ตอนที่ 298 การพบกันของก้อนหิน
จี้หยวนแค่เหยียบบนหลังคาเล็กน้อยก็ลอยออกไปได้ไกลมาก รวดเร็วเสียด้วย
เยี่ยนเฟยนอกจากตอนกระโดดแล้ว ที่เหลือล้วนวิ่งอย่างบ้าคลั่งบนหลังคา แม้ฝีเท้าแผ่วเบา ทว่าความเร็วสู้จี้หยวนไม่ได้ ตามไม่ทันเสียที
โชคดีที่โรงเตี๊ยมแรกสมบูรณ์อยู่ไกลแค่ไหนก็ยังคงอยู่ในอำเภอหนานเต้าเล็กๆ แห่งนี้อยู่ดี ไม่นานจี้หยวนก็มาถึงหลังคาของโรงเตี๊ยม ฝ่ายเยี่ยนเฟยฝืนอย่างถึงที่สุดจนตามมาถึงข้างกายจี้หยวน
ทั้งสองฝ่ายตกลงบนพื้นแตกต่างกันชัดเจน จี้หยวนตกลงบนกระเบื้องไม่เกิดเสียงแต่อย่างใด เยี่ยนเฟยเก่งวิชาตัวเบามาก ทว่ายังคงเกิดเสียงเล็กน้อยอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
“ท่านจี้ เกิดอะไรขึ้น…”
จี้หยวนไม่ได้หันไปมอง เพียงยกมือห้ามเยี่ยนเฟยพูดต่อ ด้วยการมองจากตาทิพย์ เขามองเห็นปราณปีศาจจางๆ อยู่ในโรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้าม จมูกได้กลิ่นคาวเลือดเช่นกัน
“ข้างหน้ามีปราณปีศาจอบอวล จอมยุทธ์เยี่ยนเชี่ยวชาญวิชายุทธ์ แต่หากเผชิญหน้ากับปีศาจอาจสู้ไม่ได้ อย่าประมาทโดยเด็ดขาด”
“ปราณปีศาจ?”
เยี่ยนเฟยเห็นจี้หยวนพูดจริงจัง พลันเกิดความประหลาดใจขึ้นบ้าง อีกทั้งคิดตามเหตุผลแล้วสิ่งที่ได้เจอในปีนั้นก็เป็นเสือร้ายที่เกิดปัญญาแล้วตัวหนึ่ง
เขาคิดว่าต่อให้มีวิชายุทธ์เช่นตอนนี้ เผชิญหน้ากับภูตเสืออาจเอาชนะไม่ได้ในทันที ทำได้เพียงพูดว่าไม่มีทางจนตรอกเหมือนในปีนั้น
เยี่ยนเฟยกล่าวด้วยความประหลาดใจ จี้หยวนพนักหน้ากล่าว
“ปีศาจไปแล้ว พวกเราเข้าไปดูในโรงเตี๊ยมกันเถอะ”
พูดจบแล้วจี้หยวนก้าวลงจากหลังคาก่อน จากนั้นเดินไปทางโรงเตี๊ยมแรกสมบูรณ์ ส่วนเยี่ยนเฟยดึงสติกลับมาแล้วถึงรีบตามไป
ภายในโรงเตี๊ยม ตอนจี้หยวนและเยี่ยนเฟยเดินเข้าไปไม่เจอแม้แต่หลงจู๊ แต่คนแถวนั้นเหมือนจะเคยชินกับเสียงกรีดร้องของสตรีที่โรงเตี๊ยมแรกสมบูรณ์ในเวลานี้ ดังนั้นไม่มีใครพบความปิดปกติอะไร กอปรกับอาจจะไม่มีแขกมาเยือน ข้างในถึงเงียบเชียบอย่างชัดเจน
“ท่านจี้ระวังด้วย ที่นี่ไม่น่าสงบอะไรขนาดนั้น!”
เยี่ยนเฟยเปลี่ยนมุมจับกระบี่ บรรยากาศที่นี่แปลกอยู่บ้าง
จี้หยวนตอบ “อืม” เบาๆ เสียงหนึ่งก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนเป็นอันดับแรก เยี่ยนเฟยชะงักไปครู่หนึ่งถึงรีบตามไป กวาดสายตามองชั้นวางที่หน้าชั้นบน พบว่าหลงจู๊ล้มลงอยู่ข้างหลัง
โรงเตี๊ยมแรกสมบูรณ์มีทางเดินตรงกลาง แผงผังโรงเตี๊ยมมีประตูทางฝั่งซ้ายและขวาตรงข้ามกัน เมื่อถึงชั้นสองแล้ว จี้หยวนเดินไปยังห้องทางขวาตรงสุดทางเดินอย่างมีเป้าหมาย
เมื่อยื่นมือไปดันเบาๆ ประตูห้องที่ไม่ได้ลงกลอนโดยสิ้นเชิงเปิดออกแล้ว
ปลายจมูกขยับเล็กน้อย สายตามองไปโดยรอบ จากนั้นจี้หยวนจ้องเขม็งสิ่งที่เหมือนผมยาวสีน้ำตาลเข้มบนพื้น หยิบขึ้นมาดูแล้วมีความยาวเท่าๆ กับแขนเด็ก
‘ปีศาจทั่วไปจะทิ้งขนไว้เรื่อยเปื่อยได้อย่างไร’
จี้หยวนมุ่นคิ้วครุ่นคิด ต่อให้เป็นหูอวิ๋นก็ไม่มีทางสลัดขน ต้องเป็นผู้ฝึกปราณอย่างเจ้าภูเขาลู่ถึงจะผลัดขนได้ และขนในมือชัดเจนว่าแปลกมาก ไม่ใช่แค่เส้นเดียว แต่เป็นกลุ่มหนึ่ง
ตอนนี้เยี่ยนเฟยมือหนึ่งจับด้ามกระบี่ มือข้างหนึ่งจับด้ามกระบี่ อยู่ในท่วงท่าที่ชักกระบี่ออกมาได้ตลอดเวลา ใช้ปลายฝักกระบี่ดังประตูห้องตลอดทางเดินเปิดออกทั้งหมด หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงมาถึงข้างกายจี้หยวน
“ท่านจี้ คนในห้องทุกห้องหมดสติกันหมด ทว่ายังไม่ได้ตรวจสอบชั้นสาม”
“ไม่ต้องไปตรวจสอบหรอก เหมือนกันหมด”
จี้หยวนมองสิ่งของที่ถืออยู่ในมือ ตอบอย่างไม่ยี่หระ เยี่ยนเฟยก็ถูกดึงดูดความสนใจด้วยสิ่งของในมือจี้หยวนเช่นกัน
“ผมนี้มีปัญหาอะไรหรือ”
“หากพูดให้ถูกต้องคือเป็นขนต่างหาก ไม่ใช่ผมของคนธรรมดา”
จี้หยวนมองเยี่ยนเฟยครั้งหนึ่ง พูดไปพลาง นับนิ้วไปพลาง
“ข้าจะตามไปดูหน่อย จอมยุทธ์เยี่ยนไปรายงานทางการก่อนก็ได้ หรือจะดูแลคนที่หมดสติในโรงเตี๊ยมสักหน่อยก็ได้”
“เอ๋? ตาม? ไปทางไหน”
เยี่ยนเฟยยังไม่ได้รับคำตอบ จี้หยวนเปิดหน้าต่างภายในห้องและกระโดดออกไปแล้ว
เมื่อเยี่ยนเฟยพุ่งไปถึงหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก เสาะหาอยู่จนทั่วแล้ว ถนนใกล้เคียงและบนหลังคาล้วนไม่เห็นจี้หยวน เขาเงยหน้าขึ้นมองไกลๆ ตอนที่กำลังจะละสายตากลับมองเห็นทางตะวันออกเฉียงเหนือมีเงาคนเล็กๆ กำลังห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
‘ไม่มีทางกระมัง…เร็วขนาดนี้เลยหรือ’
เขามองสภาพการณ์ภายในโรงเตี๊ยมข้างหลัง
“รายงานทางการ? สถานที่บ้าๆ อย่างทางการมีประโยชน์อะไรกัน!”
พูดยังไม่ทันจบดี เยี่ยนเฟยกระโดดออกจากหน้าต่างเช่นกัน ย่ำอยู่บนหลังคาเรือนฝั่งตรงข้ามสิบกว่าก้าวแล้วกระโจนตัวอีกครั้ง ตามไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเช่นกัน
น่าเสียดายที่ต่อให้ท่าร่างงดงามแค่ไหนก็คงอยู่ได้ครู่หนึ่งเท่านั้น ในสายตาเขาไม่มีเงาร่างของจี้หยวนแล้ว ทำได้เพียงตามต่อไป
ทางตะวันออกเฉียงเหนือนอกอำเภอเยี่ยนเฟย จี้หยวนกระโดดออกจากกำแพงเมืองแล้วใช้วิชามังกรเหินเร่งเดินทาง
หลังออกจากเมืองแล้วปราณปีศาจยังคงเจือจางทีเดียว แต่กลับรู้สึกได้ว่าเพิ่งจากไปไม่นาน เขาไม่ได้ไล่ตามอย่างบ้าคลั่งลูกเดียว ทว่ารีบตามไปพร้อมรักษาระยะห่างที่เหมาะสม
พอโคจรวิชาคุมลมที่เรียบง่าย สอดประสานกับเจตจำนงมังกรเหิน เขาตามไปได้รวดเร็วราวลมกรด
หวิว…หวิว…
เสียงลมแผ่วเบาพัดผ่านใบไม้ร่วงจำนวนน้อย แต่เพราะร่างกายจี้หยวนไร้มลทิน ฝุ่นและสิ่งที่คล้ายกันไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ราวกับว่าลมพัดพามันไปและทำให้มันกลายเป็นเงาที่ไม่มีแสง และในไม่ช้ามันก็เคลื่อนไปข้างหน้าต่อไป
หน้าเนินเขาหินทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอหนานเต้า ลมบริสุทธิ์สายหนึ่งพัดผ่าน จี้หยวนยืนอยู่ที่นี่แล้ว สายตามองไปไกลทางตะวันตกเฉียงใต้ ในที่สุดก็มองเป็นปราณปีศาจสีเหมือนกลุ่มควันอยู่แถวนั้น แต่กลับไม่เห็นว่ามี ‘เงาคน’
หลังจากเปิดตาทิพย์ขึ้นเล็กน้อย สุดท้ายเขามองเห็นต้นตอของกลุ่มควัน มีเงาร่างคล้ายกับคลื่นน้ำท่าทางเหมือนคนกำลังแบกอีกคนหนึ่งวิ่งเร็วๆ
‘วิชาบังตาหรือ’
อยู่ในร่างคนและใช้วิชาบังตาวิ่งอย่างรวด ปราณปีศาจที่เผยออกมาก็น้อยมาก เห็นทีไม่ใช่ปีศาจที่มีมรรควิถีต่ำ เดิมทีคิดว่าเป็นแค่ปีศาจตัวเล็กๆ ตอนนี้หากไม่ใช้ท่าไม้ตายคงจัดการยากอยู่บ้างแล้ว
หลังจากจี้หยวนใคร่ครวญ เขาทำเป็นนั่งลงบนก้อนหินและทำจิตใจให้สงบ หลับตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนกับหลับตาทำสมาธิ แต่ความจริงแล้วกำลังตั้งใจฟังเสียงความเคลื่อนไหวต่างหาก
นอกพื้นที่รกร้างแบบนี้ บุรุษผู้สง่างามในชุดคลุมสีขาวนั่งอยู่บนเนินหินเพียงลำพัง มองดูแล้วไม่ปกติ แต่นั่นก็สำหรับคนทั่วไปเท่านั้น เพราะสำหรับปีศาจที่ผ่านมานั้นไม่ใส่ใจคนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็นเขา
เงาคลื่นเลือนรางยิ่งมายิ่งเข้ามาใกล้ ตอนเพิ่งถึงหน้าเนินเขาหิน จี้หยวนลืมตามอง เห็นปีศาจที่อยู่ตรงหน้าทางซ้าย สายตาจับตาดูวิถีการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายโดยตลอด
ปีศาจเห็นเรื่องประหลาดพรรค์นี้เข้า ตอนแบกคนเดินเข้ามาจึงมองอีกฝ่ายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทันทีที่สบสายตากับดวงตาสีเทาคู่นั้น ในใจปีศาจพลันเข้าใจในทันที รู้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นตนเองเช่นกัน
ระยะใกล้ขนาดนี้ จี้หยวนยังคงเปิดตาทิพย์เต็มที่ มองเห็นปราณปีศาจของอีกฝ่ายรวมกลุ่มแจ่มชัด เป็นวัวที่มีเขายาวและโค้งตัวหนึ่ง
“ปีศาจวัวไม่ได้มีให้เห็นเท่าไหร่นัก”
เพียงคำพูดเรียบง่ายก็ทำให้ปีศาจที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่เนินเขาหินชะงักฝีเท้า อีกฝ่ายไม่เพียงมองทะลุวิชาลวงตา ยังมองเห็นร่างเดิมของมันด้วยหรือนี่
อยากวิ่งต่อไปแท้ๆ แต่การหยุดฝีเท้านี้เป็นการตอบสนองตามสัญชาตญาณ เมื่อหยุดมันก็เข้าใจ
จี้หยวนมีสีหน้าเรียบเฉย ร่างกายไม่ขยับ เพียงหันศีรษะมองบุรุษที่เหมือนชายหนุ่มชาวนา ภายนอกดูไม่แข็งแรงและไม่ฉลาดเช่นกัน
“ท่านเป็นอริยะเทพองค์ใด หรือว่ารอข้าอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ”
เสียงบุรุษแหบพร่าถามจี้หยวน
จี้หยวนไม่ได้ตอบทันที ทว่าพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อน จากนั้นไม่ตอบคำถาม กลับถามออกไป
“วิชาบังตาพอใช้ได้ แต่ที่นี่ไม่มีเทพผีอะไร เจ้าหลบซ่อนไปเพราะเหตุใด เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาหรือ สตรีที่แบกอยู่เป็นใคร”
‘ไม่มีใครก็ยังมีเจ้าไม่ใช่หรือ!’
ปีศาจวิวคิดในใจไม่ได้พูดออกมา ทว่ากล่าวเสียงเย็น
“เห็นทีเป็นผู้ฝึกเซียนกระมัง อยากกำราบปีศาจพิชิตมารหรือ”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ปีศาจวัวก็ลอบเตรียมป้องกันแล้ว คนผู้นี้ปรากฏตัวที่เนินเขาหินแห่งนี้อย่างน่าประหลาด ที่สำคัญคือมาถึงเวลานี้ มันมองอีกฝ่ายแล้วยังคงมองร่องรอยพิเศษอะไรไม่ออก มองอย่างไรก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง แต่นั่นชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้
จี้หยวนไม่ได้ตอบความปีศาจวัว ทั้งไม่ตอบคำถามและถามคำถามของตนเองออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในมือมีขนเพิ่มขึ้นมากลุ่มหนึ่ง
“นี่ไม่ใช่ขนวัวกระมัง เหตุใดไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมแรกสมบูรณ์เล่า ข้าแปลกใจนัก ขอเจ้าไขข้อข้องใจด้วย!”
ตอนจี้หยวนหยิบขนกลุ่มนั้นออกมา ลูกตาสองข้างของปีศาจวัวหดตัวเล็กน้อย ถึงขนาดมองซ้ายมองขวาตามสัญชาตญาณ
“เจ้า! เมื่อครู่เจ้าไปที่โรงเตี๊ยมแรกสมบูรณ์มาหรือ”