ตอนที่ 251 อยู่ต่อโดยดีเถอะ
จี้หยวนรู้สึกว่าฝีมือตนใช้ได้อยู่บ้าง แม้ว่าสำหรับเขาตอนนี้จักรวาลแขนเสื้อเก้าส่วนยังเพ้อฝัน แต่อย่างน้อยส่วนหนึ่งที่เหลือก็ละเอียดอ่อนนัก เหมือนการเก็บของจิปาถะยามนี้ แม้แต่หมึกเขียนบนจานฝนยังไม่เปื้อนภายในแขนเสื้อแม้แต่น้อย ในสายตาคนนอกถือว่าไม่มีกลิ่นอายผลาญเผาอะไร
สุดท้ายแม้ว่าสภาวะจิตของจี้หยวนตอนนี้ต่างจากชาติก่อนมากนัก แต่ถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์ซึ่งไม่ได้สร้างความเสียหายและมีทางเลือก การสำแดงวิชาอย่างน่าเบิกบานใจหน่อยย่อมดีกว่า
เมื่อเก็บพู่กันหมึกกระดาษจานฝนบนโต๊ะเสร็จ ทางห้องครัวมีเสียงน้ำเดือดดังปุดๆๆๆ กลางลานเรือนสันติที่เงียบสงบ อย่าว่าแต่ผ่านหูจี้หยวน เมื่อเข้าหูขอทานชรากับขอทานเด็กล้วนดังเป็นพิเศษ
“อืม น้ำเดือดพอดี”
จี้หยวนเดินไปทางห้องครัว น้ำที่ต้มอยู่ในหม้อเดือดแล้ว ฟืนซึ่งเขาเติมเข้าเตาก่อนหน้านี้พอใช้ถึงตอนนี้พอดี
เขายกกาน้ำชาบนโต๊ะเล็กข้างเตาขึ้นมา เปิดกล่องไม้ด้านข้างออก หยิบใบชาในนั้นใส่เข้าไป จากนั้นจึงเปิดฝาหม้อใช้กระบวยไม้ตักน้ำเดือดร้อนฉ่าลงกา
ไอร้อนมากมายอบอวลอยู่ในห้องครัว ผ่านไปครู่หนึ่งจี้หยวนยกถาดรองชาออกมา ด้านบนมีถ้วยชาสี่ใบกับกาน้ำชาใบหนึ่งวางอยู่ ยังมีช้อนกระเบื้องเรียวบางและโถดินเผาใบเล็กวางอยู่ด้านข้างด้วย
งานเบ็ดเตล็ดในการดำรงชีวิตเช่นนี้ จี้หยวนชอบลงมือด้วยตนเอง การทำเช่นนี้ค่อนข้างมีกลิ่นอายการใช้ชีวิตมากกว่า ทั้งรู้สึกเหมือนว่าได้ใช้ชีวิตจริงๆ หรือกล่าวว่าเป็นการเตือนตัวเองระดับหนึ่ง โดยเนื้อแท้เขาก็เหมือนคนทั่วไปที่ทำงานยามพระอาทิตย์ขึ้นพักผ่อนยามพระอาทิตย์ตก
“ท่านจี้ยังชอบก่อเตาต้มน้ำชงชาด้วยตัวเองหรือ”
ความจริงขอทานชราชื่นชมการกระทำเช่นนี้ของจี้หยวนมาก ถึงขั้นไม่อาจนับว่าเป็นการเพลิดเพลินอยู่บนโลกมนุษย์ แต่เป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง เขาอาศัยสิ่งนี้มาปลีกตัวออกจากเรื่องน่าอักอ่วนที่ขอทานเด็กสอดส่องวิชาก่อนหน้านี้
ได้ยินขอทานชรากล่าวเปลี่ยนเรื่อง จี้หยวนยินดีที่จะเป็นเช่นนี้ เขายิ้มพลางกล่าวตอบประโยคหนึ่ง
“ข้าคนแซ่จี้คิดว่าหากมีเงื่อนไขนี้ ชาซึ่งชงด้วยการใช้ฟืนก่อไฟต้มน้ำจะยิ่งอร่อย”
“ท่านปู่หลู่ เป็นเช่นนั้นหรือ”
ขอทานเด็กถามขอทานชราอย่างไร้เดียงสาอยู่บ้าง ฝ่ายหลังตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา
“เจ้าเชื่อคำพูดส่งเดชของเขาด้วยหรือ!”
เดิมขอทานชราอยากพูดว่าอย่าเชื่อคำพูดเพ้อเจ้อของจี้หยวน แต่บางคำหลีกเลี่ยงหน่อยจะดีกว่า
จี้หยวนวางอุปกรณ์ชงชาลงบนโต๊ะหินก่อนผายมือเชิญอีกครั้ง
“ท่านทั้งสองเชิญนั่ง”
ขอทานชราเห็นจี้หยวนไม่โกรธเสี่ยวโหยวจริงดังว่า ใบหน้ากลับมาแย้มยิ้มอีกครั้ง ลากขอทานเด็กมานั่งข้างโต๊ะหิน
“จิ๊ๆๆ…ดื่มชาที่ท่านจี้ชงด้วยตัวเอง ในใต้หล้าคงมีคนไม่มากที่มีบุญเช่นนี้ ขอทานชราอย่างข้าต้องลิ้มรสดีๆ”
“ไม่ใช่ชาเซียนอะไรหรอก”
จี้หยวนเหลือบมองเขาพลางกล่าวตอบ จากนั้นค่อยหงายถ้วยชาวางบนโต๊ะอย่างชำนาญ ยกกาน้ำชารินให้ตัวเองกับขอทานชราขอทานเด็กคนละถ้วย เขายังไม่ปิดถ้วยชาทันที แต่เปิดโถดินเผาใบเล็กบนถาดรองชา ใช้ช้อนกระเบื้องตักของข้างในออกมาหนึ่งช้อนเบาๆ
ช้อนกระเบื้องลากเส้นกระจ่างสายหนึ่งออกมา มือที่ถือช้อนชั่งน้ำหนักก่อนตัดเส้นบางเบาๆ นำกลิ่นหวานหอมเลือนรางมาอยู่เหนือถ้วยชาของเสี่ยวโหยว จากนั้นค่อยพลิกช้อนกระเบื้อง น้ำผึ้งโปร่งแสงสองสามหยดหลั่งลงถ้วยชา
เวลานี้อุณหภูมิน้ำเหมาะสมพอดี จี้หยวนปิดฝาถ้วยชา ส่งช้อนให้ขอทานเด็กพลางกล่าว
“คนเบาๆ ค่อยดื่ม รสชาติดีนัก”
จากนั้นจี้หยวนใช้วิธีการเดียวกัน ตักน้ำผึ้งหนึ่งช้อนชาให้ตนกับขอทานชราอีกครั้ง
ระหว่างนี้ขอทานสองคนต่างได้กลิ่น แม้ว่าปากของคุณชายจี้คนนี้บอกว่าไม่ใช่ชาเซียนอะไร แต่เมื่อเติมน้ำผึ้งเข้าไป ย่อมเปลี่ยนของไร้ค่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ทันที รู้สึกว่าภายในถ้วยชากำลังบ่มกลิ่นพิเศษ
ขอทานสองคนทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว ประคองถ้วยชาขึ้นมาเขย่าเล็กน้อย เปิดฝาเป่าสักพักก่อนจิบเบาๆ
“หอมนัก หวานมาก! อร่อยจริงๆ!”
“จิ๊ๆๆ… ไม่เลวๆ ท่านจี้รู้จักเสพสุข!”
การตอบสนองของขอทานเด็กกับขอทานชราไม่เกินความคาดหมาย ฝ่ายแรกดื่มอีกอึกก่อนมองโถดินเผาใบเล็กบนถาดรองชาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขารู้ว่าเป็นผลจากเจ้าสิ่งนี้มากกว่าใบชาแน่นอน
“ท่านจี้ ภายในโถใบนี้ของท่านคืออะไรหรือ โปร่งแสงนัก ไม่เหมือนน้ำเชื่อมเลย”
“เด็กโง่ นี่เรียกว่าน้ำผึ้ง ไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปใช้ได้ ส่วนน้ำผึ้งของท่านจี้…”
ขอทานชราเงยหน้ามองผึ้งซึ่งยุ่งอยู่กลางดอกพุทรา
“แม้แต่ฮ่องเต้อาจไม่ได้ลิ้มรส ไม่ใช่สิ ย่อมไม่ได้ลิ้มรสแน่”
ชาน้ำผึ้งนี้คู่ควรกับคำกล่าวชมของขอทานชราจริงๆ แต่จี้หยวนไม่อยากฟังขอทานชราคนนี้คุยเรื่องเบ็ดเตล็ดจนจบ หลายครั้งก่อนหน้านี้เขาเป็นฝ่ายไปหาขอทานชรา อีกฝ่ายพูดนอกเรื่องนอกประเด็นไปมาก็ช่างเถอะ คราวนี้มาหาตนถึงบ้าน นอกจากรีบมาตอบแทนน้ำใจแล้ว คงไม่ได้มาพูดไร้สาระกระมัง
ยากเจอผู้สูงส่งมรรคอัศจรรย์ที่แท้จริง ยึดตามหลักวิชามรรคน่าจะเหนือกว่ามังกรเฒ่า จี้หยวนเองอยากพูดคุยดีๆ
“ในเมื่อผู้อาวุโสหลู่เคยไปเขาล้อมหยก คิดว่าคงรู้เรื่องที่พวกเราเตรียมการกันตอนนี้แล้วกระมัง”
“อืม!”
ขอทานชราเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก เขาวางถ้วยชาในมือลง
“แม้ว่าผู้ฝึกปราณล้อมหยกยังปกปิดซ่อนเร้นกับข้าอยู่บ้าง แต่อาศัยมรรควิถีต่ำต้อยของข้าและความสัมพันธ์กับท่านจี้ ถือว่ายังเปิดเผยกับข้าไม่มากก็น้อย”
“ท่านจี้ ขอทานชราอย่างข้าขอล่วงเกินถาม ท่านกับมังกรแห่งแม่น้ำเทียมฟ้านั่นคล้ายมองสถานการณ์รัฐอวิ๋นไม่ดีนัก แต่ความสามารถของเฒ่าเครายาวแห่งหอความลับสวรรค์พวกนั้น ขอทานชราอย่างข้าพอรู้อยู่บ้าง ไม่ใช่พวกมีดีแค่ชื่อแน่ คำทำนายเมื่อหลายปีก่อนไม่ใช่คำทำนายนี้”
ดวงตาสีเทาของจี้หยวนจ้องมองขอทานชรา
“ดูท่าว่าผู้อาวุโสหลู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับหอความลับสวรรค์แค่ผิวเผิน ทั้งไม่พูดตามข่าวลือ ถึงขั้นเหมือนกับรู้คำทำนายโดยละเอียด อย่าบอกข้าคนแซ่จี้เชียวว่าเรื่องพวกนี้ท่านฟังมาจากเขาล้อมหยก”
“ไม่กล้าๆ ข้ากล้าหลอกแค่ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกซึ่งฝึกปราณจนสมอง แต่ไม่กล้าใช้คารมต่อหน้าท่านจี้”
คำพูดอย่าง ‘เลือกลูกพลับนิ่มมาบีบเล่น’ โชคดีว่าไม่มีคนของเขาล้อมหยกได้ยิน มิฉะนั้นต่อให้เป็นผู้ฝึกเซียนบุคลิกดีแค่ไหนก็ต้องโกรธจนกระอักเลือด
“ปีศาจร้ายซึ่งรวมตัวในงานชุมนุมวารีปฐพีกล่าวได้ว่าถูกข่าวลือดึงดูดมา อีกทั้งภิกษุฮุ่ยถงเดินทางไปครั้งนี้เกือบปีแล้ว เขาล้อมหยกมีเซียนกุมหยกทำนายแทบทุกวัน อาศัยรากฐานของยอดเขาหลอมหยกสืบรู้สถานการณ์ของยันต์หยกว่างเปล่าและภิกษุฮุ่ยถง ไม่มีเรื่องไม่เหมาะสมใดๆ”
หากไม่มีสถานการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น วิธีการของเขาล้อมหยกย่อมชัดเจนกว่าจี้หยวนหยั่งรู้ผ่านตัวหมากเลือนรางจริงๆ จี้หยวนจึงเห็นด้วยกับคำพูดของขอทานชรา
ฝ่ายหลังยังกล่าวไม่จบ เขาเว้นช่วงไปเหมือนกำลังใคร่ครวญว่าจะกล่าวคำพูดต่อไปอย่างไร คิดอยู่นานแต่ยังรู้สึกว่าไม่มีคำที่เหมาะสม เขาจึงพูดตามตรงโดยไม่ลังเล
“หากท่านจี้กับประมุขมังกรล้วนไม่ผิด หอความลับสวรรค์ก็ไม่ผิด เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเกาะเมฆาเสื่อมถอยส่วนต้าเจินรุ่งโรจน์หรือ ไม่สอดคล้องกับลักษณ์หยินหยางสมดุลเกินไปแล้วกระมัง…”
จี้หยวนดื่มน้ำชา ฟังคำพูดของขอทานชราโดยละเอียด ความจริงถือว่าอาศัยคำพูดของเขามาวิเคราะห์ในใจและวางแผนอะไรใหม่อีกครั้ง รอเมื่อขอทานชรากล่าวอย่างสงสัยใคร่รู้จบ ในใจไหวหวั่นเป็นพิเศษ
หลังจากวางถ้วยชาลง จี้หยวนขมวดคิ้วก่อนผ่อนคลาย จากนั้นค่อยจ้องมองขอทานชรา
“ไม่สอดคล้องกับสมดุลสวรรค์หรือ ไม่แน่หรอก ผู้อาวุโสหลู่อาจอยู่บนโลกมานาน บางทีคงเห็นความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของราชวงศ์มาไม่น้อย ต่อให้ไม่วิเคราะห์ตามหลักการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์มนุษย์โดยละเอียด ย่อมต้องเคยเห็นการพบพานลาจากไม่น้อย”
เมื่อจี้หยวนเอ่ยปากออกมา ใบหน้าชราพลันเคร่งขรึม
“ท่านจี้มองว่าต้าเจินมีวาสนาอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้หรือ”
“เอกลักษณ์? หากสวรรค์มีความรู้สึกย่อมแก่เฒ่า การแจ้งมรรคบนโลกคือประสบการณ์ ผู้อาวุโสหลู่ประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว อย่างมากข้าคนแซ่จี้ก็แค่คาดหวังหน่อยเท่านั้น”
ต่อให้จี้หยวนกล่าวโดยอ้อมเช่นนี้ก็ทำให้ขอทานชราหวั่นใจแล้ว
ขอทานเด็กที่อยู่ข้างๆ ฟังคำพูดช่วงหลังไม่เข้าใจสักประโยค รู้สึกว่าลึกล้ำและน่าปวดหัวยิ่งกว่าหลักการฝึกปราณบางส่วนที่ท่านปู่หลู่สอนเขาช่วงนี้เสียอีก
เมื่อคุยเรื่องพวกนี้จบจนทำให้ขอทานเด็กปวดหัว ขอทานชรากับจี้หยวนยังคุยเรื่องเบ็ดเตล็ดอีกครู่ใหญ่ บ้างเหมือนเรื่องการฝึกปราณ บ้างเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญของคนทั่วไป แต่เมื่อฟังโดยละเอียดขอทานเด็กกลับรู้สึกว่าไม่ธรรมดา
แน่นอนว่าเมื่อจบประเด็นสนทนาแต่ละเรื่อง ขอทานชราล้วนถามอ้อมค้อมอย่างนึกสนุก นัยส่วนใหญ่ของคำพูดคือ ‘ข้าติดค้างไมตรีท่านย่อมต้องตอบแทนใช่หรือไม่’ แต่แค่กล่าวคลุมเครือเท่านั้น
สุดท้ายขอทานเด็กก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่สองคนคุยจนได้ผลอย่างไร พูดอ้อมไปอ้อมมา รู้แค่สุดท้ายท่านปู่หลู่ไม่ได้รับคำพูดแน่ชัดจากปากท่านจี้ว่าควรตอบแทนน้ำใจอย่างไร
เวลาเช้าตรู่ล่วงเลยจนเกินเที่ยงวัน ขอทานสองคนยังกินอาหารฝีมือจี้หยวนด้วย ความจริงฝีมือทำอาหารของจี้หยวนไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ ดังนั้นส่วนใหญ่ไม่นึ่งก็ต้ม แต่ร่วมกับเครื่องปรุงรสพิเศษซึ่งผสมกันอย่างลงตัวของเขา ทำให้ขอทานสองคนกินจนอยากขูดจาน
กระทั่งถึงช่วงบ่าย ในที่สุดขอทานชราก็บอกลาพร้อมขอทานเด็ก ขืนอยู่ต่อคงต้องพักที่เรือนสันติ ที่อื่นขอทานชราไม่ลังเลแน่นอน แต่เมื่ออยู่กับจี้หยวน เขาคงต้องพักอย่างอักอ่วน
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม บนทางหลวงแห่งหนึ่งนอกอำเภอหนิงอัน ขอทานเสื้อผ้ามอมแมมสองคนเดินอยู่ริมทาง ขอทานชราไม่พูดจามาตลอด ขอทานเด็กข่มกลั้นอยู่นานสุดท้ายก็ทนไม่ไหว
“ท่านปู่หลู่ พวกเราจะจากต้าเจินไปหรือไม่”
“เฮ้อ… ไปไม่ได้ ไปลำบาก!”
ขอทานเด็กขมวดคิ้ว เขาไม่มีปัญหาอะไร แต่เห็นขอทานชราทำหน้าอักอ่วนจึงกล่าวอีกประโยค
“ท่านปู่หลู่ เมื่อครู่ท่านพูดวกไปวนมากับท่านจี้ พูดตามตรงก็ได้ไม่ใช่หรือ ทำให้ท่านจี้ไม่เข้าใจว่าท่านอยากพูดอะไร”
เมื่อฟังคำพูดนี้ขอทานชราเหมือนถูกกระตุ้นอย่างหาได้ยาก
“เขาฟังไม่เข้าใจหรือ เขาแกล้งโง่กับข้าต่างหาก! เปลี่ยนเรื่องเก่งกว่าข้าอีก ทั้งถือว่าข้าพูดตรงแล้ว หากพูดตรงกว่านี้ ไม่ใช่ว่าข้าขอร้องเขาหรือ เมื่ออยู่ต่อหน้าจี้หยวนขอทานชราอย่างข้ามักรู้สึกว่าสู้ไม่ได้ เจ้าว่าน่าหงุดหงิดหรือไม่”
ขอทานเด็กพลันหมดคำพูด กล่าวพึมพำเสียงเบา
“สู้ไม่ได้ก็สู้ไม่ได้สิ ขอทานอย่างพวกเรายังจะประชันเกียรติยศอะไรได้…”
ขอทานชราเห็นเขาไม่พูดจาจึงจูงมือขอทานเด็กเดินบนทางหลวง ครู่ใหญ่ค่อยกล่าวพึมพำกับตัวเอง
“ผู้สูงส่งย่อมรักศักดิ์ศรี แต่แบ่งแยกว่าปฏิบัติต่อใคร…”
อำเภอหนิงอัน ภายในเรือนสันติตรงตรอกเทียนหนิว จี้หยวนวางพู่กันหมึกกระดาษจานฝนบนโต๊ะหิน เริ่มเขียนอักษรใหม่อีกครั้ง มุมปากเผยรอยยิ้มรางๆ
‘ลับฝีปากกับข้าคนแซ่จี้ ท่านต้องอึดอัดใจตายแน่! อยู่ต้าเจินต่อโดยดีเถอะ…’