บทที่ 226 ไว้เจอกัน อาจารย์ไป๋
ไป๋เยี่ยไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะได้มองเจียลี่ในแง่ดีมาก่อน ด้วยสถานะในระดับนานาชาติของเจียลี่ที่สูงเสียยิ่งกว่าหลิวป๋อหลี่
เจียลี่มีชื่อเสียงในฐานะประธานสาขาทวารหนักแห่งสมาคมศัลยแพทย์ เขาได้รับรางวัลจากทั้งในและนอกประเทศมามากมาย
หลังจากที่เรื่องต่างๆ ในกองบรรราธิการเริ่มเป็นไปอย่างเรียบร้อยแล้ว ไป๋เยี่ยก็กลับไปหมกตัวทำการทดลองอยู่ในห้องแล็บทุกวันอีกแล้ว
แผนการวิจัยจุลชีพภายในลำไส้นี้แตกต่างไปจากการทดลองครั้งอื่น ๆ เพราะนี่คืองานวิจัยที่ก้าวไปสู่ระดับนานาชาติอันหาได้ยากในประเทศจีน
ดังนั้นทั้งผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ที่สุขภาพเข้าใกล้วัยชราขึ้นทุกทีต่างก็กำลังพยายามทำการทดลองอย่างหนัก เมื่อได้ผลลัพธ์ใดๆ ก็นำไปปรึกษาและแบ่งปันกันกับทีมวิจัยอื่นๆ
ยิ่งครั้งนี้คู่แข่งคือชาวญี่ปุ่น ทำให้ทุกคนยิ่งตั้งใจเข้าไปใหญ่
ในที่สุดเราก็มีโอกาสที่จะก้าวล้ำประเทศญี่ปุ่นแล้ว ทุกคนต่างหวังว่าในการประชุมประจำปีครั้งหน้า ประเทศจีนจะเชิดหน้าชูตาและมีชื่อเสียงเลื่องลือบ้าง
นอกจากนี้พวกเขายังต้องการทำสิ่งนี้ให้สำเร็จลุล่วง เพื่อปลุกจิตสำนึกในการนำพาเกียรติยศและความมั่นใจมาสู่ชาติของตน
การวิจัยครั้งนี้ถูกมองเป็นเรื่องสำคัญ ถึงขั้นมีการจัดประชุมขึ้น
การทดลองเชิงปฏิบัติดำเนินไปอย่างเต็มกำลัง ผลลัพธ์ค่อยๆ ปรากฏออกมาทีละน้อย คอยปลุกแรงบันดาลใจให้แก่ทุกคน
ใช้เวลาราวๆ หนึ่งเดือน ผลลัพธ์ของการวิจัยตัวชี้วัดทั้งสิบสองชนิดโดยอาศัยความรู้ทางสรีรวิทยาก็ออกมาแล้ว
ตัวชี้วัดทั้งสิบสองชนิดล้วนถูกค้นพบครั้งแรกโดยประเทศจีน ล้วนเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวิจัยเกี่ยวกับลำไส้ ไป๋เยี่ยจึงเรียกตัวชี้วัดเหล่านี้ว่า ‘ตัวบ่งชี้สมดุลยภาพภายในลำไส้’
สารเหล่านี้เป็นสารที่หลั่งออกมาจากจุลชีพภายในลำไส้ โดยสารเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างกลไกและปฏิกิริยาต่างๆ ภายในลำไส้ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในร่างกายมนุษย์
นี่คือองค์ความรู้ใหม่!
เช่นเดียวกับการวิเคราะห์เซลล์เม็ดเลือด ตัวชี้วัดแต่ละรายการย่อมมีความหมายของมัน อย่างเช่นหน้าที่ของเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาวและน้ำเหลือง สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกเรียกว่าส่วนประกอบภายในเลือดของมนุษย์
ในทำนองเดียวกัน ลำไส้ก็มีสภาพภายในของตนเอง แต่ละตัวชี้วัดย่อมมีหน้าที่ของมันและจะทำงานร่วมกันเพื่อรักษาสุขภาพและสมดุลยภาพของลำไส้
หากตัวชี้วัดใดเกิดปัญหา ก็แปลว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น
แน่นอนว่าระบบลำไส้นั้นไม่ได้มีแค่ตัวชี้วัดทั้งสิบสองชนิดเท่านั้น ทว่าเทคโนโลยีและการวิจัยในปัจจุบันยังศึกษาได้ลึกเพียงเท่านี้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาและข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใดก็ย่อมต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกัน เทคโนโลยีและองค์ความรู้แทบทุกอย่างที่คุณรู้จักในปัจจุบันจะถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตามการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ อาจจะถึงขึ้นมีทฤษฎีใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ วนเป็นวงจรแห่งการปฏิเสธและคัดค้าน นี่แหละคือวิทยาศาสตร์
ระหว่างความก้าวหน้าและความลึกซึ้งของงานวิจัยย่อมมีจุดบรรจบ ความร่วมมือระหว่างกันและกันย่อมค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาด้วย ทุกคนจะเริ่มเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นและรวมตัวกันเป็นสถาบันวิจัย
ไป๋เยี่ยมีทักษะวิชาสรีรวิทยาอยู่ที่เลเวลหกซึ่งเป็นระดับปรมาจารย์แล้ว แต่เมื่อมีทฤษฎีใหม่เกิดขึ้น เขาก็ตัดสินใจหารือเรื่องนี้กับผู้เชี่ยวชาญ
ไป๋เยี่ยมาพบผู้อำนวยการเกาเย่ว์หยางที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยยูเนียนตามคำแนะนำของหลี่มู่หยาง
เกาเย่ว์หยางเป็นคนมีฐานความรู้แน่น มีความเชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยา ชีวเคมี และกายวิภาคศาสตร์ หลังจากเขากลับมาที่จีนก็มุ่งเน้นไปที่การทำงานในวอร์ดศัลยกรรมกระดูก นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในผู้บัญญัติ ‘แผนห้าปีฉบับที่สิบเอ็ด[1]’ ของประเทศ และยังเป็นหัวหน้าบรรณาธิการตำรากายวิภาคศาสตร์เล่มที่สิบสองด้วย
บุคลิกของเกาเย่ว์หยางและหลิวป๋อหลี่ค่อนข้างแตกต่างกัน บางทีพวกหมอศัลยกรรมอาจจะดูเป็นพวกเอ็กส์โทรเวิร์ดมากกว่าก็ได้ ทันทีที่เขาพบไป๋เยี่ยก็ลุกขึ้นทักทายอย่างยิ้มแย้ม
“ได้ยินชื่อเสียงคุณมานานแล้ว! ชื่นชมคุณจริงๆ!” เกาเย่ว์หยางพูดติดตลกเล็กน้อย
ไป๋เยี่ยยื่นมือออกไปจับมือทั้งสองข้างของผู้อำนวยการเกาด้วยความตื้นตันใจ “ชมเกินไปแล้วครับอาจารย์เกา หนังสือเล่มแรกที่ผมอ่านตั้งแต่เริ่มเรียนหมอก็เป็นหนังสือกายวิภาคของคุณเนี่ยแหละครับ ชื่นชมคุณมานานแล้วจริงๆ”
เกาเย่ว์หยางยิ้ม “มาสิ นั่งลงเร็วเข้า มู่หยาง รินน้ำให้เสี่ยวเยี่ยสักแก้วซิ”
หลี่มู่หยางชะงักกับท่าทีที่ผิดแปลกไปของอีกฝ่ายเล็กน้อย
แน่นอน ตั้งแต่ไป๋เยี่ยเดินเข้ามา เกาเย่ว์หยางก็มองหลี่มู่หยางเป็นคนรุ่นเดียวกัน มีสถานะเท่าเทียมกัน
แวดวงวิชาการมักมองความอาวุโสเป็นหลัก ทั้งที่จริงๆ แล้วความสำเร็จนั้นสำคัญยิ่งกว่า
เกาเย่ว์หยางมีนิสัยใจกว้าง เขาไม่คิดดูถูกไป๋เยี่ยเลย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี แต่นั่นก็ไม่ส่งผลอะไรต่อมุมมองของเขาเลยสักนิด
อย่างไรเสีย ไป๋เยี่ยก็เป็นบุคคลที่สร้างองค์ความรู้ใหม่ ทั้งยังบุกเบิกแนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับลำไส้ด้วย
เดิมทีหลี่มู่หยางอยากให้เกาเย่ว์หยางรับไป๋เยี่ยเป็นลูกศิษย์ ทว่าตอนนี้ตัวตนและสถานะของไป๋เยี่ยนั้นอยู่สูงเกินกว่าที่เกาเย่ว์หยางจะรับเขาเป็นศิษย์ได้
แน่นอนว่าเกาเย่ว์หยางชื่นชอบการสนทนาแบบนี้มากกว่า
ไป๋เยี่ยเอ่ยขึ้น “อาจารย์เกาครับ วันนี้ผมมาที่นี่เพื่อหารือเกี่ยวกับงานวิจัยเรื่องจุลชีพภายในลำไส้”
“จากความพยายามของพวกผมในช่วงนี้ ทฤษฎีจุลชีพภายในลำไส้ก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละน้อยแล้ว แต่ผมคิดว่าผมควรนำเรื่องนี้มาหารือกับอาจารย์ด้วย ลำพังแค่ตัวผมก็อาจจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้”
เกาเย่ว์หยางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ประสบความสำเร็จโดยไม่หลงระเริงไปกับมันย่อมเป็นเรื่องดี นี่แหละคือการแสวงหาความรู้” 艾琳小說
“ความรู้ด้านสรีรวิทยาของผมก็มีอยู่อย่างจำกัด แต่ถ้าให้แนะนำก็ย่อมได้ แต่ถ้าคุณอยากได้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ผมก็อยากให้คุณลองไปตามหานักวิชาการ ‘คังเจี้ยนเซิง’ จากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่งดู เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาคนสำคัญของประเทศ แถมมาตรฐานการเรียนการสอนและการวิจัยด้านสรีรวิทยาของที่นั่นก็ดีมากถึงขั้นติดอันดับในสากลโลก ผมแนะนำให้คุณไปหาเขาจะดีกว่า”
ไป๋เยี่ยไม่เคยได้ยินชื่อคังเจี้ยนเซิงมาก่อน แต่สิ่งที่เกาเย่ว์หยางพูดนั้นคงไม่ผิด ประเด็นสำคัญคือเขาไม่รู้จักคังเจี้ยนเซิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิธีติดต่อเลย เขาคงไม่บากหน้าไปมหาวิทยาลัยปักกิ่งคนเดียวเพื่อถามหาคังเจี้ยนเซิงหรอก
“อาจารย์เกา รบกวนแนะนำผมให้เขาทีได้ไหมครับ ผมไม่รู้จักเขาจริงๆ”
เกาเย่ว์หยางยิ้ม “ไม่มีปัญหา พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปที่นั่น”
การสนทนากับเกาเย่ว์หยางนั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง เขามักจะกระตุ้นความคิดของไป๋เยี่ยอยู่ตลอด นับเป็นชายชราที่มีความคิดลึกซึ้งพอควร
เช่นเดียวกับด้านเกาเย่ว์หยาง การสนทนากับไป๋เยี่ยทำให้เขาเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น ไป๋เยี่ยไม่ได้เป็นแค่เด็กหนุ่มที่เกิดมาโชคดี แต่เขายังเป็นอัจฉริยะจริงๆ ไป๋เยี่ยมีความรู้ด้านการแพทย์ที่กว้างขวาง ทำให้เขาได้รับประโยชน์ไปด้วย ความรู้ด้านสรีรวิทยาของไป๋เยี่ยนั้นอยู่ในระดับสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ เรียกว่าเป็นปรมาจารย์เลยก็ว่าได้
เกาเย่ว์หยางยังคช็อกกับเรื่องนี้!
เพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง
อายุไม่ทันพ้นเลขสองก็กลายเป็นปรมาจารย์ซะแล้ว!
เกาเย่ว์หยางคิดด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ
เมื่อไป๋เยี่ยจะกลับ เกาเย่ว์หยางก็ดูจะมีท่าทีอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย เขามองไปที่หลี่มู่หยางซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาจดบางอย่างลงบนกระดาษพลางขมวดคิ้ว “มู่หยาง บอกลาไป๋เยี่ยสิ”
ตลอดเวลาที่ไป๋เยี่ยและเกาเย่ว์หยางพูดคุยกัน หลี่มู่หยางก็ได้แต่นั่งจิบน้ำชาอยู่ข้างๆ การสนทนาของทั้งสองคนทำให้เขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง จึงหยิบกระดาษและปากกาที่พกติดตัวมาด้วยออกมา
เมื่อเขาได้ยินผู้อำนวยการบอกให้กล่าวอำลาไป๋เยี่ยก็เอ่ยออกมาโดยไม่คิดอะไรมาก “ไว้เจอกันใหม่ครับ อาจารย์ไป๋”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ไป๋เยี่ยก็ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น เขาประหม่าจนไม่รู้ว่าตนควรจะหยุดหรือเดินต่อราวกับว่ากำลังเสียศูนย์
เกาเย่ว์หยางพูดต่อด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ “ต่อไปก็มาที่นี่บ่อยๆ นะ มู่หยาง รีบไปส่งอาจารย์ไป๋ของคุณเร็ว”
หลี่มู่หยางมึนงงไปครู่หนึ่ง อาจารย์ไป๋…นี่เราเผลอเรียกเขาว่าอาจารย์ไป๋งั้นเหรอ…
ไหนจะน้ำเสียงนุ่มลื่นของผอ.อีก…
ไป๋เยี่ยเดินลงไปชั้นล่างก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยท่าทีทำตัวไม่ถูก “เจอกันครับ คุณหลี่”
หลี่มู่หยางประหม่าจนไม่รู้จะตอบรับอย่างไร…
วันรุ่งขึ้น เกาเย่ว์หยางพาไป๋เยี่ยไปที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักวิชาการแทบทุกคนต้องมีคนขับรถและเลขานุการประจำตัว
ชีวิตประจำวันของเกาเย่ว์หยางอยู่ภายใต้การดูแลมาโดยตลอด แม้แต่รถยนต์ยังเป็นรถที่รัฐบาลมอบให้เลย ทำให้ไป๋เยี่ยพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เป็นนักวิชาการนี่ดีจริงๆ…
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เยี่ยได้มาเยือนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาเองก็เคยคิดอยากจะเข้าสถาบันแบบนี้เหมือนกัน
คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่งยังคงเป็นหนึ่งในคณะแพทยศาสตร์ลำดับต้นๆ ของประเทศ ไป๋เยี่ยมองนักศึกษาที่เดินเข้าๆ ออกๆ พลันรู้สึกว่าหากเขาได้มาที่นี่ตอนยังเรียนมหาวิทยาลัยต้องรู้สึกอิจฉาและโหยหามากแน่ๆ
อย่างไรที่นี่ก็เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่นักเรียนชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันถึง
ทันทีที่รถวิ่งเข้ามาในมหาวิทยาลัย ไป๋เยี่ยก็เอ่ยขึ้น “อาจารย์เกา พวกเราเดินไปดีไหมครับ”
เกาเย่ว์หยางผงะ “เดินไปเหรอ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าหงึกๆ “ผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก อยากลองเดินดูน่ะครับ”
เกาเย่ว์หยางหัวเราะออกมาในทันใด “ได้สิ งั้นเรามาเดินกันเถอะ นั่งมาทั้งวันแล้ว ลุกเดินหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
ระหว่างที่เดินอยู่ในมหาวิทยาลัย ไป๋เยี่ยก็ชำเลืองมองนักศึกษาที่เดินไปเดินมา เกาเย่ว์หยางเห็นดังนั้นก็ถามขึ้น “เป่ยต้า[2]เป็นไงบ้าง”
ไป๋เยี่ยตอบ “ดีสิครับ ใครๆ ในจีนก็รู้จักเป่ยต้าชิงหวา ทำไมจะไม่ดีล่ะครับ”
เกาเย่ว์หยางยิ้มพลางพยักหน้าลงพลันนึกอะไรขึ้นได้ “เสี่ยวเยี่ย จริงๆ แล้วความสามารถของคุณคงไม่หยุดแค่ที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีใช่ไหม”
ไป๋เยี่ยประหม่าเล็กน้อย “ตอนที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัย คะแนนผมไม่ค่อยดีน่ะครับ เลยโดนปัดตกไป”
เกาเย่ว์หยางหัวเราะ “คุณเนี่ยนะถูกปัดตก มู่หยางบอกผมว่าคุณคือผู้พิชิตคะแนนเต็ม เคยได้คะแนนเต็มมากี่ครั้งแล้วนั่น ไหนจะได้ที่หนึ่งในการแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนสามรอบติดอีก”
“แต่ว่านะ…ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับวาสนาด้วย ที่ไหนปฏิเสธคุณก็แปลว่าพวกเขาวาสนาไม่พอที่จะได้อัจฉริยะแบบคุณเข้าไปเรียน เสียประโยชน์เต็มๆ! ดูมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีของคุณสิ มันกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะไม่ใช่ 985[3] หรือ 211[4] แต่ไม่กี่ปีมานี้รัฐบาลก็ทุ่มเทกับโครงการ ‘ซวงอีหลิว[5]’ อยู่เหมือนกัน ผมคิดว่าถ้าแนวโน้มยังเป็นแบบนี้ต่อไป มหาวิทยาลัยของคุณต้องผลักดันตัวเองขึ้นมาได้แน่ๆ”
อันที่จริงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีกับสถาบันวิจัยเอ็มไอโอและบริษัทน่าย่าก็กำลังเป็นไปในทางที่ดี ทางรัฐบาลและมณฑลให้ความสำคัญและการสนับสนุนนโยบายต่างๆ เพราะเหตุนี้จึงดึงดูดผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์จำนวนมากเข้ามาได้ ศักยภาพของมหาวิทยาลัยในตอนนี้เรียกได้ว่าไม่อาจประมาทได้จริงๆ อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่นี่อาจจะกลายเป็นหนึ่งในโครงการซวงอีหลิวก็ได้
จู่ๆ เกาเย่ว์หยางก็เกิดสงสัยขึ้นมา “ตอนสอบเข้า คุณยื่นที่ไหนไปเหรอ”
ไป๋เยี่ยตอบด้วยท่าทีสบายๆ “ยูเนียนครับ”
เกาเย่ว์หยางตะลึงงัน “…”
ตอนนี้ ภายในใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก…
[1] แผนห้าปีฉบับที่สิบเอ็ด คือ แผนที่กำหนดโดยสภาประชาชนแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานสูงสุดของจีนตามคำแนะนำที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีวัตถุประสงค์คือเพื่อระบุความตั้งใจเชิงกลยุทธ์ของประเทศและกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
[2] เป่ยต้า คำเรียกสั้นๆ ของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง (เป่ยจิงต้าเสวีย)
[3] 985 หมายถึงมหาวิทยาลัยอันดับต้นของโลก
[4] 211 หมายถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศจีน
[5] ซวงอีหลิว (双一流/Double First-Class) คือ โครงการพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ส่งเสริมให้เป็นทั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำและมี หลักสูตรชั้นนำ ริเริ่มเมื่อปี 2015 มีจำนวนทั้งหมด 42 มหาวิทยาลัย