บทที่ 244 ความเคารพในวิชาชีพ
ไป๋เยี่ยค่อยๆ มีความชำนาญและให้คำแนะนำผู้ป่วยได้มากขึ้น
อีกสิบกว่าวันก็เป็นวันตรุษจีนแล้ว ไป๋เยี่ยได้รับสายจากหลี่เจี้ยนเหว่ยระหว่างที่อยู่ในวอร์ด
“เสี่ยวเยี่ย ผมจะส่งเคสให้คุณหนึ่งเคสนะ คนไข้ชื่อ ‘หานจื้อกัง’ เพศชาย อายุแปดสิบห้าปี กระดูกต้นแขนของเขาเคลื่อนหลุดเนื่องจากหกล้ม กระดูกอัลนาหัก คุณรักษาตามที่ผมวางแผนไว้ได้เลย”
ไป๋เยี่ยรับทราบแล้วก็ไปบอกให้พยายามเตรียมเตียงผู้ป่วยหนึ่งหลัง จากนั้นก็อดใจรอผู้ป่วยเดินทางมาถึง
ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนและหญิงอายุราวๆ ห้าสิบปีก็เข็นรถเข็นเข้ามาในห้องทำงาน ทันทีที่เข้มาพวกเขาก็กล่าวทักทาย “สวัสดีครับ หมอหลี่บอกให้พวกเรามาหาหมอไป๋เยี่ยน่ะครับ”
ไป๋เยี่ยรีบลุกขึ้นทักทายทั้งสองคนกลับ “ผมคือไป๋เยี่ยครับ พวกคุณตามมาได้เลย”
คู่ชายหญิงหันไปมองหน้ากัน เมื่อพวกเขาเห็นว่าไป๋เยี่ยดูอายุน้อยก็บังเกิดความไม่ไว้วางใจขึ้น “เอ่อ…คุณคือหมอไป๋เยี่ยเหรอครับ สวัสดีครับ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า หลังจากที่เขาจัดแจงเตียงให้ผู้ป่วยแล้วก็เริ่มซักถามอาการของผู้ป่วยจากครอบครัวโดยละเอียด
หลังจากนั้น ไป๋เยี่ยก็วินิจฉัยชายชราอย่างถี่ถ้วน เพราะว่าก่อนหน้านี้ผู้ป่วยไปเอ็กซ์เรย์ที่วอร์ดผู้ป่วยนอกมาแล้ว ไป๋เยี่ยจึงจัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เคสนี้ค่อนข้างพิเศษ เพราะว่าผู้สูงอายุมักมีกระดูกพรุน อีกทั้งกระดูกยังเปราะ ทำให้เกิดปัญหาง่าย หากหกล้มก็อาจจะกระดูกหักได้เลย
การรักษาข้อต่อเคลื่อนและกระดูกหักในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่าแปดสิบห้าปีซับซ้อนยิ่งกว่า และหลังจากการรักษา ผู้ป่วยก็ฟื้นตัวยาก
หานจื้อกังเคยรับราชการทหารสมัยหนุ่มๆ เขาจึงมีพื้นฐานร่างกายที่ดี ทั้งยังให้ความเคารพไป๋เยี่ยมาก
ผู้คนในวัยนี้มักอยู่มาตั้งแต่ก่อนยุคสร้างชาติ พวกเขาเติบโตมาในยุคสมัยที่ต้องดิ้นรน ทำให้ร่างกายของพวกเขาค่อนข้างแข็งแรง
ระหว่างที่อยู่ในวอร์ด ไป๋เยี่ยก็พบว่าบรรดาผู้คนที่เคยประสบกับความอดอยากมาหลายปีมักมีสุขภาพไม่ดีและมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคต่างๆ เพราะฉะนั้นจึงเกิดปรากฏการณ์ที่น่าแปลกมาก นั่นคือผู้คนที่มีอายุช่วงเจ็ดแปดสิบปีมักจะมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้คนวัยราวๆ หกสิบปี
คุณจะได้พบกับญาติผู้ป่วยทุกรูปแบบในวอร์ด อย่างเช่น ลูกชายและลูกสะใภ้ของหานจื้อกัง
ในวันที่หานจื้อกังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไป๋เยี่ยก็คิดแผนการรักษาสำหรับผู้สูงอายุไว้แล้ว ทว่าขณะที่กำลังจะเขียนใบคำแนะนำแพทย์ ‘หานกว๋อหมิง’ ก็เดินเข้ามาหาเขา
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าไป๋เยี่ยแล้ว เขาก็กล่าวด้วยท่าทีประหม่า “คุณหมอไป๋ พวกเราอยากคุยกับหมอนิดหน่อยน่ะ คือว่าพ่อผมก็อายุมากแล้ว อาการของแกก็ค่อนข้างซับซ้อน พวกเราเลยอยากได้หมออาวุโสน่ะครับ…”
ไป๋เยี่ยนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ “ก็ได้นะครับ แต่ว่า…อาการของพ่อคุณค่อนข้างซับซ้อน ไม่ควรปล่อยไว้นานเกินไปนะครับ”
หานกว๋อหมิงไม่คิดว่าไป๋เยี่ยจะเจรจาด้วยง่ายขนาดนี้ จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ครับ หมอ ขอบคุณนะครับ คุณหมอไป๋”
หานกว๋อหมิงทำงานเป็นผู้อำนวยการระบบการศึกษา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีชื่อเสียงในปักกิ่งนัก แต่เขาก็มีเส้นสายอยู่รอบด้านเลยทีเดียว
การจะหาแพทย์สักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก วันนั้นเขาจึงลองสืบข้อมูลจากโมเมนต์วีแชต สืบไปสืบมาก็เจอเข้ากับโรงพยาบาลผู่เจ๋อ…
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลผู่เจ๋อแล้ว ผลสุดท้ายก็เป็นไปตามที่หลี่เจี้ยนเหว่ยบอก
เพราะฉะนั้นเขาจึงมาพูดคุยกับหลี่เจี้ยนเหว่ยถึงเหตุผล
หลี่เจี้ยนเหว่ยได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “คุณหาน ที่ผมส่งเคสนี้ให้ไป๋เยี่ยเพราะว่าเขามีทักษะที่ค่อนข้างดีและชำนาญกับการจัดการกับเคสประเภทนี้”
หานกว๋อหมิงยิ้มแหย “หมอหลี่ เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ เอง ผมเห็นว่าเขายังเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานเอง หมอช่วยจัดการให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ช่วยทำกายภาพบำบัดให้พ่อผมหน่อย พี่ชายของผมทำงานที่ศูนย์วัฒนธรรมปักกิ่ง เป็น…”
หลี่เจี้ยนเหว่ยเองก็ค่อนข้างจนปัญญากับความคิดของญาติผู้ป่วย สิ่งที่สำคัญที่สุดระหว่างแพทย์และผู้ป่วยคือความไว้วางใจ อีกทั้งหานกว๋อหมิงก็พอจะมีตำแหน่งอยู่บ้าง หลี่เจี้ยนเหว่ยเองจึงไม่อยากสร้างศัตรูด้วย
หลี่เจี้ยนเหว่ยถอนหายใจ “คุณนี่นะ…เฮ้อ! ถ้างั้นคุณขึ้นไปรอเตรียมห้องกายภาพบำบัดก่อน แล้วเดี๋ยวผมจะตามขึ้นไป”
หานกว๋อหมิงคลี่ยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณหลี่เจี้ยนเหว่ยซ้ำไปซ้ำมา เมื่อขึ้นมาถึงวอร์ด หานกว๋อหมิงก็เดินตรงเข้าไปพูดกับไป๋เยี่ยทันที “เสี่ยวไป๋ เมื่อกี้ผมเพิ่งคุยกับหัวหน้าแผนกมา เขาจะเป็นคนทำกายภาพบำบัดเอง คุณก็ไปเป็นผู้ช่วยเขาแล้วกันนะ”
เมื่อได้ยินว่าตนเองถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวไป๋’ ไป๋เยี่ยก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้…
เหมือนกับการเรียกลูกน้องไม่มีผิดเลย อีกอย่าง น้ำเสียงของชายผู้นั้นก็ทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกประหลาดคล้ายกับโดนใช้งานอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋เยี่ยส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไป แล้วจึงไปจัดเตรียมห้องกายภาพบำบัดให้กับหานจื้อกังก่อนจะเรียกพยาบาลให้เข้ามาเตรียมความพร้อม
กระดูกอัลนาหักจัดอยู่ในอาการบาดเจ็บจากกระดูกหัก หากการรักษาโดยการทำกายภาพบำบัดได้ผลก็ข้ามขั้นตอนการผ่าตัดไปได้ เพราะการพักฟื้นหลังผ่าตัดของผู้สูงอายุก็ถือเป็นปัญหาใหญ่พอสมควร
หลี่เจี้ยนเหว่ยเดินขึ้นมาชั้นบนและตรงมาที่ห้องกายภาพบำบัดก็เห็นไป๋เยี่ยที่กำลังกล่าวทักทายชายชราอยู่
หานกว๋อหมิงเห็นหลี่เจี้ยนเหว่ยก็พลอยยิ้มออก “หมอหลี่มาแล้ว เสี่ยวไป๋ ปล่อยให้หัวหน้าแผนกทำเถอะนะ”
หลี่เจี้ยนเหว่ยได้ยินหานกว๋อหมิงเรียกไป๋เยี่ยแบบนั้นก็ขมวดคิ้วลง “พวกคุณเป็นญาติกันเหรอครับ หรือว่าสนิทกันแล้วครับ”
หานกว๋อหมิงชะงัก “ไม่นี่ครับ เราเพิ่งจะรู้จักกันเองไม่ใช่เหรอ”
หลี่เจี้ยนเหว่ยเอ่ยปากช้าๆ “เรียกเขาว่าหมอไป๋เถอะครับ อย่าเรียกอะไรเสี่ยวไป๋ๆ เลย ที่นี่คือโรงพยาบาล ก็มีแต่คนป่วยคนไข้เท่านั้นแหละครับ”
หลี่เจี้ยนเหว่ยเองก็เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกงานมาก่อน นักศึกษาแพทย์ฝึกงานถือเป็นกลุ่มที่มีอำนาจน้อยที่สุดในโรงพยาบาล ล้วนโดนหมอ พยาบาล ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยด่าทั้งนั้น
ดังนั้นหากจะบอกว่าใครน่าสงสารที่สุดในโรงพยาบาล ก็คงต้องตอบว่าเป็นเหล่านักศึกษาแพทย์ฝึกงานแน่นอน ถ้าแม้แต่ความเคารพและความให้เกียรติในวิชาชีพยังมีให้กันไม่ได้ ก็คงเป็นเรื่องเศร้าน่าดู
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลี่เจี้ยนเหว่ยถึงพูดออกไปแบบนั้น
หานกว๋อหมิงเองก็ดูจะเข้าใจในสิ่งที่หลี่เจี้ยนเหว่ยสื่อ จึงได้แต่ยิ้มแห้ง “ขอโทษครับ ต่อไปผมจะระวังนะหมอหลี่ แล้วก็เสี่ยว…หมอไป๋ ขอโทษนะ ผมไม่ได้มีเจตนาอื่นเลย”
หลี่เจี้ยนเหว่ยให้ความสำคัญกับการทำกายภาพบำบัดมาก เคสของชายชราค่อนข้างพิเศษ ทว่าโชคดีที่เขามีไป๋เยี่ยคอยช่วยเหลืออยู่ ทำให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น
ท้ายที่สุดแล้วอาการข้อต่อเคลื่อนและกระดูกหักในผู้สูงอายุวัยแปดสิบห้าปีแบบนี้ก็ถือเป็นปัญหาค่อนข้างยุ่งยากอยู่ดี
หลังจากที่ใส่เฝือกแล้ว หลี่เจี้ยนเหว่ยก็รีบลงไปชั้นล่างทันที เขายังมีธุระรออยู่อีกมาก แค่เขาผละเวลาออกมาได้ก็คงพอจะรักษาหน้าหานกว๋อหมิงไว้ได้แล้ว
คงเพราะว่าหลี่เจี้ยนเหว่ยเองก็สังเกตอารมณ์ของไป๋เยี่ยอยู่ จึงส่งเคสผู้ป่วยไปให้รองหัวหน้าแผนกซึ่งเป็นแพทย์อาวุโสแทน
ไป๋เยี่ยไม่ได้ใส่ใจมากนัก อย่างไรเสียในโรงพยาบาลก็มีเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว ถ้าเขาจะโกรธจริงๆ ก็คงได้โกรธต่อไปแน่นอน
แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาชีพใด อย่างน้อยก็ควรมีความเคารพกันบ้าง
ในคืนนั้น ไป๋เยี่ยได้รับสายจากเถ้าแก่ไป๋ว่า ช่วงไม่กี่วันนี้เขากำลังเดินทางกลับมาฉลองตรุษจีน
นั่นทำให้ไป๋เยี่ยตั้งตารอการมาถึงของเทศกาลนี้มากยิ่งขึ้น อย่างไรเขาก็ไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่และหลิงเอ๋อร์มาสักพักแล้ว ในใจก็พลันคิดถึงพวกเขาขึ้นมา
ทว่าเถ้าแก่ไป๋กลับบอกว่าจะมาฉลองตรุษจีนที่ปักกิ่งแทนที่จะกลับไปฉลองที่บ้านเกิด ระหว่างนั้นเขาจะมาเยี่ยมเยียนเพื่อเก่าสักหน่อย
ไป๋เยี่ยเคยอยู่ที่ปักกิ่งเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีเมื่อตอนที่เขายังเรียนมัธยมต้น ตามคำพูดของเถ้าแก่ไป๋ก็กล่าวได้ว่าเขาก็เป็นคนที่ดิ้นรนเอาตัวรอดในเมืองหลวงคนหนึ่ง
แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากคนปักกิ่งก็คือ ตอนนั้นเถ้าแก่ไป๋เคยซื้อบ้านซื่อเหอเยวี่ยนไว้ที่ปักกิ่งด้วย