ตอนที่ 245 ติดหนี้บุญคุณแล้ว
การตัดศีรษะไม่ใช่เรื่องตลก อยากตัด ‘โอกาสวาสนา’ นี้ไม่ใช่แค่ใช้วิชาบังตาก็จัดการได้ สุดท้ายแล้วผู้ที่ใช้วิชาบังตาได้มีแค่เทพเซียนมาร คนธรรมดาหลอกสวรรค์ไม่ได้ หรือที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหลอกตนเองไม่ได้
ขอทานชราถอนหายใจพลางพูดว่า “ไม่คู่ควร” อีกทั้งยื่นมือลูบคอตนเองโดยจิตใต้สำนึก
“เหตุการณ์นี้ทำให้ท่านจี้หัวเราะเยาะแล้ว มรรควิถีและเขตแดนอย่างท่านย่อมเข้าใจความปรารถนาดั้งเดิมของข้าผู้ชรา มันเรียกว่าอะไร หากใช้สุภาษิตชาวบ้านคงจะเป็นทำดีตั้งมากมายแต่ไม่ได้รับคำชม”
จี้หยวนยิ้ม นิ้วมือชักนำบางอย่าง ตัวอักษร ‘โชคชะตา’ นุ่มนวลลอยขึ้นจากบนโต๊ะ
“เช่นนั้นท่านฝืนใจรับฮ่องเต้ชราไว้ไม่ได้หรือ ไยต้องขอให้เขาสังหารท่านด้วย”
ขอทานชรามองขอทานเด็กที่ยื่นมือไปแตะตัวอักษรวาสนานั้นด้วยความใคร่รู้
“นี่ ท่านจี้ ท่านไม่ยอมมอบขนมไหว้พระจันทร์ให้เขาแม้แต่ชิ้นเดียว เรื่องนี้พูดแล้วก็ไม่มีอะไรมาก อีกอย่างข้าผู้ชราแม้ขอให้เขาสังหารข้า แต่เขาจะไม่สังหารก็ได้นี่!”
จี้หยวนรู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบอยู่บ้างแล้ว
“ขนมไหว้พระจันทร์นั่นใช่ว่าข้าคนแซ่จี้ไม่อยากมอบให้ แต่เขาคว้าไม่อยู่เองต่างหาก”
ขอทางชราดื่มชาอย่างช้าๆ เหลือบมองจี้หยวน
“ดอกไม้ในกระจก พระจันทร์ในน้ำ ไม่ว่าอย่างไรก็คว้าไว้ไม่ได้…”
นิ้วมือของขอทานเด็กแตะถูกตัวอักษรโชคชะตาเข้าพอดี ฝ่ายหลังถูกนิ้วของเขาจิ้มเข้าให้ จึงกลายเป็นไอน้ำที่ดูไม่สมจริงก่อนหายไป
จี้หยวนได้ยินขอทานชราทอดถอนใจเช่นนั้น ในใจพลันสะท้าน กล่าวไปในทางล้อเล่นว่า
“โอ้ พูดตามตรงว่าข้าคนแซ่จี้คิดว่าท่านหลู่ลงมือ เห็นทีฮ่องเต้ชรามีโชคไม่พอจริงๆ”
“ฮ่าๆๆ…มีโชคไม่พอ เป็นเขามีโชคไม่พอจริงๆ นั่นแหละ!”
ขอทานชรายิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ หลุบตาลงไม่กล้ามองจี้หยวน
ก๊อกๆๆ…
ประตูห้องส่วนตัวพลันถูกเคาะ คล้ายความอึดอัดของขอทานชราในตอนนี้ เสียงพนักงานโรงน้ำชาดังขึ้นจากข้างนอก
“ลูกค้าทั้งสอง หลงจู๊ให้นำขนมมาให้”
“เข้ามาเถอะ”
พนักงานโรงน้ำชาถือถาดพลางเปิดประตู จากนั้นเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวอย่างระมัดระวัง เมื่อปิดประตูแล้วถึงวางขนมลงบนโต๊ะ
“ผู้อาวุโส รวมถึงท่านจี้ด้วย หลงจู๊ให้ข้ามาบอกท่านทั้งสอง ตอนนี้คนของศาลาว่าการเมืองกำลังตามหาขอทานชราสกุลหลู่ บอกว่าฮ่องเต้อยากเชิญเข้าวัง…”
ตอนพนักงานโรงน้ำชาพูดก็มองขอทานชราอย่างระมัดระวังด้วย จ้องที่คอขอทานชราอยู่หลายครั้ง พบว่าแม้มีรอยเหี่ยวย่นมาก แต่ผิวหนังกลับเป็นแผ่นเดียวกัน
“อืม รู้แล้ว หากมาถึงที่แล้ว พวกเจ้าว่าควรทำอย่างไรก็ทำตามนั้นเถอะ!”
ขอทานชรากล่าวอย่างไม่ยี่หระ ฝ่ายจี้หยวนมองพนักงานโรงน้ำชา ถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เห็นน้องชายมองคอผู้อาวุโสหลู่อยู่ตลอดเลย คงได้ยินอะไรมากระมัง”
พนักงานโรงน้ำชาอยากรู้จนทนไม่ไหวอยู่บ้าง ได้ยินจี้หยวนถามเช่นนี้แล้วก็ไม่แกล้งทำอีก พูดขึ้นด้วยความใคร่รู้อย่างถึงที่สุด
“ห่างจากถนนสันตินิรันดร์ไปตรอกแห่งหนึ่ง ยังไม่ทันเที่ยงวันดีมีลูกค้าคนหนึ่งเล่าเรื่อง บอกว่าฮ่องเต้สั่งองครักษ์คุมตัวขอทานชราผู้หนึ่งไปที่ถนนสันตินิรันดร์ตั้งแต่เช้า หลังจากนั้น…”
พนักงานโรงน้ำชามองขอทานชราข้างๆ แล้วมองจี้หยวน
“จากนั้นขอทานชราผู้นั้นก็ถูกตัดศีรษะ ทว่ายืนอยู่ตรงนั้นแล้วติดศีรษะกลับไป รวมถึงเดินจากไปอย่างหน้าตาเฉยพร้อมคุณชายผู้หนึ่ง ผู้อาวุโส นั่นเป็นท่านกระมัง”
“ใช่ๆ ใต้หล้ายังมีคนซวยแบบข้าอีกหรือ น้ำชาและขนมล้วนวางหมดแล้ว เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”
ขอทานชราตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ รู้สึกว่าท่านจี้หาคนมาหยอกล้อเขาโดยเฉพาะ
“อ้อๆๆ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ทั้งสองท่านมีอะไรเรียกใช้ได้เลย”
พนักงานโรงน้ำชาเปิดประตูเดินออกไป ตอนปิดประตูยังยื่นหน้าเข้ามาพูดว่า
“ข้าอยู่ที่บันได มีเรื่องอะไรเรียกใช้ข้านะ!”
“ได้ๆ ขอบคุณมาก…”
จี้หยวนพยักหน้าแล้วโบกมือ คราวนี้พนักงานโรงน้ำชาผู้กระตือรือร้นถึงค่อยปิดประตู
ทว่าพนักงานโรงน้ำชาออกไปแล้วกลับไม่ได้ไปทันที ยังคงเงี่ยหูฟังอยู่ตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง กระนั้นเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้นถึงได้ยินย่องจากไป
หลังจากพนักงานโรงน้ำชาไปแล้ว จี้หยวนอาศัยหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้ถามเรื่องบางอย่างกับขอทานชรา และพูดเรื่องจับผีแม่ลูกอ่อน อีกทั้งวิชามารก่อนหน้านี้ด้วย ผีแม่ลูกอ่อนตนนั้นถูกตัดศีรษะแล้วกลับมามีชีวิตได้เช่นกัน
ทว่าจี้หยวนเข้าใจนานแล้ว นั่นต้องแตกต่างกับขอทานชราอย่างแน่นอน
บางครั้งผู้ฝึกเซียนพูดคุยกันก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องลึกลับเสมอไป หลายครั้งพูดเรื่องสัพเพเหระเหมือนกับชาวบ้าน อย่างเช่นจี้หยวนและขอทานชรา
เป็นห่วงว่ามารและปีศาจเหล่านั้นที่ถูกรับตัวไปก่อนหน้านี้จะจัดการอย่างไรดี และคุยกันว่าระหว่างทางที่ขอทานสองคนขอข้าวกินมาเจอเรื่องน่าสนใจอะไรบ้าง อีกทั้งถือโอกาสคาดเดาว่าครั้งนี้ขอทานชรารับศิษย์ไม่สำเร็จแล้วส่งผลกระทบอะไรต่อราชวงศ์ต้าเจิน อย่างน้อยฮ่องเต้ชราต้องหัวเสียมากเป็นอันดับแรก
จนกระทั่งเที่ยงวัน จี้หยวนเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว จึงลุกขึ้นประสานมือคารวะขอทานชรา
“วันนี้พอเท่านี้เถอะ ข้าคนแซ่จี้ต้องไปที่ศาลมืดครั้งหนึ่ง ค่าน้ำชานี้ข้าจ่ายแล้ว หากมีวาสนาคงได้พบกันอีก”
“ตกลง ไว้พบกันใหม่!”
ขอทานชราลุกขึ้นยืนและคารวะจี้หยวนกลับอย่างถูกต้อง ในใจกล่าวว่าเสียดายทองหนึ่งพันชั่ง เสียดายยิ่งนัก
จี้หยวนมองเขาด้วยดวงตาสีเทาอย่างสงบ ทำให้ขอทานชรารู้สึกอึดอัดและเครียดเกร็ง ก่อนจะยิ้มแล้วหมุนกายจากไป
เมื่อจี้หยวนไปแล้ว ขอทานเด็กดึงชายเสื้อมุมหนึ่งของขอทานชรา
“ท่านปู่หลู่ ยังมีขนมอีกเยอะเลย นำไปด้วยได้หรือไม่”
เมื่อรวมกับครั้งแรกสุด คนของหอใบเขียวส่งชาและขนมมาทั้งหมดสามครั้ง ตอนนี้บนโต๊ะจึงมีขนมและอาหารประเภทของแห้งอยู่มากมาย
ขอทานชรามองบนโต๊ะค่อยอ้าปาก ทว่าขอทานเด็กแย่งพูดก่อนก้าวหนึ่ง
“ใครเล่าจะโง่ไม่เอาไป ข้าเข้าใจน่า!”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ…”
…
เหยียนฉางออกจากเรือนจำแล้ว ไม่เพียงกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม ยังได้รับบำเหน็จจำนวนหนึ่งจากฮ่องเต้ด้วย ทว่าความกังวลในใจเหยียนฉางกลับไม่ได้ลดลงไปสักเท่าไหร่
เขาพาคนไปตรวจสอบถนนสันตินิรันดร์ด้วยตนเอง เห็นคราบเลือดที่แห้งแล้วกลับยังคงชวนตะลึงกองหนึ่ง
เห็นคราบเลือดยังมีสีแดงฉาน เหยียนฉางมองเจ้าหน้าที่ที่ตามมาด้วยก่อนถาม
“พวกเจ้าบอกว่าเลือดนี่ล้างไม่ออกหรือ”
เจ้าหน้าที่ข้างๆ ตอบอย่างนอบน้อม
“เรียนใต้เท้า เป็นเช่นนั้นขอรับ ปกติแล้วนักโทษประหารจะถูกตัดศีรษะที่นี่ ใช้น้ำสองสามถังก็ล้างคราบเลือดออกหมดแล้ว ทว่าเลือดในวันนี้กลับล้างอย่างไรก็ล้างไม่ออก”
เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเสริมว่า
“มีคนนำแปรงมาขัดแล้วเช่นกัน ทว่าจางลงไปไม่เท่าไหร่ น้ำที่ใช้ขัดล้วนเป็นสีแดงฉาน มองดูแล้วน่ากลัวอยู่บ้าง จึงไม่มีใครกล้าขัดแล้วขอรับ”
เหยียนฉางพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ในใจคิดว่าเรื่องนี้ฮ่องเต้ต้องรับรู้ แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่กระมัง
ตอนนี้บนถนนสันตินิรันดร์คนเดินกันขวักไขว่ ทว่าส่วนใหญ่อ้อมกลางถนนไป ไม่เพียงเพราะมีเจ้าหน้าที่ทางการอยู่ แต่เป็นเพราะเลือดกองนี้ด้วยเช่นกัน
เมื่อเหยียนฉางเงยหน้ามองไปรอบๆ พร้อมครุ่นคิด พลันพบว่าไม่ไกลมีคนผู้หนึ่งเดินมา หลังจากตั้งใจมองดูให้ดีและจำได้ว่าเป็นใครแล้ว เขาหัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที
ผู้มาเยือนสวมชุดสีเขียว เรือนผมประดับไว้ด้วยปิ่นหยก ฝีเท้าผ่อนคลาย บนใบหน้าราบเรียบมีดวงตาสีเทาที่เปิดอยู่กึ่งหนึ่ง เขาก็คือจี้หยวนที่ออกมาจากโถงใบเขียวได้ไม่นาน หลังจากเขาออกจากโถงใบเขียวแล้วได้ยินคนเล่ากันว่า ‘คราบเลือดไม่จางไป’ ก็รีบเดินมาดูบ้างเหมือนกัน
“บังเอิญนัก ใต้เท้าเหยียนก็อยู่ที่นี่หรือ”
“ท่านจี้!”
เหยียนฉางรีบโค้งกายคารวะ เจ้าหน้านี้ข้างๆ ไม่รู้เรื่องราว ทว่าโค้งกายลงตามเหยียนฉาง
จี้หยวนคารวะตอบ เดินอีกหลายก้าวก็ถึงตรงหน้าแล้ว
“ท่านจี้มาหาข้าหรือ”
เหยียนฉางถามด้วยความคาดหวัง แต่จี้หยวนส่ายหน้า ชี้ไปยังคราบเลือดบนพื้น
“มาเพราะสิ่งนี้”
“เลือด?”
จี้หยวนพยักหน้า ขอทานชราตายก็ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมไม่อาจใช้เลือดกองหนึ่งเช่นนี้ทำให้ผู้คนตกใจได้
แต่อย่างไรเสียขอทานชราก็เป็นมนุษย์ที่ใกล้เคียงกับเซียนจริงแท้ มรรควิถีลึกล้ำยากหยั่งคาด โดยเฉพาะครั้งนี้ก่อเรื่องใหญ่ไม่น้อย เกิดโชคชะตาหรือดับโชคชะตาไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เขาถูกตัดศีรษะทางนี้ ฝั่งฮ่องเต้ชรากลับหมกมุ่น กองเลือดนี้ในเมื่อเป็นของขอทานชรา ก็เรียกได้ว่าเป็นของฮ่องเต้ชราด้วยเช่นกัน
“เลือดนี้แม้เป็นผู้สูงส่งทิ้งเอาไว้ ทว่าน่ากลัวยิ่งนัก ปล่อยไว้ไม่กำจัดเกรงว่าจะมีเรื่องร้าย!”
หลังจากตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ตาทิพย์ของจี้หวนมองเห็นปราณของเลือดกองนี้เชื่อมโยงกับพระราชวังอยู่รางๆ
เห็นจี้หยวนพูดอย่างจริงจัง เหยียนฉางรู้สึกหวาดกลัวในใจเช่นกัน
“เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี ท่านจี้มีวิธีจัดการหรือไม่”
“ลองดูเถอะ”
จี้หยวนตอบแล้วสูดลมหายใจเข้า จากนั้นอ้าปากเป่าลมออก
“ฮู่…”
เหยียนฉางและเจ้าหน้าที่โดยรอบเพียงรู้สึกว่ากระแสความร้อนสายหนึ่งมาถึงตัว จึงถอยหลังไปสองก้าวอย่างอดไม่ได้ เมื่อมองดูบนพื้นอีกครั้ง คราบเลือดกองนั้นกลายเป็นเถ้าไปแล้ว
พูดอย่างถูกต้องก็คือ จากนั้นเห็นจี้หยวนเป่าลมใส่คราบเลือดจนหายไป เหยียนฉางรู้สึกเหลือจะเชื่ออยู่บ้าง
ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พบว่ารอบๆ ไม่มีใครแล้ว เจ้าหน้าที่หลายคนก็มองทั้งสี่ทิศด้วยใบหน้างุนงงเช่นกัน ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว เหยียนฉางแน่ใจได้ว่าเมื่อครู่ไม่ใช่ตนเองตาฝาด
เดิมคิดถามอีกสองคำ แต่เหยียนฉางเห็นว่าขอทานชราถูกฮ่องเต้สั่งประหาร แปดส่วนไม่มีทางกลับไปอีกแล้ว แต่หากเชิญท่านจี้กลับไปได้ นั่นก็ไม่ต่างอะไรกัน ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ตนเองต้องอยู่รอดปลอดภัยก่อน
“เฮ้อ…ท่านจี้ไม่ให้โอกาสข้าพูดเลย!”
มุมหนึ่งในเมืองหลวง ขอทานชราและขอทานเด็กยัดถุงขนมและผลไม้อบแห้งไว้ในกระเป๋าเสื้อเก่าขาดจนเต็ม เพิ่งออกมาจากโถงใบเขียวไม่นาน
ตอนจี้หยวนใช้เพลิงสมาธิเป่าคราบเลือดกองนั้นไป หัวใจขอทานชรากระตุกวูบ ยื่นมือนับนิ้วดูพลันเข้าใจเหตุและผลของคราบเลือดกองนั้น
“ข้าถูกปราณราชวงศ์มอมเมา เกือบทิ้งความโชคร้ายไว้ที่นี่…ครั้งนี้ติดหนี้บุญคุณแล้ว…”