ตอนที่ 263 จิ้งจอกหลงกระบี่
เมื่อหงซิ่วกล่าวประโยคนี้จบ นางยังยิ้มแข็งทื่อมาทางจี้หยวน แต่ไม่เห็นความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษจากใบหน้าอีกฝ่าย ยิ่งไม่มีทางสัมผัสถึงอะไรผ่านดวงตาสีเทาซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงคู่นั้น
“ในเมื่อเจ้าไม่ทำร้ายคนสองไม่เพ่นพ่าน คิดว่าบนเรือดอกไม้นี้คงฝึกปราณไม่ดีนัก เช่นนั้นเจ้ามาต้าเจินด้วยเรื่องใด”
ถึงอย่างไรจี้หยวนก็ไม่เชื่อว่าหญิงสาวคนนี้นึกสนุกอย่างเดียว ต้องรู้ว่าถึงแม้จิ้งจอกขาวตัวนี้กลบกลิ่นอายแน่นหนา แต่ยังมีปราณชั่วร้ายบางส่วนอยู่ ไม่ใช่พวกแกะน้อยอ่อนโยนแน่
“คุณชาย ได้ยินข่าวลือว่าต้าเจินมีเซียนเร้นกายลึกลับเกินคาดเดาท่านหนึ่ง มากอภินิหารพลังไร้ขอบเขต คนบนโลกภายนอกที่เคยเจอเขามีน้อยนัก รู้แค่ว่าเขาเหมือนเซียนกระบี่ซึ่งมีความสามารถเทียมฟ้าคนหนึ่ง…”
นัยน์ตาหงซิ่ววาววาบยามกล่าวประโยคนี้ก่อนเว้นช่วงไป จากนั้นค่อยมองมาทางจี้หยวนอีกครั้ง
“ใช่ท่านหรือไม่”
“หึ ท่านจี้กำลังถามเจ้า ถึงคราวเจ้าย้อนถามหรือ”
เทพแม่น้ำระเบียบแค่นเสียงเย็นชาประโยคหนึ่ง โคจรพลังกดดันไปทางหญิงสาวด้านข้าง วันนี้ขอแค่ท่านจี้เตรียมจัดการปีศาจตนนี้ เขาย่อมเป็นคนแรกที่ลงมือแน่
ไม่ใช่แค่เพราะก่อนหน้าปีศาจตนนี้สบประมาทเขา ยังเป็นเพราะนี่คือโอกาสทองอย่างหนึ่ง
ในต้าเจินภูตเผ่าวารีซึ่งมีหน้ามีตาและเป็นบริวารจ้าวมังกรล้วนเล่าลือเรื่องที่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ แน่นอนว่าอภินิหารของท่านจี้ร้ายกาจ แต่ความจริงสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดคือการหยั่งรู้ ‘มรรค’ ของท่านจี้
ขอแค่ผูกวาสนาบางส่วนกับท่านจี้ มีโอกาสเล็กน้อยย่อมได้รับ ‘การนำทางจากเซียน’ เหมือนการข้ามขอบเขตยิ่งใหญ่จนไม่กล้าจินตนาการของธิดามังกร แต่ย่อมมีประโยชน์ต่อการฝึกปราณในภายหน้าอย่างมาก
แต่อานุภาพนี้เหมือนไม่มีผลกับตัวหญิงสาวคนนี้มากนัก ฝ่ายหลังเหมือนสนใจจี้หยวนแค่คนเดียว
จี้หยวนยิ้มเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก มองแม่นางหงซิ่วคนนี้
“มากอภินิหารพลังไร้ขอบเขต? บนโลกมีผู้ฝึกปราณเช่นนี้ด้วยหรือ อย่างน้อยข้าคนแซ่จี้ยังไม่เคยเจอยอดฝีมือเช่นนี้!”
อีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ โดยพื้นฐานถือว่ายอมรับครึ่งหนึ่ง แม้ว่าคำพูดเจือแววเหน็บแนม แต่ถ้าคิดตามโดยเปลี่ยนมุมมอง สามารถพูดได้ว่าผู้ฝึกปราณซึ่งคนตรงหน้าพบเจอล้วน ‘ไม่เท่าไหร่’ ทั้งหมดเป็นแค่พวก ‘ชายขอบ’ ซึ่งแค่มองก็หยั่งรู้ได้
หงซิ่วสูดหายใจลึกปรับความรู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย
“ท่านจี้ ความจริงข้ามาต้าเจินด้วยหวังโชคช่วยหลบหายนะ ไม่มีความคิดก่อความวุ่นวายใด… กระบี่เซียนของท่าน ข้าน้อยขอชื่นชมหน่อยได้หรือไม่”
เทพวารีตู้ก่วงทงมองปีศาจสาวตนนี้อย่างแปลกใจ แววตาเหมือนมองคนโง่ รู้สึกว่านางคนนี้ไม่รู้จักดีชั่วถึงขั้นนี้เชียว พูดจาไม่เหตุผลแล้วยังอยากเห็นกระบี่เซียน ไม่กลัวถูกกระบี่ฟันหรือ
จี้หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ใคร่ครวญครึ่งลมหายใจก่อนพยักหน้า
กระบี่เครือเขียวด้านหลังลอยดิ่งลงมาอยู่ตรงหน้าจี้หยวน ก่อนปรากฏตัวทีละน้อย ฝักกระบี่เรียบง่ายเถาวัลย์เขียวขจี ยามขับเคลื่อนวิญญาณเจือความนิ่งสงบและสง่างาม แต่กลับไม่มีเจตกระบี่หรือปราณกระบี่ใด คล้ายว่าไม่ใช่อาวุธสังหาร แต่เป็นงานศิลป์วิญญาณเขียวชิ้นหนึ่ง
“วิญญาณก่อเกิดเครือเขียว ซ่อนคมประกายหมื่นจั้ง…”
หงซิ่วอ่านตัวอักษรบนฝักกระบี่ตามจิตใต้สำนึก คล้ายสัมผัสถึงเจตกระบี่ไร้สิ้นสุดซึ่งผนึกอยู่ในฝักกระบี่
ดังคำกล่าวว่าสรรพสิ่งเมื่อถึงจุดสูงสุดย่อมพลิกกลับ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นกระบี่เซียน ยามนี้ไม่มีเจตจำนงดุดันแม้แต่น้อย แต่คิดเชื่อมโยงได้ว่าเมื่อกระบี่นี้ออกจากฝัก ย่อมเผยความเฉียบคมหาใดเปรียบอย่างไร
เทพแม่น้ำระเบียบมองกระบี่เซียนอย่างเหม่อลอยอยู่บ้างเช่นกัน
‘นี่ก็คือกระบี่เครือเขียวของท่านจี้!’
หงซิ่วมองกระบี่เครือเขียวอย่างหลงใหล แววตาดูอึ้งงันอยู่บ้าง
“กระบี่งามนัก…”
นางคิดสัมผัสกระบี่เครือเขียวตามจิตใต้สำนึก เวลานี้กระบี่เซียนสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ฟุ่บ…
แสงขาวซึ่งแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าสายหนึ่งทอประกายออกมาจากตัวกระบี่ ถึงแม้ว่าแสงขาวสายนี้บางตามาก แต่การรับรู้ผ่านจิตใจกลับเจิดจ้าเหมือนธารดารา
“กรี๊ด…”
หงซิ่วกรีดร้องคราหนึ่ง ทั้งตัวถูกดีดออกไปไกลหลายจั้ง กระแทกประตูห้องรับรองห้องหนึ่ง
“แค่ก… แค่กๆๆ… แค่กๆ…”
มือเท้านางสั่นเทาอยู่บ้าง ไออยู่ตรงนั้นไม่หยุด ความรู้สึกกดดันสุมอกซ่านสลายตามการไออย่างต่อเนื่อง
กระบี่เครือเขียวยังลอยอยู่บนโต๊ะ ไม่เคยออกจากฝัก
เมื่อครู่คือกระบี่แห่งจิตวิญญาณของกระบี่เครือเขียว จี้หยวนเองคิดไม่ถึงว่าปีศาจจิ้งจอกตนนี้จะหาเรื่องใส่ตัวถึงขั้นนี้ เหม่อลอยคิดสัมผัสกระบี่เครือเขียว
กระบี่เครือเขียวเป็นกระบี่เซียนมีจิตวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ทั้งมีนิสัยส่วนตัว บางครั้งอารมณ์ยังไม่ค่อยดีด้วย จิตใจของปีศาจจิ้งจอกอยู่ในสภาพไร้การป้องกันโดยสิ้นเชิง โดนกระบี่เครือเขียวซัดกระเด็นเช่นนี้ถือว่าสมควรแล้ว
“หึๆๆๆๆ… ทำตัวเองโดยแท้!”
จางหรุ่ยยิ้มหยันกล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่ง ทั้งมองหวังลี่ที่อยู่ด้านข้างทำท่าปวดใจ นางเห็นแล้วโมโหเจือขบขันทันที
เทพแม่น้ำระเบียบมองปีศาจจิ้งจอกมือเท้าสั่นเทาอยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชา เห็นนางไอเป็นระลอกและทำท่าลุกไม่ขึ้น การโจมตีเมื่อครู่คงไม่เบา แต่นั่นน่าจะเป็นการเตือนจากตัวกระบี่เซียนเอง หากท่านจี้เป็นคนควบคุมกระบี่เซียนเพื่อลงมือ คาดว่าปีศาจตนนี้คงสิ้นชีพแล้ว
ตอนนี้ตู้ก่วงทงยิ่งรู้สึกว่าปีศาจจิ้งจอกตนนี้สมองมีปัญหาอยู่แปดส่วน ปีศาจทั่วไปใครจะสัมผัสกระบี่เซียนเองเช่นนี้ ต่อให้เจ้าของกระบี่ดูเหมือนเป็นกันเองและพูดด้วยง่ายแค่ไหน ก็ใช่ว่ากระบี่เซียนจะพูดด้วยง่าย นิสัยอาวุธสังหารมีหรือจะนุ่มนวล
หวังลี่ที่อยู่ด้านข้างทำหน้าปวดใจเพราะหงซิ่วอยู่บ้าง สุดท้ายค่อยเริ่มทำหน้าประหลาดใจว่าเหตุใดไม่มีใครเข้ามา ตั้งแต่เมื่อครู่ถึงตอนนี้ การเคลื่อนไหวในห้องรับรองนี้ไม่ถือว่าน้อย แต่ข้างนอกคนอื่นบนเรือวิจิตรกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ใคร่ครวญแล้วเข้าใจว่าผู้สูงส่งต้องสำแดงวิชาแน่
อีกด้านหงซิ่วถูกกระบี่เซียนทำร้าย เผยสีหน้าเจ็บปวด นางรู้ว่าร่างกายไม่มีบาดแผล สิ่งที่บาดเจ็บคือจิตวิญญาณตน ตอนนี้ตนยากรวบรวมสมาธิ มือเท้าเป็นตะคริวอยู่บ้าง ครู่ใหญ่ค่อยบรรเทาลง
‘ความรู้สึกปวดใจ’ เช่นนี้พบเห็นได้น้อยผิดธรรมดา นับว่าทำให้นางหวาดผวา
เห็นปีศาจจิ้งจอกลุกขึ้นมาเร็วเช่นนี้ จี้หยวนสีหน้าแข็งทื่อ ภายนอกมองไม่ออก ในใจกลับตกตะลึง ก่อนหน้านี้ยามเห็นสภาพปีศาจจิ้งจอก เขาเกือบลงมือแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะฟื้นตัวเร็วขนาดนี้
โดนโจมตีเต็มแรงขนาดนั้นยังฟื้นตัวเร็วเช่นนี้ ดูท่าว่าร้ายกาจจริงๆ
“กระบี่งามนัก…”
หงซิ่วเข้าใกล้โต๊ะอย่างระวัง ความสนใจยังอยู่ที่กระบี่เครือเขียวซึ่งกลับมาอยู่ด้านหลังจี้หยวนแล้ว ตอนนี้แม้ว่ากระบี่เซียนจางลงไป แต่เพราะจิตวิญญาณชักนำจึงเห็นเป็นภาพมายาอยู่
“ถ้าข้ามีกระบี่เซียนสักเล่มก็คงดี…”
ได้ยินหงซิ่วทอดถอนใจเช่นนี้ ตอนนี้แม้แต่จี้หยวนยังคิดว่าปีศาจจิ้งจอกตนนี้สมองอาจไม่ปกติจริงๆ
เมื่อจี้หยวนขมวดคิ้วจ้องมอง หงซิ่วดึงสติกลับมาพลางนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร นางกล่าวอย่างประหม่าและอักอ่วน
“ท่านจี้ ข้าชื่อถูซือเยียน มาจากถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยกเขาพยับครามเกาะไอหมอกประจิม เคยติดต่อกับเซียนมาก่อน ไม่เคยทำเรื่องผิดครรลองเท่าไหร่นัก… อย่างน้อยมาถึงต้าเจินแล้วไม่เคย!”
“เกาะไอหมอกประจิม? ถูซือเยียน? ไม่ใช่ถูซานซือเยียนหรือ”
เป็นปีศาจจิ้งจอกทั้งแซ่ถู จี้หยวนจึงถามเช่นนี้ตามจิตใต้สำนึก
“หา?”
ถูซือเยียนอึ้งงันครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนตรงหน้าถึงถามเช่นนี้
จี้หยวนไม่ตอบรับอีก เก็บตำราบนโต๊ะเข้าแขนเสื้อ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนมองถูซือเยียน
“แม่นางหงซิ่ว สงบใจพูดคุยกับเจ้ามานานขนาดนี้ หนึ่งคือข้ารู้สึกสงสัย สองคือไม่ต้องการทำให้ชาวบ้านบนเรือตกใจ แต่เจ้าอย่าเป็นหญิงคณิกาบนเรือวิจิตรนี้เลย หาทางไถ่ตัว ออกจากต้าเจินเถอะ”
“อ้อ หา!?”
ถูซือเยียนตอบรับก่อน จากนั้นพลันตอบสนองกลับมา รีบส่ายศีรษะ
“ไม่ได้ๆๆ ข้าไปไม่ได้! นอกจากท่านให้ข้ายืมกระบี่เซียน ข้ากลับเกาะไอหมอกประจิมรอบหนึ่งแล้วค่อยนำมาคืนท่าน!”
จี้หยวนยังไม่เอ่ยวาจา จางหรุ่ยกับเทพวารีตู้ก่วงทงโกรธจนทนไม่ไหวแล้ว ตู้ก่วงทงลุกขึ้นมาทันที
“เจ้าปีศาจ อยากรนหาที่ตายจริงหรือ ท่านจี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้นางสมปรารถนา ไม่ต้องให้ท่านลงมือ ข้าคนแซ่ตู้จัดการนางแทนท่านเอง!”
ถูซือเยียนนั่งห่างจากตู้ก่วงทงเล็กน้อย กุมมือทำหน้ากลัดกลุ้มมองจี้หยวน หรือกล่าวว่ามองกระบี่เซียนด้านหลังเขา ถึงอย่างไรเทพวารีคนนี้ก็ไม่กล้าลงมือ ผลคือได้ยินจี้หยวนกล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“เช่นนั้นต้องรบกวนเทพวารีลงมือแล้ว”
ตู้ก่วงทงกับถูซือเยียนอึ้งงันครู่หนึ่ง ฝ่ายแรกดีใจยกใหญ่ทันที ฝ่ายหลังตกตะลึงหน้าถอดสี
“โฮก…”
เทพวารีส่งเสียงคำรามแผ่วต่ำ แสงเทพทั่วร่างพลันส่องประกาย มือในแขนเสื้อเผยเกล็ดสีดำชั้นหนึ่ง ลงมือเหมือนสายฟ้าฟาด บีบคอปีศาจจิ้งจอกไว้
เดิมถูซือเยียนคิดหลบหนี ยามจี้หยวนเอ่ยปาก นางพลันพบว่าร่างกายตนไม่ฟังคำสั่ง หรือกล่าวว่าไม่อาจขยับเขยื้อน
“อึก…”
ถูซือเยียนซึ่งถูกบีบคอแน่นดิ้นรนเล็กน้อย คราวนี้ถึงรู้ว่าสิทธิ์ครองร่างกายฟื้นคืนกลับมาช้าๆ แต่แสงเทพจากมือดำซึ่งบีบคออยู่อันตรายกับปราณชั่วร้ายและปราณปีศาจมาก ทำให้นางไม่กล้าขัดขืนเกินไป
ตู้ก่วงทงประหลาดใจยิ่ง ปีศาจตนนี้จับตัวง่ายเช่นนี้หรือ
จากนั้นทั้งสองคนเหมือนตระหนักถึงอะไรบางอย่าง คนหนึ่งชะโงกอีกคนขยับคออย่างยากลำบาก มองมาทางจี้หยวน พบว่าบนโต๊ะมีรอยน้ำแถบหนึ่ง รวมเป็นอักษรวารีตัวเล็ก กลายเป็นคำว่า ‘หยุด’
ใช้วิชาผนึกร่างกับปีศาจจิ้งจอกตนนี้ จี้หยวนไม่มีความมั่นใจนัก แต่เมื่อครู่จิตวิญญาณนางถูกทำร้ายจึงต่างออกไป สามารถกักขังนางได้ครู่หนึ่งดังคาด