เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 302 ไม่มีสิ่งใดได้เปล่า

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 302 ไม่มีสิ่งใดได้เปล่า

หนิวป้าเทียนปิดหน้าต่างภายในห้องเยี่ยนเฟยพร้อมลงกลอนทั้งหมด จากนั้นค่อยถอยออกมาจากห้องของเยี่ยนเฟย ยามปิดประตูแผ่วเบายังใช้นิ้วมือเกี่ยวจากด้านนอกเพื่อลงกลอนด้านในด้วย แม้ว่ามันมาถึงอำเภอหนานเต้าได้ไม่นานนัก แต่รู้ธรรมเนียมชาวบ้านของที่นี่อยู่บ้าง ยามนอนหลับต้องลงกลอนให้ดี

นอกจากเสียงกรนซึ่งดังออกมาข้างนอกแล้ว โถงทางเดินโรงเตี๊ยมเงียบสงัด

หนิวป้าเทียนมองห้องที่จี้หยวนอยู่ซึ่งห่างออกไป หลังจากลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่กล้าไปตอนนี้ แต่กลับห้องตนเอง ไม่นานภายในห้องมีเสียงกรนผ่านจมูกวัวดังขึ้น ถือว่าหลับสนิทเข้าจริงแล้ว

จี้หยวนนอนลงบนเตียงในห้องตนโดยไม่ลืมตา แต่ความคิดกลับไหวเคลื่อน

ดูการกระทำของปีศาจวัวตนนี้ นอกจากนิสัยไม่เลวและมีมารยาทพื้นฐานแล้ว คาดว่าอาจมีความเป็นมาสองอย่าง อย่างหนึ่งคือได้รับการสั่งสอนจากผู้ประพฤติตนดีตอนเพิ่งเป็นปีศาจ อีกอย่างคือหากแรกเริ่มเป็นวัวบ้านสำเร็จภูตก็มีผล

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เยี่ยนเฟยลูบหัวซึ่งปวดแปลบก่อนนั่งบนเตียง มองโดยรอบแล้วมึนงงชั่วขณะ จากนั้นค่อยนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ตั้งแต่ตามล่าคนร้ายจนเจอปีศาจ กระทั่งถึงการดื่มสุรายกหนึ่งตอนค่ำ

“เฮือก… เมื่อคืนข้าดื่มสุราไปเท่าไหร่กัน…”

เยี่ยนเฟยคิดพลางนวดคลายศีรษะ ถึงแม้ไม่กล้าพูดว่าตนดื่มเก่ง ทว่าตั้งแต่ดื่มสุราไม่เคยเมามาก่อน เมื่อวานคงดื่มจนไม่รู้เรื่องราว

ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ…

พร้อมกับเสียงเคาะประตู เสียงเชื่องเชื่อของเจ้าวัวดังขึ้น

“น้องเยี่ยน เจ้าตื่นหรือยัง ฟ้าสว่างแล้ว อีกเดี๋ยวท่านจี้จะออกเดินทางแล้ว”

“ตื่นแล้ว ข้าออกไปเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้ยินว่าท่านจี้จะออกเดินทาง เยี่ยนเฟยไม่กล้าล่าช้า ปรับลมหายใจโคจรปราณดั้งเดิมคลายความรู้สึกเมาค้าง จากนั้นค่อยเลิกผ้าห่มลงจากเตียง

เดิมเมื่อคืนไม่ได้ถอดเสื้อ หลังจากใช้น้ำสะอาดภายในห้องล้างหน้า เยี่ยนเฟยรีบเปิดประตูออกไป

เมื่อออกมาแน่นอนว่าเห็นหนิวป้าเทียนซึ่งรออยู่ตรงโถงทางเดินโรงเตี๊ยม

“อะ… อรุณสวัสดิ์ผู้อาวุโสหนิว!”

เยี่ยนเฟยประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม จำได้ว่าเมื่อวานยามดื่มจนเมายังเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่หนิว’ แต่ตอนนี้กลับพูดไม่ออก

“โธ่เอ๋ย น้องเยี่ยนเหตุใดถึงเรียกอย่างห่างเหินเช่นนี้เล่า เมื่อวานพวกเราแทบเชือดคอไก่เผากระดาษเหลืองกันแล้ว เรียกพี่หนิวดีกว่า ไปๆๆ รีบไปชั้นล่างกัน ซื้ออาหารกลับมาหน่อย”

ทั้งสองคนเดินลงมาพร้อมกัน จี้หยวนนั่งกินโจ๊กอยู่ตรงโต๊ะทรงเหลี่ยมแล้ว

บนโต๊ะมีโจ๊กหม้อหนึ่งกับเครื่องเคียงสองสามจานวางอยู่อย่างเรียบง่าย รวมถึงขนมเปี๊ยะซึ่งยังอ่อนนุ่มบางส่วน

“อรุณสวัสดิ์ท่านจี้!”

เยี่ยนเฟยคารวะจี้หยวนอย่างนอบน้อมยิ่งกว่า

“อรุณสวัสดิ์ นั่งกินข้าวเถอะ กินเสร็จข้าคิดจากอำเภอหนานเต้าไปทางเหนือต่อ ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์เยี่ยนคิดทำอะไร”

เยี่ยนเฟยฟังแล้วหน้าแห้งผากทันที หากบอกว่าเมื่อวานเขายังรับคำว่า ‘จอมยุทธ์เยี่ยน’ จากปากท่านจี้ได้อย่างผ่าเผย ทว่าวันนี้ทั้งสามคำกลับฟังแล้วเสียดหูเป็นพิเศษ เขารู้ว่าท่านจี้ไม่คิดเหน็บแนมเขาแน่ แต่ตัวเองกลับอักอ่วนจนทนไม่ไหว ‘น้องเยี่ยน’ ของหนิวป้าเทียนยังรื่นหูกว่า

แต่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นแค่ชั่วพริบตา ตอนนี้สิ่งสำคัญกว่าคือท่านจี้จะไปแล้ว เยี่ยนเฟยลังเลเล็กน้อยก่อนถามหยั่งเชิง

“ท่านจี้ ท่านคิดจะไปไหน มีเรื่องสำคัญอะไรหรือไม่”

“ยังไม่มี แค่มุ่งหน้าไปทางเหนือเท่านั้น”

เยี่ยนเฟยพยักหน้าก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นหากท่านสะดวก ข้าคนแซ่เยี่ยนขอร่วมทางด้วยพักหนึ่งได้หรือไม่ ท่านจี้โปรดวางใจ ข้าคนแซ่เยี่ยนไม่ใช่พวกไม่รู้จักดีชั่ว แค่อยากติดตามท่านไปช่วงหนึ่ง”

จี้หยวนมองหนิวป้าเทียนซึ่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาอยู่ด้านข้าง จากนั้นค่อยมองมาทางเยี่ยนเฟย

“จอมยุทธ์เยี่ยนเชิญนั่งลงกินโจ๊กเถอะ เจ้าอยากตามก็ตามมา เมื่อข้าคนแซ่จี้รู้สึกว่าไม่สะดวก ย่อมบอกเจ้าแน่นอน”

“อ้อๆ ใช่! มาๆๆ น้องเยี่ยนนั่งลงกินโจ๊กเร็ว โจ๊กนี้รสชาติดีนัก มา พี่หนิวตักให้เจ้าชามโตเลย”

หนิวป้าเทียนไปหยิบชามมาอย่างยินดีหาใดเปรียบ คนหม้อดินทรายตักโจ๊กให้เยี่ยนเฟยเต็มชาม จากนั้นค่อยวางลงตรงหน้าเยี่ยนเฟย

จี้หยวนมองหนิวป้าเทียน ยิ้มให้เขาอย่างหาได้ยาก

“ดีมาก”

รอยยิ้มนี้ทำให้เจ้าวัวใจชื้นเล็กน้อย ยกชามกินโจ๊กอึกใหญ่ก่อนกล่าวกับเยี่ยนเฟย

“เฮ้ย น้องเยี่ยน ข้ากับเจ้าคุยกันถูกคอจริงๆ พวกเราเพิ่งรู้จักกัน พี่หนิวยังมีเรื่องอยากพูดคุยกับเจ้าอีกมาก แต่ตอนนี้กินโจ๊กก่อน พวกเราค่อยคุยกันระหว่างทาง คุยกันระหว่างทาง…”

ถึงอย่างไรขอแค่เยี่ยนเฟยติดตามจี้หยวน หนิวป้าเทียนก็ไม่ห่วงว่าจะไม่มีข้ออ้างอยู่ต่อ

ยามกินโจ๊กเยี่ยนเฟยพบว่าจี้หยวนกำลังอ่านตำราโดยไม่ตั้งใจ แต่เหลือบเห็นว่าหน้าตำราว่างเปล่าไม่มีตัวอักษร

เห็นชัดว่าหนิวป้าเทียนสังเกตเห็นสีหน้ากังขาของเยี่ยนเฟย เขาย้ายก้นมากล่าวอธิบายเสียงเบาประโยคหนึ่ง

“หากข้าคนแซ่หนิวเดาไม่ผิด ท่านจี้น่าจะอ่านตำราบันทึกสวรรค์แห่งมรรคเซียน ถือเป็นอักษรวิญญาณเลียนแบบตำราเจตจำนงวิญญาณเซียน อย่าว่าแต่น้องเยี่ยนเลย แม้แต่ข้าคนแซ่หนิวยังไม่เห็นตัวอักษร แต่บนนั้นต้องมีตัวอักษรแน่ เป็นวิชาอัศจรรย์มรรคเซียนอะไรไม่อาจทราบ”

เยี่ยนเฟยกลืนโจ๊กอึกหนึ่ง มองหนิวป้าเทียนแล้วกล่าวเสียงเบา

“แม้แต่พี่หนิวยังไม่เห็นหรือ ท่านจี้บอกว่าท่านไม่ได้ฝึกปราณแค่ผิวเผิน…”

“เฮ้อ น้องเยี่ยน เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจกระมัง ข้าเป็นปีศาจบำเพ็ญ ต่างจากผู้ฝึกเซียนมากนัก ความเข้าใจที่มีต่อมรรคอัศจรรย์ต่างกันมาก ด้วยสภาพตอนนี้ข้าเห็นแค่ชื่อตำรา แน่นอนว่าหากตั้งจิตฝึกปราณ ข้าน่าจะอ่านได้เช่นกัน”

จี้หยวนเหลือบมองเจ้าวัวพลางกล่าว

“ไม่ใช่วิชาอัศจรรย์มรรคเซียนอะไร แค่คัมภีร์นอกรีตซึ่งเขียนเรื่องราวได้น่าสนใจอยู่บ้าง”

“อ้อๆๆ…”

เจ้าวัวพยักหน้าเหมือนเข้าใจ เยี่ยนเฟยที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยถาม

“พี่หนิวรู้จักคัมภีร์นอกรีตด้วยหรือ”

คิดไม่ถึงว่าเจ้าวัวกลับส่ายหัวเหมือนท่อนไม้

“ไม่รู้จัก…”

จี้หยวนอดหัวเราะไม่ได้ เจ้าวัวตัวนี้น่าสนใจจริงๆ

เยี่ยนเฟยกลับขมวดคิ้ว เมื่อเห็นตำราไม่มีตัวอักษรนี้แล้ว ในสมองเขาพลันนึกถึงอะไรบางอย่างแต่ยังไม่ชัดเจน ใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ก่อนนึกได้ฉับพลัน

‘ใช่แล้ว! ตำราสวรรค์ไร้อักษร!’

“ท่านจี้ ตำราบันทึกสวรรค์เล่มนี้ล้ำค่าและอัศจรรย์มากใช่หรือไม่”

จี้หยวนมองตำราในมือ

“ตำราล้ำค่าหรือไม่ต้องดูที่เนื้อหาภายใน ตำราบันทึกสวรรค์ค่อนข้างซับซ้อน แต่อย่างน้อยเนื้อหาใช่ว่าไม่มีประโยชน์”

เอาเถอะ ความจริงในสายตาบางคนคัมภีร์นอกรีตถือว่าไร้ประโยชน์ แต่จี้หยวนคิดว่านี่คือตำราดี อย่างน้อยถือเป็นตำราสร้างความบันเทิงของผู้ฝึกเซียน

เยี่ยนเฟยพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวตามความคิดในสมอง

“ท่านจี้ ข้าได้ยินว่าตระกูลเว่ยตรงเขตจงหูแห่งอาณาจักรจู่เยวี่ยมีตำราสวรรค์ไร้อักษรเล่มหนึ่ง แม้ว่าตกทอดในตระกูลมาหลายรุ่น แต่กลับไม่มีใครเห็นตัวอักษรบนนั้น ทั้งเคยเชิญสหายร่วมยุทธภพมากมายมาร่วมพิจารณาค้นคว้า ทว่าไม่ได้อะไรเช่นกัน…”

เยี่ยนเฟยใคร่ครวญก่อนกล่าวต่อ

“ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าเรื่องตำราสวรรค์ไร้อักษรน่าจะเป็นข่าวลือที่ตระกูลเว่ยสร้างขึ้นเพื่อยกฐานะ บนยุทธภพคนเชื่อเรื่องนี้เองมีไม่มาก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นตำราในมือท่านจี้ ข้าคนแซ่เยี่ยนคิดว่าตำราตระกูลเว่ยอาจเป็นของจริง ท่านจี้สนใจไปลองดูหรือไม่”

ตำราสวรรค์ไร้อักษร?

เมื่อได้ยินเยี่ยนเฟยกล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าจี้หยวนสนใจมาก ในเมื่อเป็นสิ่งตกทอดมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลเว่ยแห่งนี้ อย่างน้อยน่าจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าอาจเป็นตำราบันทึกสวรรค์ของจริง

“เจ้ารู้ที่อยู่ของตระกูลเว่ยหรือ”

เยี่ยนเฟยกำลังรอจี้หยวนถามเช่นนี้

“ข้าคนแซ่เยี่ยนรู้ตำแหน่งโดยคร่าว ส่วนสถานที่แน่ชัดรอถึงที่นั่นค่อยถามชัดเจนก็ย่อมได้ ยามอยู่เขตจงหูของอาณาจักรจู่เยวี่ยข้าเยี่ยนเฟยเรียกว่ามีชื่อเสียง ขอยืมตำราตระกูลเว่ยมาอ่านไม่ใช่เรื่องยาก!”

ในใจเยี่ยนเฟยผ่อนคลายลงเล็กน้อย อย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็ช่วยท่านจี้ได้บ้าง

“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรากินเสร็จแล้วออกเดินทางไปเขตจงหู”

อาณาเขตของอาณาจักรจู่เยวี่ยใหญ่กว่าต้าเจินครึ่งหนึ่ง ภายในอาณาจักรแบ่งเป็นเก้าเขต นอกจากคำเรียกต่างกัน อย่างอื่นถือว่าไม่ต่างจากเมืองเอกมากนัก

อำเภอหนานเต้าอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อเขตหนานหยวนกับเขตเฉาลู่ ส่วนเขตจงหูอยู่เหนือเขตจิงลู่

ถ้าคนธรรมดาไปเขตจงหู อาศัยสองขาเดินคงไม่เหมาะ แต่พวกจี้หยวนไม่ถือว่าเป็นคนธรรมดา แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงจี้หยวนกับหนิวป้าเทียน แต่ก่อนยามเยี่ยนเฟยเดินทางก็ขี่ม้าน้อยมาก หากไม่ใช่ม้าชั้นดีวิ่งพันลี้ จอมยุทธ์ฝีมืออย่างเขาใช้วิชาตัวเบาดีกว่า

กระทั่งต้นเดือนสี่ปีเดียวกัน สองคนหนึ่งปีศาจใช้เวลาประมาณยี่สิบวันกว่าจะออกจากเขตเฉาลู่ ก้าวเข้าสู่เขตจงหู

ยามสามคนเดินทางเจอโจรดักปล้น ทั้งบังเอิญเจอโจรแกร่งป่าเถื่อน พักตามโรงเตี๊ยมลวง อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านร้าง ค้างแรมตรงทุ่งรกร้างนอกชานเมืองยิ่งเป็นเรื่องปกติ

มิน่าเยี่ยนเฟยถึงมาอาณาจักรจู่เยวี่ยเพื่อลับกระบี่ อย่างน้อยดูจากสถานการณ์ช่วงนี้ บอกว่าโกลาหลคงไม่ถือว่าผิด แม้แต่จิตใจยังซึมเซา

ระหว่างนี้ยังเป็นช่วงที่จี้หยวนกับหนิวป้าเทียนรู้จักกันมากขึ้น วัวตัวนี้เคยเป็นวัวเทียมมาก่อนจริงๆ

วัวเทียมมักเป็นทรัพย์สินสำคัญของครอบครัว ถือเป็นสมบัติล้ำค่า มันได้รับการดูแลเอาใส่ใจตลอด เมื่อเจ้าวัวเป็นภูตมันยังไถนาให้พวกเขาอีกสามรุ่น สุดท้ายครอบครัวนั้นขายวัวตัวนี้ให้คนอื่น หลังจากนั้นครึ่งเดือนเจ้าวัวจึงสลัดเชือกพุ่งชนคอกวัวจากไป วิ่งเข้าป่าลึกฝึกปราณด้วยตัวเอง

ด้วยเหตุนี้เจ้าวัวถือว่าได้รับการอบรมจากโลกมนุษย์มาก แตกต่างจากปีศาจตามป่าเขาทั่วไปโดยพื้นฐาน

แน่นอนว่าเรื่องนี้เจ้าวัวคุยกับจี้หยวนเป็นการส่วนตัว ถึงแม้ว่ามันนับเยี่ยนเฟยเป็นพี่น้อง แต่คุยเรื่องการฝึกปราณกับอีกฝ่ายน้อยมาก นอกเสียจากว่าเยี่ยนเฟยอยากรู้มากจนเอ่ยถามต่อเนื่อง

หนิวป้าเทียนแน่ใจแล้วว่าจี้หยวนฝึกมรรคอัศจรรย์ ทั้งไม่อคติกับปีศาจเท่าไหร่ ความรู้สึกของเจ้าวัวถือว่ากระจ่างแจ้ง นี่คือความรู้สึกอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ไม่อาจอธิบายแต่กลับส่งผลต่อจิตวิญญาณมากที่สุด

ค่ำวันนี้บนฟ้าจันทร์กระจ่างดาราจาง บนพื้นมองเห็นชัดเจน ทั้งสามคนก่อกองไฟ นั่งพักอยู่ริมป่าแห่งหนึ่ง

หนิวป้าเทียนเห็นว่าจี้หยวนยังคงอ่านตำรา สุดท้ายก็ทนไม่ไหวอยู่บ้าง ขยับเข้าใกล้เขาเงียบๆ แต่ยังไม่รอเขาเอ่ยปาก จี้หยวนกลับพูดก่อน

“มีอะไรหรือ”

หนิวป้าเทียนถูมือเล็กน้อย บนหน้าเผยรอยยิ้มซื่อตรง

“เอ่อ แหะๆ… ท่านจี้ ท่านบอกว่ามีวิธีกำจัดวิชามารตรงต้นคอข้าคนแซ่หนิว เรื่องนี้…”

ในใจจี้หยวนแย้มยิ้มแต่สีหน้าเรียบเฉย เงยหน้ามองปีศาจวัวตัวนี้

“ทำไม ไม่กลัวข้าฉวยโอกาสทำร้ายเจ้าหรือ”

“โธ่เอ๋ย ดูท่านพูดสิ ถ้าท่านอยากทำร้ายข้ายังต้องรอถึงตอนนี้หรือ ตอนนี้ท่านกำราบข้าไม่ได้หรืออย่างไรกัน ข้าคนแซ่หนิวไม่เชื่อ ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านโปรดช่วยข้าด้วย!”

จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย คิดดูครู่หนึ่งค่อยเอ่ยถาม

“ช่วยเจ้ากำจัดวิชามารนั้นย่อมได้ แต่เจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไร”

“หา?”

เจ้าวัวอึ้งงันครู่หนึ่ง มันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ท่านจี้ไม่เคยกล่าวถึง

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท