ตอนที่ 305 ที่แท้คือคนเป็น!
ชั่วพริบตายามทัศนียภาพรอบเมืองเปลี่ยนจากภาพมายาเป็นเหมือนคงอยู่จริง จี้หยวนถอนการวิวัฒน์ฟ้าดินโดยตรง เขตแดนภูผาธาราหายไปพร้อมกัน กระบวนการนี้สั้นกว่าเวลาชั่วพริบตา
สำหรับเยี่ยนเฟยภาพที่เห็นเมื่อครู่แค่น่าอัศจรรย์ แต่สำหรับหนิวป้าเทียนถือว่าน่าตกตะลึงสุดขีด
ต่อให้เกิดขึ้นชั่วพริบตา แต่ภาพจำของการแปรเปลี่ยนฟ้าดินจากกลางวันเป็นกลางคืนถือว่าเด่นชัดเกินไปจริงๆ
เจ้าวัวพลันนึกถึงเหตุการณ์หนึ่ง คืนนั้นนอกอำเภอหนานเต้า ยามสตรีชั่วร้ายนั่นจำท่านจี้ได้ ปราณปีศาจล้วนปั่นป่วน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
ตอนนี้หนิวป้าเทียนเข้าใจความรู้สึกของนางอยู่บ้าง ผู้หญิงหน้าเหม็นนั่นต้องรู้ความสามารถของท่านจี้มากกว่าตนแน่ ถึงขั้นหลังจากรู้แน่ชัดว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ย่อมกล่าวได้ว่าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ความคิดในใจเจ้าวัวเกิดขึ้นแค่ชั่วพริบตา แม้ว่ามันคิดมากเช่นนี้ แต่รู้ว่าไม่เหมาะจะเอ่ยปากถามท่านจี้โดยตรง
จากนั้นความสนใจของพวกเขาจดจ่ออยู่กับภาพเมืองโดยรอบ
ตอนนี้ที่นี่ยังกลางวันแต่สภาพอากาศอึมครึม สถานที่คล้ายคอกม้าตรงสวนด้านหลัง ตั้งแต่สิ่งปลูกสร้างถึงทิวทัศน์ไม่ต่างจากเมืองธรรมดามากนัก แต่เมื่อพวกเขาเข้าเมืองมารถม้าคันนั้นกลับไม่ปรากฏ
“น่าเหลือเชื่อจริงๆ นอกจากปราณหยินเด่นชัด อย่างอื่นถือว่าแทนของจริงได้เลย!”
หนิวป้าเทียนกล่าวชมประโยคหนึ่ง แน่นอนว่าเยี่ยนเฟยพูดอะไรไม่ออก จี้หยวนคิดดูครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“ถือว่าเป็นของจริงระดับหนึ่ง ไป หาคนก่อน คนเป็นในเมืองผีน่าจะหาไม่ยาก ถ้าพวกเขายังไม่เกิดเรื่องนะ”
ขณะกล่าวจี้หยวนลืมตาทิพย์ ทั้งโคจรพลังตรงดวงตา มองปราณหยินไร้ขอบเขตซึ่งอบอวลทั่วเมือง
พวกเขาเดินออกไปข้างนอกโดยอ้อมสวนด้านหลังแห่งนี้ ได้ยินเสียงจอแจบางส่วน สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือถนนซึ่งผู้คนบางตา ในสายตาจี้หยวนเห็นลักษณ์มรณะแท้จริงของบางคน แต่ในสายตาเยี่ยนเฟยกลับเห็นพวกเขาเหมือนคนทั่วไป
ตอนนี้ต่อให้หนิวป้าเทียนไม่ช่วย เยี่ยนเฟยก็เห็นผู้คนและเรื่องราวในเมืองอย่างชัดเจน คงเป็นเพราะปราณหยางถูกปราณหยินกดทับ ตัวเขาจึงเผยลักษณ์หยิน
“ท่านจี้… พวกเขาคงไม่พบความผิดปกติของพวกเรากระมัง”
เยี่ยนเฟยเอ่ยถามอย่างระวัง จี้หยวนกล่าวตอบอย่างนิ่งสงบ
“จอมยุทธ์เยี่ยนโปรดวางใจ ข้าใช้วิชากับตัวเจ้าแล้ว ภูตผีทั่วไปมองไม่ออก”
เยี่ยนเฟยพยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังกุมกระบี่ในมือแน่น ถึงอย่างไรต่อให้ใจกล้าแค่ไหน เมื่อรู้ว่าคนที่เห็นตรงหน้าคือผี ย่อมประหม่าอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่บ้าง
จี้หยวนเหลือบมองกระบี่ของเยี่ยนเฟยแล้วกล่าวเสริม
“กระบี่ในมือเจ้าฆ่าคนมาไม่น้อย กระบี่ฉายแววอาฆาตซ่อนคม ถือเป็นกระบี่ปลิดชีพคมกริบเล่มหนึ่ง ถ้าผีโดนกระบี่ฟันคงยากรับมือ เรื่องมือดาบตู้อวี้เทียนฟันภูตผีหลังร่ำสุรา จอมยุทธ์เยี่ยนน่าจะรู้กระมัง”
เมื่อจี้หยวนกล่าวเช่นนี้ ประกายเฉียบคมวาบผ่านแววตาเยี่ยนเฟยทันที สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดคือหากตนตวัดกระบี่แล้วไม่มีผลกับภูตผี เท่ากับสู้กับศัตรูซึ่งไม่มีทางชนะ เมื่อท่านจี้บอกว่าเขาทำร้ายภูตผีได้ แน่นอนว่าย่อมฮึกเหิมขึ้นมา
หนิวป้าเทียนมองคนสัญจรทั้งมองห่างออกไป ต่อให้เป็นกลางวันที่นี่ก็ยังแขวนโคม ทุกแห่งเต็มไปด้วยโคมไฟหลากสี
“ดูท่าว่าที่นี่น่าจะคึกคักมาก…”
“ตอนนี้คือกลางวัน!”
จี้หยวนกล่าวประโยคหนึ่ง หนิวป้าเทียนค่อยกระจ่าง
…
ภายในโรงเตี๊ยมกลางเมือง คนสี่คนกำลังดิ้นรนลุกขึ้น ด้วยเป็นชายสองหญิงสอง กอปรกับห้องโรงเตี๊ยมค่อนข้างเต็ม พวกเขาจึงจองแค่สองห้อง
ชายคนหนึ่งฝืนลุกจากเตียง นวดหน้าผากมองเพื่อนที่นอนอยู่อีกเตียง ท่าทางเซื่องซึมเงื่องหงอยเช่นกัน
เมื่อวานนอนแล้วปวดเอวเจ็บหลังทั้งคืน ตื่นแล้วรู้สึกเวียนหัวตาลายมึนงงอยู่บ้าง ครู่ใหญ่ค่อยดึงสติกลับมา
“ฮู่… โรงเตี๊ยมบ้าอะไรกัน นอนหลับแย่นัก สู้นอนบนรถม้านอกชานเมืองไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ข้ายังคิดว่าหลับไม่สนิทคนเดียว ที่แท้เจ้าก็เป็นเหมือนกันหรือ”
“ไปเถอะๆ ตื่นแล้วหาหอสุรากินข้าวดีหน่อย ตลอดทางมานี้มีแต่ทุ่งรกร้าง อยากกินของดีสักมื้อนานแล้ว”
ทั้งสองคนสวมชุดเสร็จ ค่อยเดินไปเคาะประตูห้องหญิงสาวร่วมทาง
ก๊อกๆๆ…
“น้องสามน้องสี่ พวกเจ้าตื่นหรือยัง ไปกินข้าวกัน!”
ก๊อกๆๆ…
“ไปกินข้าวกัน กินให้อร่อยสักมื้อ อีกเดี๋ยวต้องหาสถานที่เลือกม้าชั้นดีบางตัว”
เมื่อคืนพบว่ามีเมืองกะทันหัน พวกเขาซึ่งเร่งเดินทางกลางทุ่งรกร้างมานานดีใจล้นเหลือ รีบเคลื่อนรถอยากลองดูว่าเข้าเมืองได้หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าเป็นเมืองซึ่งเปิดประตูทิ้งไว้ตอนกลางคืน
ทั้งหลังจากเข้าเมืองยังคึกคักยิ่ง ผู้คนคลาคล่ำหนาแน่น รถม้าขับไม่สะดวกยังไม่พอ หลังจากเข้าเมืองม้าบางตัวเหมือนตื่นตระหนก กระสับกระส่ายหันซ้ายหันขวา ไม่อาจเคลื่อนรถบนถนนได้ตามปกติ
พวกเขาจึงฝากรถม้าไว้ตรงคอกใกล้ประตูเมือง คิดไม่ถึงว่าตอนส่งม้าเข้าคอกและคลายเชือก ม้าซึ่งปกติเชื่องเชื่อกลับวิ่งหนีเหมือนคลุ้มคลั่งกันหมด พุ่งออกจากคอกม้าทันที ถึงขวางก็ขวางไม่อยู่
แต่เรื่องแบบนี้พูดแค่ว่าเป็นหายนะคาดไม่ถึง ม้าแตกตื่นวิ่งหนีไร้ร่องรอยแค่เสียทรัพย์เล็กน้อย ไม่ชนคนถือว่าโชคดี พวกเขาได้แต่ยอมรับว่าโชคร้าย ด้วยเหนื่อยมากจึงเข้าเมืองหาโรงเตี๊ยมนอน
แน่นอนว่าวันนี้จึงต้องซื้อม้า หวังจะหาม้าตื่นกลับมาความเป็นไปได้มีไม่มาก
ชายสองคนรออยู่ข้างนอกครู่ใหญ่ ในที่สุดหญิงสาวในห้องก็ออกมาคารวะพวกเขา
“อรุณสวัสดิ์พี่รอง อรุณสวัสดิ์คุณชายโจว”
“อรุณสวัสดิ์คุณหนูทั้งสอง!”
โจวซิ่งคารวะตอบทันที
“โธ่เอ๋ย ช้าขนาดนี้เชียว อย่ามัวแต่คารวะเลย ไปๆๆ พวกเราไปหาร้านอาหารกัน”
ด้านนอกชายที่ชื่อเคออวิ้นตงเร่งเร้า พาทั้งสามคนเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกัน ยามเดินลงมาหลงจู๊ด้านนอกยังอ่านสมุดบัญชีเล่มหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขาลงมา หลงจู๊ยิ้มพลางเอ่ยถาม
“เมื่อคืนลูกค้าหลับสบายดีหรือไม่”
“ดีบ้าอะไร หลับแย่มาก!”
หลงจู๊ฟังแล้วไม่ถือสา แต่กล่าวเตือนด้วยความหวังดี
“เดิมพวกท่านบอกว่าจะนอนพักข้าก็แปลกใจ กลางคืนมานอนอะไรเล่า มิน่าถึงหลับไม่สบาย!”
ทั้งสี่คนที่เดินลงมาฟังคำพูดนี้แล้วประหลาดใจอยู่บ้าง
“กลางคืนไม่นอนจะให้นอนกลางวันหรือ หลงจู๊ท่านพูดจาแปลกจริง!”
“แน่นอนว่านอนกลางวัน แต่พวกไม่นอนก็มีไม่น้อย ลูกค้าท่าน…”
หลงจู๊มองพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ทั้งสี่คนคร้านจะสนใจหลงจู๊อีก เดินออกจากโรงเตี๊ยมไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อถึงด้านนอกสภาพอากาศอึมครึมจนพวกเขาเห็นไม่สะดวก จากนั้นค่อยมองไปข้างนอก บนถนนแทบไม่มีคนนัก
“น่าแปลก เมื่อคืนยังมีคนหนาแน่นไม่ใช่หรือ ทำไมกลางวันถึงมีคนไม่มาก หรือว่าคนที่นี่นอนกลางวันจริงๆ”
โจวซิ่งอดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้
“เมื่อคืนอาจเป็นวันฉลองเทศกาลท้องถิ่นอะไร ทุกคนร่วมสนุกกันจนดึก วันนี้จึงตื่นสายกระมัง”
หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวเช่นนี้
“อาจจะใช่ ไปเถอะ หาหอสุรากินข้าวเป็นเรื่องด่วน!”
ทั้งสี่คนไม่สนใจเรื่องอื่น เดินเข้าเมืองไปตามหา ใช้เวลาไม่นานก็เจอร้านอาหารแห่งหนึ่งนามว่าหอโผผิน
ดูท่าว่าหอสุราแห่งนี้คงไม่เลว แต่ด้านในไม่ค่อยมีลูกค้านัก แม้แต่ลูกจ้างยังมีไม่กี่คน แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ห้องครัวกลับทำอาหารให้พวกเขาก่อน ทั้งสี่คนจึงไม่ถือสา
แต่หลังจากกินอาหารที่มาส่ง เคออวิ้นตงเดือดดาลอย่างอดไม่ได้
อาหารหกอย่างนับว่ามาส่งเร็ว คล้ายว่าหลังจากสั่งอาหารก็ยกออกมาจากห้องครัว แต่เมื่อลองชิมอาหารทุกจานกลับยากจะกลืนลงคอทั้งสิ้น
เคออวิ้นตงตบตะเกียบลงบนโต๊ะเต็มแรง
“หลงจู๊พวกเจ้าทำอะไร อาหารนี้ให้คนกินแน่หรือ สุราจืดเหมือนน้ำ อาหารเต็มไปด้วยรสประหลาด ของพวกนี้เหมือนของบูด เห็นว่าพวกเราไม่มีเงินหรือพวกเจ้าไม่มีวัตถุดิบ ของแบบนี้ยังยกมาได้ พวกเจ้ายังกล้าเปิดร้านทำการค้าอีกหรือ มิน่าถึงไม่มีใครเข้าร้าน!”
เมื่อเห็นลูกค้าเดือดดาล แขกบางโต๊ะซึ่งกินข้าวอยู่ต่างมองมาทางนี้ หลงจู๊กับเสี่ยวเอ้อร์รีบวิ่งเข้ามา ขมวดคิ้วกับคำพูดของลูกค้าแต่ไม่ครุ่นคิดลึกซึ้ง
“เฮ้อ ลูกค้าโปรดระงับโทสะๆ อาหารนี้ต่างจากอาหารคนเป็นไม่น้อยจริงๆ แต่พวกเราไม่มีคนส่งของบรรณาการมา พ่อครัวฝีมือดีล้วนอยู่กลางเมืองรับใช้ผู้สูงศักดิ์ ท่านฝืนทานไปเถอะ ความจริงรสชาติถือว่าพอใช้ได้!”
หลงจู๊กล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ประสานมือและกล่าวขออภัย
เคออวิ้นตงโกรธจัดแล้ว พูดไร้สาระอะไรกัน
“ของบรรณาการ? เจ้าเห็นว่าหอสุราแห่งนี้เป็นเมืองหลวงหรือ หรือจะพูดว่าที่นี่เป็นสุสานใหม่ ของบรรณาการอะไร เจ้าหลอกผีหรือ”
เมื่อเอ่ยปากหลงจู๊เก็บรอยยิ้มช้าๆ ลูกค้าโดยรอบซึ่งเดิมไม่สนใจโต๊ะนี้หันมามองโดยพร้อมเพรียง แม้แต่ทุกคนในหอรวมถึงเสี่ยวเอ้อร์ยังมองมา นอกจากพวกเขาแล้วคนอื่นล้วนจ้องมาทางนี้ แววตานั้นทำให้พวกเคออวิ้นตงกลัวอยู่บ้าง
“ทะ ทำไม พวกเจ้าเป็นโรงเตี๊ยมลวงหรือ กลางวันแสกๆ ยังคิดตั้งโรงเตี๊ยมใหญ่โตหลอกคนหรือ ระวังข้าแจ้งทางการ! พี่โจว น้องสี่!”
“วางใจเถอะ มีข้าอยู่!”
โจวซิ่งกำหมัดขมวดคิ้วมองโดยรอบ เคออวิ้นฉินน้องสี่ตระกูลเคอตัวเกร็ง พวกเขาสองคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ย่อมกลายเป็นที่พึ่งของทุกคน
หลงจู๊ไม่พูดจา แต่เดินมาหน้าโต๊ะ หยิบตะเกียบของเคออวิ้นตงขึ้นมาสะบัดแล้วดมกลิ่น เผยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ถึงขั้นว่ารอยยิ้มดูน่าสยองอยู่บ้าง
“แหะๆๆๆๆ… คนเป็นจริงดังคาด!”
“คนเป็น!?”
“พวกเขาคือคนเป็น?”
“ทำไมคนเป็นถึงเข้ามาได้”
“ฟังจากคำพูดเมื่อครู่ของพวกเขา ดูท่าว่าไม่ผิดแน่!”
“หึๆๆ คนเป็น…”
“ไม่เจอมานานนัก…”
เสียงวิจารณ์ของแขกโดยรอบทำให้พวกเขาขนพองสยองเกล้า แขกไม่น้อยถึงขั้นลุกขึ้นมาแล้ว
“นะ น่าขันนัก… พะ พวกเจ้าเป็นคนตายหรืออย่างไร”
เคออวิ้นตงพูดตะกุกตะกักอยู่บ้าง แต่เพิ่งสิ้นเสียง สีหน้าทั้งสี่คนเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที
เห็นแค่หลงจู๊แลบลิ้นยาวหนึ่งฉื่อเลียปากแล้วยิ้มกล่าว
“ลูกค้าล้อเล่นแล้ว พวกเราล้วนเป็นคนตายจริงๆ…”
“หึๆๆๆ…”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
“ปราณหยางของคนเป็น!”
“เลือดคนเป็นก็เลิศล้ำ!”
“ยังมีหัวใจอวัยวะภายในด้วย!”
“ข้าอยากลองชิมนัก!”
มากินข้าวที่หอสุราตอนกลางวันได้ ลูกค้าโดยรอบล้วนนับว่าเป็น ‘พวกตะกละ’ ตอนนี้พากันเผยสีหน้าชวนประหวั่น บ้างฉีกปาก บ้างแลบลิ้นยาว บ้างหน้าตาเปลี่ยนเป็นผอมแห้ง เล็บเปลี่ยนเป็นยาวดำ
“ทำไมพวกเจ้าถึงเผยลักษณ์มรณะที่นี่ หรือกล้ามองข้ามกฎเกณฑ์ในเมือง”
ชายชุดดำคนหนึ่งเพิ่งเดินเข้ามาในหอสุรา เมื่อเห็นภาพนี้เขาตวาดเดือดดาลทันที
หลงจู๊รีบเดินเข้าไปอธิบายเสียงเบา ทั้งยังยื่นมือชี้มาทางโต๊ะทั้งสี่คนซึ่งหน้าถอดสีแล้ว ชายชุดดำยิ่งฟังดวงตาทั้งสองยิ่งเผยแสงสลัว
“ที่แท้คือคนเป็น!? พอดีเชียว ในเมื่อตนเข้าเมืองมาเองก็โทษพวกเราไม่ได้ สี่คนนี้ข้าจะนำตัวไป ทำเป็นอาหารหลักให้ท่านเจ้าเมืองในงานเลี้ยงคงเหมาะสม!”
“หนี!”
ตึง…
โจวซิ่งตะโกนลั่น พลิกโต๊ะทันที
แต่ครู่ต่อมาคนชุดดำกลายเป็นเงาดำพันรอบตัวโจวซิ่ง ทำให้เขาเหมือนตกสู่ถ้ำน้ำแข็งทันที มือเรียวเล็บยาวบีบคอจนเขาขยับตัวไม่ได้ ส่วนอีกมือยืดยาวไปหลายฉื่อ บีบคอเคออวิ้นฉินเช่นกัน
“ฮ่าๆๆๆๆๆ… เยี่ยมๆ อุณหภูมินี้ กลิ่นอายนี้ คนเป็นจริงดังคาด ทั้งเป็นผู้ฝึกยุทธ์สองคนด้วย ฮ่าๆๆๆๆ…”
คนชุดดำอ้าปากกว้างเล็กน้อย เผยเขี้ยวฟันและกระดูกแก้มซีดเผือด
เคออวิ้นตงกับเคออวิ้นซินถูกทำให้ตกใจจนทรุดลงกับพื้นแล้ว อย่าว่าแต่ขัดขืน แม้แต่เดินยังเดินไม่ไหว
————————————-