บทที่ 235 หญิงสาวผู้ย่ำหิมะ
Ink Stone_Fantasy
ในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการของโรงพยาบาลผู่เจ๋อ ไป๋เยี่ยจึงยังไม่ได้จัดแบ่งสวัสดิการให้สมาชิก ทว่าหลังจากที่ได้รับรางวัลผลงานดีเด่น เขาก็ไม่รีรอรีบจัดแบ่งสวัสดิการให้ทันที
บ้านขนาดสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นตั้งอยู่ในเขตชุมชนใกล้โรงพยาบาล
ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ไป๋เยี่ยยังจำรายการที่เกาเสี่ยวซงเคยเล่าว่าเพื่อนบ้านของเขาเกือบทุกคนทำงานเป็นหมอไม่ก็นักวิชาการ เวลาออกมาเดินเล่นหลังมื้อเย็นก็ได้ซึมซับความรู้ไปด้วย
จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็เกิดความคิดว่าหากเขาได้เป็นอาจารย์บ้างก็คงดี อย่างน้อยๆ ก็เป็นผลดีต่อการศึกษาของเด็กรุ่นหลัง
ในที่สุดไป๋เยี่ยก็เข้าใจคำกล่าวที่ว่า ‘เป็นนักวิชาการต้องมีคลังข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกข้อมูลต่างๆ ไว้อย่างละเอียด’ เพราะว่าคุณอาจจะถูกดึงตัวเข้าไปทำงานเป็นสมาชิกในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือได้เข้าร่วมในการคัดเลือกต่างๆ เมื่อใดก็ได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องกรอกใบสมัคร
ตัวอย่างเช่น ประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน ผลงาน รางวัล การเข้าร่วมการประชุมรวมถึงเอกสารรับรองต่างๆ
ไป๋เยี่ยเอาแต่วุ่นกับการเตรียมตัวทั้งบ่าย โครงการเชียนเหรินเป็นหนึ่งในโครงการอัจฉริยะเชียนไป่ว่านซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นฉายาระดับประเทศ ทำเอาไป๋เยี่ยอยากรู้ว่าเขาจะได้รับอะไรบ้างเมื่อเปิดใช้งานฉายานี้
หลังจากกรอกใบสมัครแล้ว ไป๋เยี่ยก็เก็บมันไว้รอยื่นหลังปีใหม่ จากนั้นเขาก็กลับไปที่หอพักของโรงพยาบาล
พรุ่งนี้เป็นวันปีใหม่ คืนนี้จึงมีการจัดปาร์ตี้ขึ้น เมื่อไป๋เยี่ยกลับมาถึงหอพักก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ทุกคนดีใจที่เห็นไป๋เยี่ยกลับมา แม้จะไม่ได้กล่าวสรรเสริญอะไรมาก แต่บรรดาเพื่อนร่วมชั้นต่างก็รู้สึกภูมิใจในความสำเร็จของไป๋เยี่ย เพราะไม่ว่าอย่างไรทุกคนก็ยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน
ยิ่งเห็นว่าไป๋เยี่ยเป็นคนเก่ง ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกมีหนทาง หากในอนาคตต้องการความช่วยเหลือก็ยังหยิบยื่นให้กันได้ อย่างไรเสียก็เพื่อนกันทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ไป๋เยี่ยได้รับรางวัล เพื่อนๆ ก็มักจะโพสต์โมเมนต์ในวีแชตและช่วยแชร์ข่าวเกี่ยวกับการรับรางวัลของไป๋เยี่ยด้วย
พวกเขารู้สึกมีหน้ามีตายิ่งขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมชั้นและรูมเมทได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เพราะพวกเขาก็โม้ได้แล้วว่าเพื่อนของตนสุดยอดแค่ไหน
เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนของแจ็คหม่า เมื่อจู่ๆ แจ็คหม่ากลายเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ เพื่อนๆ ก็พลอยรู้สึกภูมิใจไปด้วยเมื่อพูดถึงเขา
“พี่เยี่ย! ไหนล่ะถ้วยรางวัล เอามาให้จับหน่อยสิ” หยางเผิงเหว่ยประจบประแจงพลางโอบไหล่ไป๋เยี่ยด้วยรอยยิ้ม
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ “บอกก่อนนะว่าถ้วยรางวัลนี่ทำจากทองคำ มันหนักนะ…เฮ้อ นายยกไม่ไหวหรอกน่า…”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยพูดจบ หยางเฉาก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเข้าชาร์จไป๋เยี่ย “มาๆ ทุกคน ได้เวลารุมคนน่าหมั่นไส้แล้ว!”
เหอเสี่ยวหมิงเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ทุกคนเริ่มจะส่งเสียงเอะอะ
ไป๋เยี่ยไม่ใช่พวกชอบเก็บตัว กลับกัน เขาเป็นคนเข้าหาง่ายและไม่ถือสาใคร
บรรดานักศึกษาปริญญาโทต่างมารวมตัวกันที่ตึกนี้ ทุกคนออกมาพร้อมกันตอนหกโมงเย็น และเมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยมาถึง บรรยากาศก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรบเร้าให้ไป๋เยี่ยเลี้ยงข้าว เพราะทุกคนจองหม้อไฟร้านไหตี่เลาไว้แล้ว
การได้นั่งกินหม้อไฟกับกลุ่มคนอุดมการณ์เดียวกันในฤดูหนาวช่างมีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ปีนี้โรงพยาบาลผู่เจ๋อมีนักศึกษาไม่เยอะเท่าไหร่ รวมไป๋เยี่ยแล้วก็มีนักศึกษาเพียงสิบแปดคนเท่านั้น มีนักศึกษาชายหญิงอย่างละเก้าคน ถือเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากในวงการแพทย์
ทุกคนพูดคุยกันตั้งแต่เรื่องเรียนไปจนถึงเข้าทำงาน ตั้งแต่เรื่องเข้าแผนกไปจนถึงอาจารย์ที่ปรึกษา ตั้งแต่การพัฒนาของวิทยาการการแพทย์แผนจีนไปจนถึงการเสื่อมถอยของการแพทย์ในปัจจุบัน
ว่ากันว่าถ้าไม่ดื่มก็ไม่สนุก นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณชอบดื่ม แต่แอลกอฮอล์มักจะทำให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นเล็กน้อย
ได้ใช้เวลากับคนวัยไล่เลี่ยกันย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าไป๋เยี่ยจะประสบความสำเร็จมามากมายก็ตาม แต่อย่างไรทุกคนที่นี่ก็มีอายุพอๆ กัน ต่างคนต่างวางตัวผ่อนคลายสบายๆ
ต้องบอกว่าการบริการและสภาพแวดล้อมในร้านไหตี่เลาทำให้บรรยากาศและความรู้สึกระหว่างคนทั้งสิบแปดคนแตกต่างออกไปจากปกติ
ไป๋เยี่ยดื่มมากไปหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะคอแข็งขึ้นแล้วก็แต่ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง
กลุ่มคนพยุงกันกลับไปที่โรงพยาบาล ทว่าเตียงและของใช้ต่างๆ ของไป๋เยี่ยอยู่ที่บ้านพัก เขาจึงเดินทางกลับเขตชุมชนเพียงลำพัง
แม้ว่าระยะทางจะไม่ไกลนัก แต่ไป๋เยี่ยก็ยังเดินรับลมยามค่ำคืนจนเกือบสร่างเมา
ไป๋เยี่ยแหงนมองท้องฟ้ายามราตรี พลันรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมา ทั้งแสงไฟจากถนนที่ส่องแสงสลัว สายลมเย็นพัดผ่าน ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงจากต้นและค่ำคืนไร้แสงจันทร์นี้คล้ายจะสะท้อนจิตใจของไป๋เยี่ยในตอนนี้ออกมา
ไป๋เยี่ยสวมเสื้อขนเป็ดตัวหนา เขาสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและดึงปีกหมวกหนาลง จากนั้นก็เดินตามทางไปช้าๆ
เขาคิดในใจไปพลาง ถ้าหิมะตกด้วยคงจะดีกว่านี้เนอะ
คิดได้ไม่นาน ไป๋เยี่ยก็สัมผัสได้ถึงเกล็ดหิมะที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เขาเงยหน้าขึ้นแล้วนิ่งไป
ไม่อยากกลับบ้านแล้ว ไม่สิ หอพัก
ไป๋เยี่ยนั่งลงบนม้านั่งก่อนจะถอดหมวกและมองภาพหิมะแรกของปี
ตอนนี้ไป๋เยี่ยรู้สึกใจสงบมาก เงียบสงบจนได้ยินเสียงเกล็ดหิมะที่ตกลงสู่พื้นและอารมณ์ของฤดูหนาว
ถ้าท้องฟ้ามีความรู้สึกบ้าง ก็คงรู้สึกเหงาเหมือนกันใช่ไหม
ท่ามกลางความพร่ามัว…ไป๋เยี่ยเริ่มรู้สึกเมา…
เดิมทีช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้พักผ่อนอยู่แล้ว แอลกอฮอล์และอารมณ์เศร้าหมองก็ยิ่งทำให้สายตาของไป๋เยี่ยพร่ามัวลงจนรู้สึกเหมือนว่าตนหลับไป
ไป๋เยี่ยรู้สึกว่าเขาแปลก บางครั้งเขาก็รู้สึกเศร้าและสิ้นหวังโดยไม่มีสาเหตุ จนตอนนี้เขาเริ่มอยากวิจัยว่าผู้ชายมีประจำเดือนบ้างหรือไม่แล้ว…
แน่นอนว่าไป๋เยี่ยไม่มีทางหลับกลางอากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้ มิเช่นนั้นพรุ่งนี้เขาคงไม่ได้เห็นแสงตะวันอีก…
เขาเอนศีรษะไปพิงไฟถนนข้างม้านั่ง หลับตาแล้วสัมผัสความหนาวเย็นของเกล็ดหิมะที่ร่วงลงบนร่างกายของเขา
เขาเพิ่งกินหม้อไฟหมาล่าน้ำมันวัว เมื่อผสมกับฤทธิ์ของเหล้าขาวก็ทำให้ท้องของเขาร้อนผ่าวจนรู้สึกว่าเกล็ดหิมะและน้ำแข็งเย็นยะเยือกเหลือเกิน
เกล็ดหิมะหล่นลงมามาบนใบหน้าของไป๋เยี่ยก่อนจะละลายและทิ้งหยาดน้ำเย็นไว้ ไม่นานนักหยาดน้ำก็ระเหยไปกับอุณหภูมิของผัวหนังและซึมผ่านรูขุมขนไป…
น้ำเสียงตื่นตระหนกดังแทรกความพร่ามัวเข้ามาในโสตประสาทของไป๋เยี่ย
“เฮ้ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า! ตื่นสิ! ตื่นเร็ว!”
ไป๋เยี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง ทันใดนั้นดวงหน้าชดช้อยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ใบหน้าของคนตรงหน้าอ่อนโยนดั่งภูตในคืนหิมะตก เธอสวมหมวกขนสัตว์และเสื้อขนเป็ดตัวหนา ทำให้ผู้อื่นมองเห็นเพียงใบหน้าของเธอ
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว!
หัวใจของไป๋เยี่ยเต้นระรัว คนอะไรสวยขนาดนี้…
หญิงสาวผู้นั้นยืนมองด้วยความเป็นห่วง สายตาของเธอที่มองมายังไป๋เยี่ยราวกับสื่อสารได้ฉายแววประหม่าและกังวล
ทันทีที่ไป๋เยี่ยลืมตา เธอก็ถอนหายใจ
“คุณเป็นอะไรไหม”
ไป๋เยี่ยส่ายหัว “ขอบคุณครับ ผมสบายดี”
หญิงสาวเอ่ย “รีบกลับบ้านเถอะ อยู่กลางอากาศหนาวแบบนี้อันตรายมาก”
พูดจบ หญิงสาวก็เดินไปทางที่พักพลางหันกลับมามองไป๋เยี่ยเพราะกลัวว่าเขาจะหลับไปอีกครั้ง
“คุณห้ามหลับนะ!” หญิงสาวตะโกน
เสียงอันแผ่วเบาดังแว่วอยู่ท่ามกลางหิมะที่กำลังตก ไป๋เยี่ยจึงลุกขึ้นและยิ้มด้วยท่าทีโล่งอก
อีกฝ่ายหันหลังแล้วเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตูก็ยังอดกังวลไม่ได้จึงหันกลับไปอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยลุกแล้ว เธอก็เดินตามทางเดินต่อไป
ไป๋เยี่ยมองตามหมายเลขตึกที่หญิงสาวเดินเข้าไปและจดจำไว้ ผู้หญิงคนนี้ทำเขาหัวใจเต้นแรงจริงๆ…
นี่หรืออาการใจสั่น หรือว่าจะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือว่าเรากำลังใจเต้น
ไม่ได้การแล้ว…พรุ่งนี้จะต้องไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ!
หากอิงตามหลักการแพทย์แล้ว นอกจากโรคหัวใจและความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะแล้ว อาการนี้คงเรียกว่าความรัก…
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็หยุดมองหิมะตรงหน้า ในใจของเขามีแต่ใบหน้าอ่อนช้อยดั่งภูตของหญิงสาว หัวใจของเขาแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
คืนนั้นไป๋เยี่ยนอนหลับฝันดี ในแดนความฝันปกคลุมด้วยหิมะ ภูตสาวนางหนึ่งกำลังทัศนาจรท่ามกลางหิมะขาวโพลนก่อนจะเดินเข้ามาหาไป๋เยี่ย