ตอนที่ 250 จักรวาลในแขนเสื้อ ตะวันจันทราในกาน้ำ
บนเนินเขาที่มีแสงแดดสาดสองแห่งหนึ่งในส่วนลึกของเขาโคเทพ มีถ้ำที่ยาวและแคบ กว้างหนึ่งจั้ง สูงสองจั้งกว่า ภายในกว้างขวางอย่างเห็นได้ชัด หลังจากผ่านเข้าไปประมาณสี่ห้าจั้งแล้ว เส้นผ่านศูนย์กลางของถ้ำจะแคบลงและลาดลงด้านล่าง ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำใต้ดิน
ในถ้ำตอนนี้มีเสือร่างกายกำยำกำลังขดตัวอยู่บนรังที่ปูด้วยหญ้านุ่มๆ เวลานี้มันรู้สึกคันยุบยิบบนศีรษะอยู่บ้าง เสือยื่นอุ้งเท้าคิดเกาแต่กลับหยุดไว้กลางอากาศ
ลังเลอยู่สิบกว่าลมหายใจแล้ว ทนความคันไม่ได้จริงๆ ในที่สุดมันอดไม่ได้ ใช้ส่วนอ่อนนุ่มของอุ้งเท้าลูบขนและเนื้อตรงหน้าผากอย่างระมัดระวังเท่านั้น
ขณะกำลังสบายอารมณ์พลันรู้สึกว่าอุ้งเท้าเกิดลื่นขึ้นมา หัวใจของเสือร้ายจึงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
เมื่อกำอุ้งเท้าแล้วยื่นมาดูตรงหน้า บนอุ้งเท้าคว้าขนสีดำและเหลืองกลุ่มหนึ่งมาจริงๆ บนนั้นมีแสงวิญญาณอยู่เล็กน้อย แต่ความจริงที่ว่าถอนขนออกมาก็ยังคงอยู่
“เฮ้อ…รู้เช่นนี้ใช้กรงเล็บเกาก็สิ้นเรื่อง…”
เจ้าภูเขาลู่มีสีหน้ากลัดกลุ้ม มองขนกลุ่มหนึ่งที่หลุดลงมาของตนเอง จินตนาการได้เลยว่าบนศีรษะตอนนี้จะต้องแหว่งไปแล้วเป็นแน่
ด้านหลังถ้ำมีแอ่งน้ำเล็กอันเกิดจากน้ำหยดจากหินงอกหินย้อย ใช้แทนกระจกได้ แต่เจ้าภูเขาไม่กล้าไปส่องดู
เมื่อมองไปข้างหลังตนเอง บนหางยาวที่เหมือนแส้เหล็กกล้าเป็นลายพร้อยชัดเจน เผยให้เห็นเนื้ออยู่หลายที่
เจ้าภูเขาลู่ถอนหายใจอีกครั้ง วางก้อนขนที่อยู่บนอุ้งเท้าใส่ปากอย่างระมัดระวัง จากนั้นกลืนลงไป
ขนหลุดก่อนหน้านี้มันก็ทำเช่นนี้ เก็บไว้ในท้องทั้งหมด หลังจากฝึกปราณได้ผลสำเร็จแน่นอนแล้ว ขนทั้งตัวไม่ได้ผลัดออก อยู่กับเจ้าภูเขาลู่หนึ่งร้อยกว่าปี ตอนนี้เห็นพวกมันหลุดลงมาจึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าภูเขาลู่…เจ้าภูเขาลู่…”
เสียงของหูอวิ๋นดังมาจากข้างนอก ทำให้เสือที่กำลังหมอบอยู่ในถ้ำตื่นเต้นขึ้นมา แต่ฟังจากเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายที่เข้ามาใกล้ด้วยความเร็ว มันพลันคำรามเสียงดังขึ้นมา
“โฮก…หยุด! ไม่อนุญาตให้เข้ามาในถ้ำของข้า พูดอยู่ข้างนอกนั่นแหละ!”
ปกติเจ้าภูเขาลู่มักจะเลียนแบบบุรุษผู้น่าเกรงขามยามสั่งสอนจิ้งจอกแดง สภาพที่ทั่วร่างเสือกระดำกระด่างแบบนี้ มันไม่มีหน้าไปพบจิ้งจอกตัวนี้จริงๆ
เจ้าภูเขาลู่เห็นว่าตนเองเป็นศิษย์ของท่านจี้แล้ว แม้หูอวิ๋นยังมีนิสัยเหมือนเด็กๆ แต่ก็จิตใจมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีความสำเร็จอย่างแน่นอน พวกมันนับเป็นปีศาจที่อนาคตจะไม่มีวันแก่เฒ่า
ท่านจี้เห็นท่าทางนี้อาจไม่ว่าอะไร แต่หูอวิ๋นมองไปแล้ว นั่นต้องถูกอีกฝ่ายหัวเราะเยาะใส่แน่นอน
ใต้คางหูอวิ๋นหนีบกระดาษไว้แผ่นหนึ่ง วิ่งขึ้นเขามาด้วยความตื่นเต้น เดิมทีคิดพุ่งตรงเข้าไปในถ้ำ ทว่าได้ยินเสียงเสือคำรามแล้วจึงรีบหยุดอยู่ข้างนอก
ความจริงหูอวิ๋นไม่ได้เจอเจ้าภูเขาลู่มาพักหนึ่งแล้ว ถึงจะสงสัยมากว่าผลัดขนที่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ยังกลัวเจ้าภูเขาลู่เป็นอย่างยิ่งอยู่ดี
“อาจารย์ เอ่อ ท่านจี้ตื่นแล้วกระมัง เขาฝากบอกอะไรกับข้าหรือไม่”
เสียงน่าเกรงขามของเจ้าภูเขาลู่ดังมาจากใจถ้ำ นำลมหวีดหวิวแผ่วเบาสายหนึ่งมาด้วย ทำให้พวกหญ้าแห้งต้นไม้แห้งข้างนอกถ้ำขยับไหวส่งเสียงแซกๆ
จิ้งจอกแดงได้ยินแล้วยื่นอุ้งเท้าไปหยิบกระดาษที่หนีบไว้ใต้คาง สะบัดไปมาเล็กน้อย
“ฝากๆ ท่านจี้บอกว่าตอนนี้สถานการณ์ของท่านเหมือนกับภูตเผ่าวารีที่ได้รับพรจากสวรรค์แล้วกำลังจะกลายเป็นมังกรเจียว เป็นการเปลี่ยนแปงที่เรียกว่าเกิดใหม่เปลี่ยนกระดูก เป็นไปได้ว่าหลังจากนี้ท่านจะไม่ใช่เสืออีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่เสือธรรมดาแล้ว ท่านจี้บอกว่าอย่าใส่ใจมากเกินไป ตั้งใจฝึกปราณให้ดี!”
ใต้เงาดำภายในถ้ำ ดวงตาเสือทอประกายน่ากลัว
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ที่แท้เป็นเช่นนี้! ได้ฟังคำสั่งสอนของท่านจี้ ช่างดียิ่งนัก…”
เสือร้ายกดกลั้นความตื่นเต้นอันรุนแรงเอาไว้ ทว่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงเบาเพราะความตื่นเต้นนั้น แต่เพราะความตื่นเต้นนี้เอง ตรงที่คันยุบยิบบนกายพลันกำเริบขึ้นมา
ทว่าเจ้าภูเขาลู่ในตอนนี้ไม่กลัวแล้ว ยื่นอุ้งเท้าไปเกาอย่างแรงในทันที เทียบกับท่าทางหวาดหวั่นและระมัดระวังเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้มันเการ่างกายอย่างสบายใจจริงๆ ทำให้คิดอยากท่องกลอนออกมาอย่างอดไม่อยู่
หูอวิ๋นถือกระดาษในอุ้งเท้าแล้วให้แสงอาทิตย์ส่องผ่าน จมูกได้กลิ่นหมึกอยู่เรื่อยๆ ก่อนกลับมารีบร้อนเกินไปจึงไม่ได้สังเกตดู ตอนนี้ได้พิจารณาอย่างชัดเจนแล้ว
แต่มรรควิถีของมันต่ำเกินไป นอกจากคิดเอาเองว่ากระดาษแผ่นนี้หนักมากแล้ว มันมองความแตกต่างอะไรอย่างอื่นไม่ออก ถึงขนาดว่าหากตั้งอกตั้งใจสังเกต มันอาจไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของกระดาษเลยก็เป็นได้
เมื่อตนเองพิจารณาได้พอประมาณแล้ว หูอวิ๋นก็นำกระดาษเข้าไปในถ้ำแล้วเอ่ยอีกว่า
“จริงสิเจ้าภูเขา ท่านจี้มีของมอบให้ท่านด้วย บอกว่ามันจะช่วยท่านได้ ตอนนี้อยู่บนมือข้า…”
“อะไรนะ!? ท่านจี้มีของขวัญมอบให้ข้า? โฮก…”
ท่ามกลางเสียงคำรามรุนแรง เสือลายพร้อยตัวหนึ่งกระโจนออกจากถ้ำด้วยความตื้นตันอย่างหาใดเปรียบ จากนั้นกระโจนผ่านศีรษะจิ้งจอกแดงแล้วตกลงบนเนินเขาแห่งหนึ่ง
“อยู่ที่ไหน ของที่ท่านจี้มอบให้ข้าอยู่ที่ไหน มันคือสิ่งนี้หรือ ท่านจี้เขียนตัวอักษรอะไรไว้”
เจ้าภูเขาลู่มองปราดเดียวก็เห็นกระดาษในอุ้งเท้าสองข้างของหูอวิ๋นแล้ว ตัวอักษรเกิดใหม่เปลี่ยนกระดูกส่องกระแสแสงเป็นครั้งคราว ท่วงทำนองมรรคที่เข้มข้นอบอวลไม่จางหาย
“นี่เป็นตัวอักษรที่ท่านจี้เขียน…ดี ดียิ่งนัก! เกิดใหม่เปลี่ยนกระดูก เกิดใหม่เปลี่ยนกระดูก…”
เสือร้ายเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง จากนั้นเก็บกรงเล็บแหลมที่อุ้งเท้าหน้า ใช้อุ้งเท้านุ่มนิ่มประคองทั้งสองด้านของกระดาษ รับบัญชานั้นมาจากอุ้งเท้าหูอวิ๋น
เมื่ออยู่ในอุ้งเท้าแล้ว บนกระดาษปรากฏตัวอักษรขนาดเล็กบรรทัดหนึ่ง เนื้อหาก็คือ ‘มอบให้เจ้าภูเขาลู่’
ทันทีที่ตัวอักษรปรากฏ เจ้าภูเขาลู่ตามไปถึงทันที ก่อนที่ท่วงทำนองมรรคสายหนึ่งจะพุ่งเข้าใส่ร่าง ทำให้มันสดชื่นแจ่มใส สี่เท้าและกระดูกทุกท่อนเกิดความผ่อนคลาย
“ท่านจี้มอบของให้ข้า หูอวิ๋นเจ้าดูสิ นี่เป็นของที่ท่านจี้มอบให้ข้า ฮ่าๆๆๆๆๆ…นี่เป็นของที่ท่านจี้มอบให้ข้า!”
เสียงหัวเราะของเสือร้ายดังมาก นำมาซึ่งลมภูเขาระลอกหนึ่ง ยิ่งสั่นสะเมือนต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบจนสั่นไหวไม่หยุด
“เอ่อ…เจ้าภูเขา…ไยท่านเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้…”
หูอวิ๋นมองเจ้าภูเขาลู่ด้วยความตะลึงงัน ภูตเสือร้ายที่น่าเกรงขามในอดีต บัดนี้กลับมีขนร่วงเป็นหย่อมๆ บนหน้าผากและบนใบหน้ามีขนเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่เลย เหมือนกับแมวยักษ์ที่ขนร่วงไปแล้วครึ่งหนึ่ง สภาพนี้อัปลักษณ์กว่าคนหัวล้านสิบเท่าได้
เสียงหัวเราะของเสือร้ายพลันหยุดลง
เจ้าภูเขาลู่ที่แต่เดิมตื่นเต้นหาใดเปรียบตัวแข็งทื่อ ก้มหน้ามองหูอวิ๋นข้างๆ นิ่งงัน ดวงตาคมของจิ้งจอกและดวงตากลมโตของเสือประสานกัน
‘กินมันเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคตจะดีหรือไม่’
เจ้าภูเขาลู่ถึงขนาดคิดแบบนั้นชั่วพริบตาหนึ่ง ที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคือแสงเรืองรองแรงกล้า
จิ้งจอกแดงพลันรู้สึกได้ว่ามีลมหนาวระลอกหนึ่งเข้าจู่โจม ทำให้ตัวสั่นงันงก ร้อนใจจนต้องตะโกนเสียงดัง
“ข้าไม่มีทางบอกใครแน่นอน! ไม่มีทาง! อา…บนกระดาษของท่านจี้มีอาคม ทำให้ดวงตาของข้าทรมานนัก มองอะไรไม่ค่อยชัด เมื่อครู่ข้าก็เลยมองไม่ชัดเหมือนกัน! ข้า ข้าจะไปฝึกปราณในป่าแล้ว!”
พูดจบแล้วจิ้งจอกแดงก็รวบรวมกำลังทั่วร่าง กระโจนออกจากเนินเขาตรงนี้ไป
“เฮ้อ…”
เห็นจิ้งจอกแดงหายไปในป่าแล้ว ภูตเสือร้ายถอนหายใจเสียงหนึ่ง จากนั้นมองเทียบอักษรที่ประคองไว้ในอุ้งเท้า จิตใจผ่องใสขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพาเทียบอักษรเข้าถ้ำไป
ตั้งแต่เกิดปัญญาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าภูเขาลู่ได้รับสิ่งที่นับเป็นของขวัญ อีกทั้งเป็นของที่อาจารย์ที่มันเคารพมากมอบให้ รวมถึงคำพูดที่หูอวิ๋นนำมาก็เพียงพอที่จะชดเชยความวิตกกังวลทั้งหมดได้
หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดอยู่นานแล้ว เจ้าภูเขาลู่ถึงวางกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ในร่องผนังที่จมอยู่ในถ้ำ จากนั้นเริ่มปล่อยปราณวิญญาณเพื่อฝึกปราณ
เคยได้ยินว่ามีเผ่าวารีเกิดปัญญากลายเป็นมังกรเจียวต้องเผชิญขั้นตอนที่เจ็บปวดและยาวนานนับไม่ถ้วน เจ้าภูเขาลู่ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบไหน แต่กลับไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด ด้วยคนที่คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังมันก็คืออาจารย์
‘บางทีเมื่อข้าเกิดใหม่เปลี่ยนกระดูกอย่างสมบูรณ์แล้ว นั่นจะเป็นวันที่ข้ากลายร่างได้สำเร็จ!’
…
หากไม่มีกลิ่นหอมพิเศษของเรือนสันติ อำเภอหนิงอันยิ่งไม่มีอะไรสะดุดตาสักอย่าง เช่นเดียวกับกลิ่นอายท่วงทำวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ไหลเวียน เรือนเล็กมักสงบเงียบ
หูอวิ๋นจากไปไม่นานเท่าไหร่ ประตูเรือนเล็กถูกเคาะอย่างหากได้ยาก
ก๊อกๆๆ…
จี้หยวนเงยหน้ามองไปทางประตู จากนั้นเดินไปเปิดประตูด้วยตนเอง ข้างนอกยืนไว้ด้วยขอทานชราและขอทานเด็ก
“ผู้อาวุโสหลู่กับเสี่ยวโหยวหาที่นี่เจอได้อย่างไร”
จี้หยวนประสานมือคารวะไปพลาง สอบถามไปพลาง จากนั้นผายมือเข้าไปในเรือน
“เชิญเข้ามาเถอะ!”
ขอทานเด็กที่มีสีหน้าจริงจังและขอทานชราที่หัวเราะร่าคารวะจี้หยวนกลับพร้อมกัน จากนั้นเดินเข้าไปในลานบ้าน
“ที่เล่าลือกันเป็นความจริง คำว่าความยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในเมืองที่ว่า ใช้กับสถานที่แห่งนี้ของท่านจี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง!”
ขอทานชรากล่าวชมเสียงหนึ่ง สายตาย่อมถูกดึงดูดด้วยต้นพุทราใหญ่ที่เหมือนกับธรรมดาทว่ามหัศจรรย์ซึ่งอยู่กลางลานบ้าน ยิ่งมองเห็นผลพุทราสีแดงระยิบระยับราวกับไฟที่ซ่อนตัวอยู่หลังใบไม้เขียว
จี้หยวนส่ายหน้าแล้วปิดประตูเรือน
“ไม่ต้องมองแล้ว ต้นพุทราในลานบ้านข้าก็ต้องฝึกปราณเช่นกัน หากไม่มีเรื่องพิเศษอะไร ผลของมันจะไม่ร่วงลงมา”
“ข้ามาแล้วยังไม่เรียกว่าเรื่องพิเศษอีกหรือ”
ขอทานชราพูดเช่นนั้น เห็นจี้หยวนกลับไปเขียนตัวอักษรบนโต๊ะใต้ต้นไม้แล้ว จึงทำได้เพียงหัวเราะอย่างจนใจ
“ข้าไปเยี่ยมเยียนเขาล้อมหยกมา พวกเขาเคยเห็นมิตรภาพของข้ากับท่านจี้ จึงพูดถึงว่าท่านอาศัยอยู่ที่อำเภอหนิงอัน”
เอาล่ะ จุดสำคัญอยู่ที่นี่ ในใจจี้หยวนคิดเช่นนั้น ทว่ามือยังคงไม่หยุดขยับ
“ตั้งแต่จากกันที่งานชุมนุมจังหวัดจิงจี ผู้อาวุโสหายไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าคนแซ่จี้ยังคิดว่าออกจากต้าเจินไปแล้วเสียอีก ไม่คิดอยู่ที่นี่แล้วหรือ”
‘ครั้งนี้ติดหนี้บุญคุณท่าน หากไม่จ่ายคืนข้ารู้สึกผิดแย่!’
ขอทานชราบ่นในใจ แต่ปากหัวเราะแหะๆ
“อาณาจักรต้าเจินแห่งนี้หายากจะมีแดนอริยะเขาล้อมหยก แม่น้ำเทียมฟ้ามีมังกรแท้เฝ้าอยู่ ยิ่งซ่อนเซียนจริงแท้ไว้คนหนึ่งด้วย ข้าประหลาดใจยิ่งนัก มิน่าเล่าบุรุษเครายาวหลายคนที่หอความลับสวรรค์จึงนับว่าต้าเจินมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก”
จี้หยวนเขียนหนังสือพร้อมรอยยิ้ม ชำเลืองมองขอทานชราครั้งหนึ่ง
“เอาล่ะ ข้าคนแซ่จี้ไม่ต้องการให้ท่านชดใช้หนี้อะไร ทำเหมือนกับว่าติดหนี้ชาวบ้านสองตำลึงแล้วมัวแต่หมกมุ่นนึกถึง ขอทานที่เห็นท้องฟ้าเป็นผ้าห่ม เห็นผืนดินเป็นเตียงอย่างท่านไม่รู้จักความเจริญเอาเสียเลย”
“ไอ้หยา ท่านจี้ปากร้ายจริงๆ! ท่านรู้ดีว่าสำหรับคนที่มีระดับการฝึกปราณและมีนิสัยอย่างข้า ยิ่งท่านพูดแบบนี้ข้ายิ่งอยากบ่น ยิ่งรู้สึกเสียใจ อีกทั้งท่านพูดแบบนั้นอีก…จิ๊ๆๆ…”
ตอนที่ขอทานชราหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หลู่เสี่ยวโหยวเดินไปถึงข้างโต๊ะหินแล้ว มือเกาะขอบโต๊ะมองกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ
แม้เป็นขอทานเด็กคนหนึ่ง ทว่าตั้งแต่อายุเก้าปีติดตามขอทานชราและได้เรียนรู้ตัวอักษร เขาจึงมองออกว่าบนกระดาษเขียนอะไรบ้าง
“จักรวาลในแขนเสื้อ ตะวันจันทราในกาน้ำ ระหว่างท่วงทำนองเปลี่ยนผัน มรรคโอบรับทุกสรรพสิ่ง เป็นวิชาสำหรับจักรวาลในแขนเสื้อ…”
“โหยวเอ๋อร์บังอาจแล้ว!”
ขอทานชราเคร่งเครียดขึ้นมาโดยพลัน มือหนึ่งดึงขอทานเด็กมาอยู่ข้างกาย คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจี้จะเขียนวิชาระดับนี้ลงบนกระดาษโดยไม่ได้ป้องกันอะไร แค่ฟังเสี่ยวโหยวอ่านก็จินตนาการได้แล้วว่าเป็นวิชาเซียนอัศจรรย์ระดับไหน
ต้องโทษตนเองและเสี่ยวโหยวทีเห็นเรื่องของโลกการฝึกปราณเป็นเรื่องเล่นๆ การแอบดูเซียนถือเป็นข้อห้ามของโลกฝึกปราณทุกแขนง!
จี้หยวนเห็นขอทานชราตำหนิขอทานเด็กทันทีอย่างหาได้ยาก ทีแรกเขาชะงักไปเล็กน้อย ต่อมาดึงสติกลับมาได้แล้วค่อยยิ้มกล่าว
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าคนแซ่จี้แค่อนุมานแล้วเขียนตัวหนังสือออกมาเท่านั้น”
พูดจบประโยคนี้แล้วเขาสะบัดแขนเสื้ออย่างเคยชิน เก็บพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และข้าวของทั้งหมดบนโต๊ะเข้าไปในแขนเสื้อ พู่กันหมุนวนในมือรอบหนึ่งก่อนลอยเข้าไปในแขนเสื้อ
อย่าว่าแต่อนุมานจักรวาลในแขนเสื้อแล้วฝึกฝนสำเร็จ ตอนนี้แม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของความอัศจรรย์ที่จี้หยวนจินตนาการไว้ก็แทบเทียบไม่ได้ หลายประโยคบนกระดาษเป็นแค่ความปรารถนา ทั้งพูดออกมาตามตรง ทั้งเหมือนกับโอ้อวดและให้กำลังใจตนเองอย่างเกินจริง ปรากฏว่าทำให้ขอทานชราตกใจเสียอย่างนั้น
ขอทานชรามองบนโต๊ะและแขนเสื้อของจี้หยวนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ท่าทางเก็บพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษก่อนหน้านี้ไม่ใช่ท่าทางของวิชาจักรวาลเก็บสิ่งของธรรมดาที่ควรมีเลย มันดูสบายๆ เกินไป
‘จักรวาลในแขนเสื้อ ตะวันจันทราในกาน้ำ…’