานาน ยันต์คำสาปห้าอัสนีที่หนิงอี้คีบอยู่พลันพุ่งมาอยู่ตรงหน้าเขาโดยพลัน
ขณะเดียวกัน สายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมา
กุมารที่รวมไอแห่งมารเงามืดเป็นอาภรณ์ยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง ใบหน้าที่เดิมทีอยู่สูงส่งพลันบิดเบี้ยว สายฟ้ามากมายล้อมรอบเขา อานุภาพของสายฟ้านี้ไม่ถือว่ารุนแรงเท่าไร สภาพอากาศบนที่ราบภูเขาแดงไม่เหมาะจะเหนี่ยวนำสายฟ้า ต่อให้หนิงอี้มียันต์นี้ก็ไม่อาจสร้างความเสียหายได้มากเกินไป!
คำพูด ‘ข้าหานเยวียจะนิพพาน สายฟ้าสวรรค์จะกล้าผ่าข้ารึ’ ก่อนหน้านี้ ความจริงไม่ถือว่าเกินจริงไป ด้วยการค้ากับโชควาสนาตลอดหลายปีมานี้ของร่างจริงหานเยวีย แค่การปรากฏตัวครั้งนั้นที่เมืองรากษสก็ตัดสินได้แล้วว่าอันดับหนึ่งแดนบูรพาคนนี้รับมือกับวิชากำราบผู้บำเพ็ญภูตผีได้
ทว่าร่างนี้ในตอนนี้เพิ่ง ‘กำเนิดใหม่’ อยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อเนื่องกัน หานเยวียไม่พอใจร่าง ‘หญิง’ ของตนมาตลอด อยู่จุดสูงสุดขอบเขตที่เก้า เขาจะทะลวงขอบเขตที่สิบ อาศัยครรภ์ของกุมารก็จะทำได้พอดี ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการทะลวงพลัง
สายฟ้าผ่าลงมา
เด็กถูกประกายสายฟ้าผ่าตกลงพื้น โซเซ แขนที่ยกมากันหน้าผิวไหม้เกรียม ส่งกลิ่นคลุมเครือบางๆ เขาเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าดำมืด กวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่าหนิงอี้ไม่อยู่แล้ว
“ไปไหนแล้ว”
พริบตาต่อมา คำสาปห้าอัสนีแผ่นที่สองพุ่งเข้ามาอย่างเงียบเชียบ พลันมาอยู่ตรงหลังหัวใจเด็กที่กำลังมองไปรอบๆ
ยันต์นี้แนบกับหลังหัวใจหานเยวีย ก่อนจะระเบิดขึ้นจริงๆ ระเบิด ‘แสงดาราขอบเขตที่เก้า’ ทำเอาคนนี้ซวนเซอีกครั้ง พลังเลือดลมที่รวมไว้ทั้งตัวระเบิดกระจาย
คมกระบี่ของหนิงอี้ลากกับพื้น ประกายสายฟ้าที่กำลังทะยานไหลเวียนตัวกระบี่พินิจเหมันต์ เกิดประกายไฟบนพื้นขึ้นมากมาย เขาวิ่งอยู่นอกระยะสิบจั้งรอบตัวหานเยวีย นี่เป็นระยะโจมตีที่ค่อนข้างปลอดภัย สามารถกันอันดับหนึ่งแดนบูรพาคนนี้ออกมืออย่างฉับพลันจนบาดเจ็บสาหัสได้ และยังรับรองได้ว่าการโจมตีฉับพลันของคำสาปห้าอัสนีจะเกิดผล
หนิงอี้มองออกแล้ว…นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการขัดขวางหานเยวียทะลวงพลัง!
เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวซีดมองฟ้า ดูจากสภาพอากาศแล้ว ตนเหมือนจะไม่ได้เปรียบเลย หากเป็นวันฝนตกหนัก เหมือนโรงเตี๊ยมเก่าในชายแดนเมืองหลวง หากโปรยคำสาปห้าอัสนีของเขา ก็มากพอจะเหนี่ยวนำเคราะห์อัสนีที่มีขนาดน่าสะพรึงได้ ทำให้คุณชายน้ำค้างคนนี้ต้องกล้ำกลืนความแค้นที่นี่ แตกพ่ายย่อยยับ!
แต่เขตที่ราบหน้าภูเขาแดง แปลกมาก ไอวิญญาณเอ่อล้น ไม่มีไอฝนเลย
หานเยวียกำมือด้วยความโกรธ เล็งไปทางอากาศและใช้ฝ่ามือดูดลึกๆ
หนิงอี้หรี่ตาลง รู้สึกถึงแรงดูดมหาศาล ไม่อยากเชื่อว่าระยะไกลขนาดนี้จะดึงส่วนหน้าของเสื้อตนได้ จะดูดตนเข้าไปอย่างแรง…
กุมารกระชากเข้ามา เหมือนกระชากของหนักพันชั่ง ท่ามกลางหมอกเต็มฟ้า สิ่งที่ลอยมาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ตนจะกระชาก แต่เป็นยันต์ที่แปะรวมกันมาเจ็ดแปดแผ่น
แผ่นหนึ่งมีชื่อว่า ‘เขาไท่ซาน’ หนักพันชั่ง
อีกหกเจ็ดแผ่นที่เหลือ…
มีชื่อว่า ‘ยันต์ห้าอัสนี’ เหนี่ยวนำสายฟ้า
หนิงอี้ที่พุ่งถอยไปข้างหลังชูนิ้วหนึ่งขึ้นสูง เขามองไปใจกลางหมอก พลันใช้ผลของยันต์ ‘ไท่ซาน’
ภายใต้แรงดูดมหาศาล คำสาปห้าอัสนีถูกดูดเข้าไปกลางฝ่ามือหานเยวีย
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
เกิดเสียงฟ้าผ้าดังสนั่นมาจากเหนือศีรษะ
แทบเป็นชั่วพริบตาเดียว ประกายสายฟ้าที่มีอานุภาพรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่าผ่าลงมา สิ่งที่ตามองเห็นเป็นร่างเงาเล็กที่พุ่งออกจากพื้นที่หมอก ถูกสายฟ้าผ่า ตกลงพื้นด้วยสภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง ระหว่างกลิ้งไป ประกายสายฟ้าที่สองและสามผ่าลงมาต่อ ทั้งที่ราบเกิดเมฆลมขึ้น ไม่สงบนิ่งอีก
นัยน์ตาหนิงอี้ฉายประกายดีใจเสี้ยวหนึ่ง แค่ชั่วอึดใจเดียว เมฆดำก็รวมเข้ามาเหนือศีรษะ ประกายสายฟ้าส่งเสียงดังเปรี้ยงๆ ทำการลงทัณฑ์กุมารคนนั้นหลายครั้ง นี่คือความทรมานของเนื้อหนัง และเป็นการทรมานจิตใจ ผู้บำเพ็ญภูตผีส่วนใหญ่ไม่อาจต้านอำนาจยิ่งใหญ่ของสายฟ้าได้ มากสุดสามสี่ลมหายใจก็จะกลายเป็นเถ้าธุลี
คำสาปห้าอัสนีผ่าลงมา ไม่ใช่แค่มีสายฟ้ารวมกันแน่นขนัด แต่ยังมีสายฟ้าเป็นหมื่นสายตกลงมา ไม่นานก็กลายเป็นฝนตกหนัก
นี่คือสิ่งที่หนิงอี้ต้องการ
หนิงอี้ที่ลงบนที่ราบหน้าซีดขาวเล็กน้อย เขาหรี่ตาลง มองตรงกลางสุดที่ประกายสายฟ้าสว่างไม่หยุดแล้วก็เกิดการระเบิด ก่อนตรงนั้นจะกลับมาเงียบสงบ…
การใช้ยันต์ไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งเป็นยันต์ระดับสูง ก็ยิ่งต้องใช้แสงดาราหนาแน่นของผู้บำเพ็ญเป็นตัวนำ และการใช้คำสาปห้าอัสนีครั้งเดียวเจ็ดแปดแผ่น เป็นขีดจำกัดที่หนิงอี้ทำได้แล้ว เด็กสาวให้ยันต์เขาไว้เยอะ ก่อนหน้านี้ใช้ไปส่วนใหญ่ ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นยันต์ระดับเดียวกับคำสาปห้าอัสนี
ใช้คำสาปห้าอัสนีไปหมดแล้ว ตอนนี้หนิงอี้ไม่มีแสงดารามากกว่านี้ไปกระตุ้นยันต์อื่น
แต่ในความเป็นจริง ยันต์ที่เหลือ เพราะประสิทธิภาพใช้ไม่ได้ผลมากในการต่อสู้กับหานเยวียครั้งนี้ ต่อให้หนิงอี้มีแสงดาราพอจะกระตุ้นก็เป็นแค่ของไร้ค่า ไม่มีประโยชน์อะไร เปลืองแสงดาราและเสียโอกาสในการต่อสู้
หนิงอี้กำลังอดทนรอ
เขารู้ว่าเคราะห์อัสนียิ่งใหญ่ครั้งนี้ส่งผลตึงมือกับหานเยวีย และเขาก็รู้ว่า…การจะใช้เคราะห์อัสนีนี้สังหารหานเยวียเป็นเรื่องเพ้อฝัน
อันดับหนึ่งแดนบูรพาคนนี้ หากถูกสังหารง่ายขนาดนั้น คงไม่สร้างความหวาดกลัวในภูเขาใหญ่แสนลี้แดนทักษิณตลอดหลายสิบปีมานี้ได้
หนิงอี้กำลังรอโอกาสที่ดีที่สุด
บนพินิจเหมันต์ของเขามีประกายสายฟ้าไหลเวียนมากมาย น้ำฝนตกลงบนคมกระบี่ ถูกไอวิญญาณสายฟ้ารุนแรงระเบิดกระจาย คมกระบี่เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ ไม่หยุด อากาศเผาไหม้ น้ำฝนเดือด…การฟันของพินิจเหมันต์แทบจะไม่มีสิ่งใดขวางได้ และกระบี่ที่มีพลังสายฟ้าที่เหลือจากคำสาปห้าอัสนี หากส่งเข้าไปในกายหานเยวียได้ ก็อาจจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นได้จริงๆ
ตั๊กแตน แมลงพิษ ผึ้งดำพวกนั้นที่ตอนนี้ออกมาจากหลังหญิงและบินเต็มฟ้าถูกประกายสายฟ้าวงกว้างผ่ากลายเป็นถ่าน ถูกผ่าแตกกระจาย แต่มีบางส่วนต้านประกายสายฟ้าได้ หลังถูกผ่าแล้วเพียงแค่ตกลงพื้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะบินขึ้นเอียงไปมาอีก…
แมลงพิษพวกนี้เป็นสมบัติล้ำค่าบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณจริงๆ แต่ไม่ใช่ของชั่วร้ายเงามืด ทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณ ดังนั้นแมลงพิษที่รอดมาจากสายฟ้าพวกนั้นจึงดาหน้าบินไปทางใจกลาง รวมกันเป็นปราการ ‘ศพแมลง’
สายฟ้าผ่าลงมาทีละครั้ง กุมารที่ถูกย่ำยีไม่อยู่ในสภาพคนลืมตามองอย่างเฉยชา แขนขาเขาไหม้เกรียม ไอแห่งสิ่งชั่วร้ายเงามืดได้แต่หุ้มผิวหนังส่วนเล็ก…หลายปีมานี้ เขาไม่ได้สัมผัสเช่นนี้เลย ตอนฝึกบำเพ็ญในแดนทักษิณ หานเยวียสังหาร ‘ผู้ถูกต้องชอบธรรม’ มานักต่อนัก โดยเฉพาะคนที่ใช้วิชาสายฟ้าต่อกรกับตน ถูกเขาจับไว้ ดึงเส้นเอ็นลอกหนัง จุดจบน่าอนาถอย่างยิ่ง
เขาเอ่ยนามหนิงอี้เบาๆ ในใจ มองประกายสายฟ้าผ่าลงมาตรงหน้าตนไม่หยุด ระเบิดห่างไปสามฉื่อ แมลงมากมายบินเข้ามาต้านหายนะครั้งนี้แทนตน…ร่างจริงเขามีกลอุบายรับมือกับวิชาสายฟ้า แต่ร่างในตอนนี้ขาดวิชา ถูกหนิงอี้ใช้เล่ห์เหลี่ยมจนตั้งตัวไม่ทันเลย
ผิวหนังของกุมาร กระดูกที่เดิมทีถูกสายฟ้าผ่าแตกค่อยๆ งอกออกมา ผิวหนังไม่ไหม้เกรียมอีก หลังจากตกสะเก็ด รอยแผลหลุดลอก กลายเป็นแมลงบินขึ้นศีรษะ ต้านประกายสายฟ้าไว้
หานเยวียที่นอนบนที่ราบฟื้นร่างวิจิตรกลับมาสมบูรณ์ใหม่ เขาทะลวงคอขวดขอบเขตที่เก้า ไปถึงขอบเขตที่สิบ
ประกายสายฟ้าส่งเสียงดังไม่ขาด ค่อยๆ หมดกำลังลง
น่าเสียดายว่าสายฟ้ายิ่งใหญ่พวกนี้ ทะลวงได้มากสุดแค่ผิวหนัง ไม่ลึกถึงปอด หานเยวียพ่นลมหายใจยาว สายฟ้าสุดท้ายผ่าลงมา แมลงผึ้งพวกนั้นแทบจะตายทั้งหมด เขาลอยขึ้นช้าๆ เงยหน้าขึ้น ยื่นฝ่ามือออกไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เตรียมจะต้านสายฟ้าสวรรค์นี้
สายฟ้าผ่าลงมา
มีเสียงทะลวงอากาศรวดเร็วดังข้างหูหานเยวีย
เขาพลันหันหน้ากลับมา ยื่นมือมาข้างหนึ่ง กลางฝ่ามือถูกสิ่งที่คมถึงที่สุดแทงทะลุ
กดถึงหัวใจ
ประกายสายฟ้าถาโถมระเบิดในปอด
สิ่งที่มองหานเยวียจากข้างบนคือใบหน้าเฉยชาไร้คลื่นอารมณ์ของหนิงอี้
หนิงอี้ถือพินิจเหมันต์ พูดเสียงต่ำ “หานเยวีย…ข้าจะช่วยเจ้านิพพานเอง!”
……………………….