ตอนที่ 266 หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอด
หลังจากผ่านไปราวสิบวัน เรือเล็กลำหนึ่งพาจี้หยวน หวังลี่ จางหรุ่ยสัญจรอยู่บนแม่น้ำสายเล็ก เบื้องหน้าเข้าใกล้แม่น้ำเทียมฟ้าทีละน้อยแล้ว
เรือเล็กขับเคลื่อนอย่างมั่นคง แทบไม่มีการส่ายสั่นอะไร บนโต๊ะตัวเล็กในห้องโดยสารวางพู่กันหมึกกระดาษจานฝนไว้ หวังลี่กำลังวาดพู่กันเขียนอะไรบนโต๊ะ จางหรุ่ยนั่งมองอยู่ด้านข้าง
ผ่านไปนานจนหวังลี่เขียนตัวอักษรสุดท้ายเสร็จ เขาผ่อนลมหายใจก่อนวางพู่กันกลับชั้น
เมื่อเห็นจางหรุ่ยที่อยู่ด้านข้าง หวังลี่นึกถึงบทเรียนก่อนหน้านี้ รีบถามจี้หยวนประโยคหนึ่ง
“ท่านจี้ คนในเรื่องนี้คงไม่ถือสาหากข้าคนแซ่หวังปรับแต่งเรื่องราวตามความเหมาะสมกระมัง บางเรื่องแต่งเป็นตำราลำบากนัก เปลี่ยนเป็นราชวงศ์ก่อนหรือราชวงศ์แต่งย่อมเหมาะกว่าหน่อย”
เรื่องที่จี้หยวนเล่าจบเมื่อครู่คือเรื่องของเต่าเฒ่าแห่งแม่น้ำวสันต์นั่นเอง ในเมื่อเป็นเรื่องที่ท่านจี้เล่าออกมาจากปาก แปดส่วนย่อมเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น
ต่อให้หวังลี่ไม่รู้จักดีชั่วแค่ไหนก็รู้ว่าเรื่องเช่นนี้ไม่อาจเขียนเป็นตำราโดยไม่ปรับแต่ง
ประสบการณ์ช่วงนี้ถือว่านำแรงสั่นสะเทือนมาสู่ใจหวังลี่ไม่น้อย แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับงานของนักเล่าเรื่อง เขายังทำใจเป็นปกติได้
“ฮ่าๆๆๆ… ขอแค่ไม่ปรับเปลี่ยนมากเกินไปก็พอ เต่าเฒ่านั่นไม่ถือสาหรอก”
“อืม…”
หวังลี่ขานรับคราหนึ่ง ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างลังเล
“ท่านจี้ ความจริงข้ารู้สึกว่าฉากจบเรื่องนี้ไม่เหมาะอยู่บ้าง”
จี้หยวนคัดพายพลางกล่าวตอบลอยๆ
“คุณชายหวังคิดว่าตรงไหนไม่เหมาะ ลองว่ามาเถิด”
หลายวันมานี้หวังลี่พอรู้จักนิสัยของจี้หยวนโดยคร่าว เขาจึงวางใจกล่าวอย่างบังอาจ
“ท่านจี้ เรื่องนี้มีจุดหักมุม มีความอัศจรรย์ ไม่ขาดกลิ่นอายของกาลเวลา ความลึกซึ้งมีไม่น้อย แต่ฉากจบนี้ข้าคนแซ่หวังรู้สึกว่าไม่เหมาะ ท่านคิดดูสิ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์นี้ก็ดี หรือฝั่งตระกูลเซียวก็ช่าง พวกเขาอาจต้องแบกรับค่าตอบแทนบางส่วน เรื่องนี้ท่านเป็นเทพเซียนย่อมรู้แน่ชัด แต่สำหรับข้ากลับไม่ชัดเจน”
หวังลี่ไตร่ตรองคำพูดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ
“ข้าคนแซ่หวังคิดว่าการเล่าเรื่อง นอกจากสร้างความบันเทิงแก่ผู้คนแล้ว ยังต้องรับผิดชอบในการทำให้ผู้คนตระหนัก ความดีความชั่วบนโลกยากอธิบายผลกรรมชัดเจนจริงๆ แต่อย่างน้อยภายในเรื่องเล่ากลับสมควรมี ทั้งสามารถทำให้มีได้ หากนิทานของนักเล่าเรื่องยังไม่อาจทำให้ผู้คนคิดกำจัดความชั่วอย่างยินดีได้ เช่นนั้นคงไม่มีความหมาย…”
แปะๆๆๆๆ…
จี้หยวนวางไม้พายลง ปรบมือให้หวังลี่เล็กน้อย
“พูดได้ไม่เลว พูดได้ดี! ปรับเปลี่ยนตามใจเจ้าเถอะ”
“แหะๆ เช่นนั้นข้า… ขอเปลี่ยนเลยนะขอรับ”
หวังลี่ถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง จี้หยวนคัดพายใหม่ พยักหน้ากล่าวเน้นเสียง
“เปลี่ยน!”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้หวังลี่ไม่เกรงใจอีก หยิบพู่กันจุ่มหมึกพลิกกระดาษเขียนอักษรอีกครั้ง
ตอนนี้เขาแค่เขียนต้นร่าง จดเนื้อหาซึ่งท่านจี้เล่าส่วนใหญ่ไว้ก่อนที่ความจำจะหายไป จากนั้นค่อยขัดเกลากลั่นกรอง ปรับเรื่องจนสมบูรณ์ทีละน้อย
การเขียนเรื่องที่ทำให้คนจำฝังลึกได้ แน่นอนว่าไม่อาจขาดแก่นเรื่องตั้งต้น แต่สีสันของนักเล่าเรื่องถือว่าสำคัญเช่นกัน กระบวนการนี้นับว่าหวังลี่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับข่าวลือหลายวันก่อนหรือเรื่องคัดลอกมีชื่อเสียงอื่น เรื่องอัศจรรย์อิงความจริงเช่นนี้กลับทำให้เขาตื่นเต้นยิ่งกว่า
จางหรุ่ยมองหวังลี่อย่างแปลกใจอยู่บ้าง ยามคนผู้นี้เขียนนิทานและเล่าเรื่อง แตกต่างกับตอนอยู่หอนางโลมราวกับเป็นคนละคน การถามตอบกับท่านจี้เมื่อครู่ยิ่งทำให้นางคาดไม่ถึง
เพียงแค่หวังลี่เอ่ยวาจาเมื่อครู่ ทำให้ท่านจี้ปรบมือให้เขา เท่านี้ก็ทำให้จางหรุ่ยมองหวังลี่ใหม่แล้ว
เมื่อคิดอย่างละเอียด ‘วาสนากวางขาว’ ฉบับปรับแต่งเมื่อตอนนั้น ความจริงถือว่ามีนัยไม่ต่างกันนัก ตนรู้สึกรังเกียจแค่เพราะบังเอิญเป็น ‘ผู้เสียหาย’ ในฉบับปรับแต่ง ถึงแม้ว่าฉากจบของกวางขาวกับหนุ่มแซ่โจวมีความเป็นโศกนาฏกรรม แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ร่วมกันในศาลมืด ครองคู่กันตลอดไป ยามฉากโศกทำให้ผู้คนทอดถอนใจ ความเคร่งครัดกฎเกณฑ์ของเทพหลักเมืองยิ่งทำให้ผู้คนจดจำอย่างลึกซึ้ง
แต่ตอนนั้นหวังลี่ไม่รู้ว่าการเฆี่ยนแส้ของศาลมืดสาหัสเพียงใด ทำให้นางซึ่งรู้ความหนักหนาเข้าใจคลาดเคลื่อนบ้าง
หวังลี่กำลังเขียนปรับแต่ง ทั้งหยุดมาฝนหมึกเป็นพักๆ นอกจากมองเขาเขียนอะไรเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่จางหรุ่ยจะหลับตาบำรุงจิต ไม่หวังแรงปรารถนากำยานชั่วคราว แต่สามารถดูดซับปราณวิญญาณหยินซึ่งโผล่พ้นน้ำมาได้
เรือล่องตามกระแสธารสายเล็กจนบรรจบแม่น้ำเทียมฟ้าราวครึ่งวัน กราบเรือเริ่มปรากฏฟองอากาศพิเศษบางส่วน
“ท่านจี้?”
จางหรุ่ยซึ่งพบความผิดปกติลืมตาเอ่ยถาม แต่พบว่าจี้หยวนแค่ส่ายศีรษะเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร”
ไม่นานทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิมดังคาด ในน้ำไม่เกิดเรื่องประหลาดอะไรอีก แต่หวังลี่กลับไม่รู้เลยว่าจางหรุ่ยระวังตัว เขายังดื่มด่ำอยู่กับโลกนิทานของตน
เมื่อมาถึงแม่น้ำเทียมฟ้า เนินดินและผืนป่าเพิ่มมากขึ้น ผ่านไปราวหนึ่งเค่อกว่า เรือเล็กเลี้ยวเข้าบริเวณคดเคี้ยวภายใต้การแจวของจี้หยวน จางหรุ่ยพลันพบว่าบนฝั่งใกล้เนินดินมีชายหญิงสองคนยืนอยู่
สองคนนี้สวมชุดหรูหรา ชายหนึ่งหญิงหนึ่งรูปงามอย่างมาก เทียบกับหญิงสาวคนนั้นแล้วหน้าตาหงซิ่วยังหม่นแสง แต่สถานที่ห่างไกลรกร้างเช่นนี้ เหตุใดถึงมีคนเช่นนี้ยืนอยู่ริมฝั่ง บริเวณใกล้เคียงไม่มีทั้งรถม้าหรือเรือสักลำ
“โอ้ หวังลี่ ทางนั้นมีแม่นางคนงามด้วย”
“อ้อ”
หวังลี่ตอบรับโดยไม่เงยหน้า เขียนอักษรอีกสองสามตัวก่อนได้สติกลับมา รีบมองไปยังทิศทางตามนิ้วมือของจางหรุ่ย เห็นผู้ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นสองคนนั้นดังคาด
จากนั้นจางหรุ่ยกับหวังลี่ค่อยค้นพบ นอกจากสองคนนั้นมองนอกเรือเล็กตลอดแล้ว เรือเล็กยังกำลังเข้าใกล้ฝั่งด้วย
“อิงเฟิง อิงรั่วหลี”
“คารวะท่านอาจี้!”
ยามเรือเล็กอยู่ห่างจากตนเจ็ดแปดจั้ง บุตรมังกรและธิดามังกรค้อมตัวคารวะอย่างจริงจัง
“สวัสดีหลานทั้งสอง!”
โดยปกติจี้หยวนจะเรียกว่า ‘อิงอ๋อง’ และ ‘เทพีแม่น้ำ’
แต่ตอนนี้หวังลี่อยู่บนเรือ ถ้าเรียกเช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจทำให้เขาตื่นตระหนก ครั้งนี้เขาจึงเรียกว่า ‘หลาน’
ความจริงเห็นการตอบสนองของหวังลี่ยามได้รับผลกระทบเมื่อหลายวันก่อน จี้หยวนเองไม่อยากให้ตัวหวังลี่เจอเรื่องเทพเซียนมากเกินไปแล้ว เขาเป็นนักเล่าเรื่องธรรมดาน่าจะดีกว่าหน่อย
ตอนนี้เรือเทียบฝั่งพอดี บุตรมังกรและธิดามังกรก้าวเหยียบหัวเรือพร้อมกัน จากนั้นเรือเล็กค่อยเลียบแม่น้ำขับเคลื่อนไปทางเมืองหลวงต่อ
ตั้งแต่สองคนนี้ขึ้นเรือมา แม้ว่าไม่เผยแสงเทพอะไร แต่จางหรุ่ยไม่ค่อยกล้าพูดตามจิตใต้สำนึก แม้แต่หวังลี่ยังแค่กล้าแอบมองทั้งสองคน เขายังวาดพู่กันเขียนอักษรเป็นหลัก
“ท่านอาจี้ ท่านจะไปเมืองหลวงหรือ ท่านพ่อกำลังนอนหลับ ต้องการปลุกเขาหรือไม่”
เห็นว่าจี้หยวนไม่ได้มาแม่น้ำเทียมฟ้าโดยเฉพาะ มุมมองแค่นี้บุตรมังกรยังมีอยู่บ้าง
“ไม่ต้องๆ”
“ท่านอาจี้ สองท่านนี้คือ?”
ธิดามังกรเดินมาข้างห้องโดยสาร ทำท่าว่านฝูหลี่คารวะสองคนด้านในพลางเอ่ยถาม
จางหรุ่ยและหวังลี่รีบคารวะตอบ
“ข้าชื่อจางหรุ่ย เป็น… คนรัฐเยี่ยน เขาชื่อหวังลี่ เป็นนักเล่าเรื่อง”
หวังลี่เห็นจางหรุ่ยปากกระตุกเล็กน้อย
“อะแฮ่ม ข้าน้อยหวังลี่ เป็นนักเล่าเรื่อง”
“อืม ข้าอิงรั่วหลี ท่านนั้นคือพี่ชายข้าอิงเฟิง ล้วนเป็นคนรุ่นหลังของท่านจี้”
จากนั้นอิงรั่วหลีเข้าห้องโดยสารมาดูว่าหวังลี่กำลังทำอะไร ไม่นานก็ออกไปพูดคุยกับจี้หยวน
ครึ่งวันหลังจากนั้น บนเรือเล็กมีคนเพิ่มมาสองคน พอถึงท่าเรือต่อไป จี้หยวนค่อยเทียบเรือเล็กเข้าฝั่ง
จางหรุ่ยและหวังลี่รู้ว่าถึงเวลาแยกจากกันแล้ว พวกเขาสองคนเดินขึ้นฝั่ง จี้หยวนและอีกสองคนอยู่บนเรือไม่ขยับ
“นั่งเรือจากท่าเรือนี้ไป เลียบแม่น้ำเทียมฟ้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ไม่นานก็จะถึงรัฐเยี่ยน”
นี่คือสิ่งที่คุยกันมาก่อนแล้ว แน่นอนว่าจางหรุ่ยไม่มีทางไปเมืองหลวง ต่อให้คิดว่าจบเรื่องแล้วจะติดตามเทพเซียนไป แต่จี้หยวนไม่คิดพานางไปด้วย ถ้าพานางออกจากจังหวัดเฉิงซู่ย่อมกลัวว่าจะถูกหอนางโลมมาคิดบัญชี ทั้งมีความคิดให้นางอยู่ห่างจากสถานบันเทิงหน่อย
ตอนนี้จางหรุ่ยเร้นกายยืนอยู่ข้างหวังลี่แล้ว คารวะบอกลาคนบนเรือ หวังลี่กลับดูตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย
“ท่านจี้ เมื่อไหร่ข้าจะเจอท่านอีก ท่านว่าข้ามีโอกาส… กลายเป็นบุคคลเช่นท่านหรือไม่…”
บนฝั่งหวังลี่มองคนตรงท่าเรือโดยรอบ เอ่ยถามอย่างคลุมเครือและคาดหวัง คำพูดนี้ทำให้จางหรุ่ยและบุตรธิดามังกรต่างขบขัน
จี้หยวนเข้าใจความหมายของหวังลี่ ผู้คนต่างบอกว่าการเป็นเทพเซียนนั้นดี ความจริงแล้วก็ดีมากจริงๆ
“ฮ่าๆๆๆ… คุณชายหวังเจ้าทำตัวเป็นนักเล่าเรื่องให้ดี พวกเรายังมีโอกาสเจอกันอีก”
จี้หยวนยิ้มพลางใช้คันไม้ไผ่บนเรือยันฝั่งท่าเรือ ดันเรือเล็กไปสู่ผิวน้ำ บนฝั่งหวังลี่มองส่งเรือเล็กจากไปไกล หมดอาลัยตายอยากอยู่บ้าง
ยามเรือเล็กออกจากท่าเรือมาสิบกว่าจั้ง จี้หยวนพลันหันกลับไปตะโกนประโยคหนึ่ง
“คุณชายหวัง วันก่อนคำที่เจ้าบอกบนเรือ คงเป็นเช่นนั้นตลอดกระมัง”
คำพูดนี้ของจี้หยวนถามอย่างไร้เหตุผลอยู่บ้าง บุตรมังกรธิดามังกรไม่รู้เรื่อง แม้แต่จางหรุ่ยก็ไม่ตอบสนองชั่วขณะ กลายเป็นว่าหวังลี่เข้าใจว่าจี้หยวนถามอะไรชั่วพริบตา ในสมองนึกถึงวันก่อนยามเขาบอกว่าจะเปลี่ยนฉากจบของเรื่องเล่า รวมถึงเสียงปรบมือของท่านจี้เมื่อตอนนั้น
“ท่านจี้… ข้าคนแซ่หวังจะเป็นเช่นนี้ตลอด…”
หวังลี่ตะโกนตอบไปทางแม่น้ำ
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย ประสานมือไปทางฝั่งอย่างจริงจังอีกครั้ง
หวังลี่เห็นแล้วไม่กล้าละเลย รีบคารวะตอบเช่นกัน จากนั้นค่อยมองเรือเล็กล่องห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่นานสายตาจึงเลือนรางไม่ชัดเจน
“ไปเถอะ คุณชายหวัง อย่าคิดแอบตามไปเมืองหลวงเลย”
“อ๊ะ แม่นางจาง… ได้ๆๆ… แต่แม่นางรู้สึกว่าชื่อของแม่นางอิงคนนั้นคุ้นหูอยู่บ้างหรือไม่”
“คุ้นกับผีน่ะสิ เจ้าแค่เห็นว่านางสวยกระมัง!”
“ไม่ใช่จริงๆ…”
หวังลี่ยิ้มขื่น แบกห่อสัมภาระไปหาเรือ ในสายตาคนนอกคุณชายซึ่งกล่าวกับตัวเองคนนี้น่าจะสมองผิดปกติอยู่บ้าง
บนแม่น้ำเทียมฟ้า จี้หยวนแจวเรือมือเดียว มือขวาตั้งท่านิ้วกระบี่ หมากมายาตัวหนึ่งบนนั้นวาบผ่าน
“หวังว่าเจ้าจะเป็นเช่นนี้ตลอดเถอะ…”
“ท่านอาจี้?”
“ไม่มีอะไร”
จี้หยวนพายเรือต่อ ครั้งนี้ความเร็วของเรือเล็กไวกว่าก่อนหน้านี้มาก