บทที่ 245 ระบบฉายากิตติมศักดิ์
ขั้นตอนการอนุมัติของ ‘โครงการเชียนเหริน’ นั้นค่อนข้างซับซ้อน ต้องมีเจ้าหน้าที่พิเศษเข้ามารับผิดชอบ รวมถึงหน่วยงานรัฐด้วย
ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นโครงการระดับแนวหน้าของชาติ ดังนั้นจึงปล่อยปละละเลยไม่ได้ นี่ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่จะกำหนดทิศทางและแนวโน้มการพัฒนาในอีกห้าถึงสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ไป๋เยี่ยก็ยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนดั่งเคย ทว่ากลับได้รับสายจากหูเฟิงอวิ๋น
“เสี่ยวเยี่ย มาที่ห้องทำงานป้าหน่อยสิ ป้ามีข่าวดีจะบอก”
ไป๋เยี่ยวางสายโทรศัพท์พลางคาดเดาว่าจะมีข่าวดีอะไร
ห้องทำงานของหูเฟิงอวิ๋นอยู่ที่ชั้นยี่สิบของอาคารบริหารเช่นเดียวกันกับหลิวป๋อหลี่ ห้องทำงานของบุคลากรระดับผู้อำนวยการทั้งหมดของโรงพยาบาลต่างอยู่ที่ชั้นนี้ ซึ่งต้องใช้คีย์การ์ด
และเพราะว่าไป๋เยี่ยเป็นคนพิเศษจึงได้รีบคีย์การ์ดด้วย อย่างไรเสียเขาก็ต้องไปที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง
ไป๋เยี่ยไม่ได้เจอหูเฟิงอวิ๋นมานานแล้ว อาจจะเป็นเพราะภาระงานที่ยุ่งจึงไม่ได้เจอกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน ว่ากันว่าตอนนี้เธอกำลังดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการหน่วยจัดการการแพทย์แผนจีนแห่งชาติด้วย
สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ความสำเร็จตลอดทั้งชีวิตของเธอนั้นช่างมีเกียรติเสียจนอดสงสัยไม่ได้ว่าสามีของเธอทำงานอะไรกันแน่
เมื่อไป๋เยี่ยมาถึงห้องทำงาน หูเฟิงอวิ๋นก็ยังมีท่าทีกระตือรือร้นเหมือนเช่นเคย เธอขอให้ไป๋เยี่ยนั่งลง ส่วนตัวเธอก็เดินไปหยิบเอกสารมา “ดูนี่สิว่ามันคืออะไร”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยรับเอกสารมา เขาก็นิ่งงันไป ‘รายชื่อบุคลากรระดับแนวหน้าที่ได้เข้าร่วมโครงการไป่เชียนว่าน’
รายชื่อนี้เป็นรายชื่อตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ไป๋เยี่ยลองเปิดเอกสารดูและพบว่าในโครงการไป่เหรินมีรายชื่อเพิ่มเติมราวๆ เจ็ดแปดรายชื่อ ทว่ากลับเป็นรายชื่อที่อยู่ในสาขาอื่นทั้งสิ้น ไม่มีชื่อใดอยู่ในสาขาการแพทย์เลย แม้ไป๋เยี่ยจะไม่รู้จักคนพวกนี้ แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเคยเห็นผ่านตามาก่อน
โครงการเชียนเหรินเพิ่มรายชื่อเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบคน ไป๋เยี่ยกวาดสายตาดูปราดเดียวก็มองเห็นชื่อของตนเอง
ไป๋เยี่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “รายชื่อเพิ่งออกมาเหรอครับ”
หูเฟิงอวิ๋นพยักหน้า “เพิ่งออกเลยแหละ เพราะว่าโครงการนี้ต้องสมัครเป็นหน่วยงานน่ะ หนูเป็นคนเดียวที่ได้รับเลือกจากหน่วยงานของเราในปีนี้ แน่นอนว่ารายชื่อที่อยู่ในสาขาการแพทย์ก็มีไม่กี่คนหรอก”
จู่ๆ เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังแว่วมา
[ติ๊ง! เปิดใช้งานระบบฉายากิตติมศักดิ์สำเร็จ ได้รับฉายาอัจฉริยะระดับประเทศ: ‘หนึ่งพันคนจากทั้งประเทศ’!]
[ฉายากิตติมศักดิ์ ‘หนึ่งพันคนจากทั้งประเทศ’: ในฐานะที่คุณเป็นหนึ่งในอัจฉริยะด้านวิชาการและเป็นผู้นำในการศึกษา คุณจะต้องแบกรับหน้าที่ในการพัฒนาบุคลากรในสาขาวิชาการ โดยเมื่อใช้ฉายานี้ คุณจะได้รับสิทธิพิเศษดังต่อไปนี้:
1. โบนัสค่าประสบการณ์ทักษะงานวิจัย 1.5 เท่า
2. เพิ่มโอกาสในการคิดค้นนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์]
ตอนที่ได้รับข้อความแจ้งเตือนจากระบบ ไป๋เยี่ยก็จ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง ฉายาที่ว่านี่มันเจ๋งขนาดนั้นเลยเหรอ
สิทธิพิเศษแรกคือเพิ่มโบนัสค่าประสบการณ์ทักษะงานวิจัย ซึ่งหมายความว่าจากเดิมที่ได้โบนัสจากสิทธิพิเศษสมาชิกก็จะได้รับโบนัสอีก 1.5 เท่า คิดว่าน่าทึ่งไหมล่ะ
ตอนนี้เรามีโบนัสค่าประสบการณ์สิบเท่า ถ้าใช้ฉายานี้ก็จะได้โบนัสสิบห้าเท่าสินะ
ไป๋เยี่ยกลืนน้ำลายก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่สิทธิพิเศษข้อสอง ‘เพิ่มโอกาสในการคิดค้นนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์’ นี่มันหมายความว่าไง
หรือจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการค้นพบสารใหม่หรือคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นระหว่างการทดลองกันนะ
ข้อนี้ค่อนข้างคลุมเครือ ไม่ชัดเจนเหมือนค่าประสบการณ์ ทว่าไป๋เยี่ยกลับรู้สึกว่าข้อนี้คงจะไม่ได้ทำง่ายเหมือนการเพิ่มค่าประสบการณ์
ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณจะได้มาระหว่างการทำงานหนัก แต่การคิดค้นนวัตกรรมนั้นแตกต่างออกไป การที่คุณขยันไม่ได้แปลว่าจะประสบผลสำเร็จ
ย้อนกลับไปตอนที่ไป๋เยี่ยจับรางวัล ‘ไอเดีย’ ได้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นรางวัลระดับสี่ดาว
การใช้ ‘ไอเดีย’ หนึ่งครั้งจะเท่ากับการจับรางวัลระดับสี่ดาวหนึ่งครั้ง ทว่าตอนนี้ไป๋เยี่ยกลับได้อยู่ในสถานะที่มีการเพิ่มโอกาสคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ แบบถาวร ทำไมเขาจะไม่ยินดีล่ะ!
เมื่อหูเฟิงอวิ๋นเห็นท่าทีเหม่อลอยของไป๋เยี่ยก็อดหัวเราะไม่ได้ แม้ไป๋เยี่ยจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ในสายตาของเธอก็ยังคงมองไป๋เยี่ยเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
อย่าว่าแต่เขาเลย ใครๆ ก็ยินดีที่ได้รับเกียรติเช่นนี้
กล่าวได้ว่าไป๋เยี่ยเป็นเด็กที่หูเฟิงอวิ๋นเฝ้าดูมาตั้งแต่เริ่มต้นการแข่งขันความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนจนมาถึงปัจจุบันที่เขากำลังก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างแน่วแน่
ไป๋เยี่ยยิ่งเดินก็ยิ่งสูงขึ้นยิ่งไกลออกไปจนมาถึงจุดที่ยืนอยู่ ณ ปัจจุบัน
ในโครงการอัจฉริยะไป่เชียนว่านนั้น มีผู้นำระดับชาติหนึ่งร้อยคน เสาหลักของชาติหนึ่งพันคนและอัจฉริยะรุ่นเยาว์อีกหนึ่งหมื่นคน
ทว่าไป๋เยี่ยนั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เสาหลักยอดอัจฉริยะ’ ตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปี นับเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศชาติ และเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จ
หูเฟิงอวิ๋นรินน้ำให้ไป๋เยี่ยพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หยุดเหม่อได้แล้ว น้ำลายจะหยดใส่อยู่แล้ว นั่นเป็นเอกสารชุดเดียวที่ป้ามี จะทำมันสกปรกไม่ได้นะ”
ไป๋เยี่ยรีบเก็บเอกสารไว้กับตัว “ขอบคุณมากครับคุณป้า!”
หูเฟิงอวิ๋นส่ายหัว “ไม่ต้องขอบคุณป้าหรอก หนูได้มันมาด้วยตัวเอง ตอนแรกป้าคิดว่ามาอยู่ที่นี่คงจะพอช่วยอะไรหนูได้บ้าง แต่ป้าเห็นแล้วว่าหนูกำลังโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงเสียดฟ้า ไม่ต้องการให้ป้าปกป้องอีกต่อไปแล้ว สักวันหนึ่งเมื่อป้าแก่ตัวลง ก็ฝากหนูรักษาด้วยแล้วกันนะ”
ไป๋เยี่ยกระแอม “คุณป้ายังอายุน้อย อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ…”
หูเฟิงอวิ๋นยิ้ม “ปีนี้ป้าก็อายุห้าสิบห้าแล้ว ป้าดีใจมากที่ได้เห็นว่าคนที่เก่งขนาดนี้มาจากมหาวิทยาลัยของป้า”
“แล้วก็ วันนี้จะเริ่มมีการทยอยออกเอกสาร เรื่องงานมอบรางวัลค่อยว่ากันหลังปีใหม่”
แววตาของไป๋เยี่ยเป็นประกาย…
ตอนนี้เรายังไม่มีโอกาส แต่ปีหน้าน่ะมีแน่ เกิดปีนี้บังเอิญทำอะไรเจ๋งๆ ขึ้นมาได้ โครงการไป่เหรินก็คงอยู่ไม่ไกลถูกไหม
อืม!
ช่วงก่อนตรุษจีน ไป๋เยี่ยจึงตั้งเป้าหมายเล็กๆ กับตนเอง อย่างเช่น ต้องได้เข้าร่วมโครงการไป่เหรินอะไรนั่น
หูเฟิงอวิ๋นยิ้ม “ถึงแม้ว่างานมอบรางวัลจะจัดขึ้นหลังตรุษจีน แต่เอกสารนี้จะต้องถูกแจกจ่ายไปยังทุกหน่วยงานด้านสุขภาพ การศึกษาและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์”
ไป๋เยี่ยและหูเฟิงอวิ๋นพูดคุยกันต่ออีกหน่อย ก็มีคนโทรเข้ามาหาหูเฟิงอวิ๋นเสียแล้ว
ไป๋เยี่ยจึงออกมาก่อน ระหว่างที่เขาเดินออกมาจากห้องทำงาน ภายในใจของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความสงสับ ฉายากิตติมศักดิ์นี่มันขึ้นบนหน้าผากเราด้วยหรือเปล่านะ
ดูเหมือนว่าต่อไปเขาจะต้องให้ความสำคัญกับฉายากิตติมศักดิ์เหล่านี้มากขึ้นอีก ไป๋เยี่ยคิดว่านี่คงเป็นระบบใหม่ และยังเป็นระบบขั้นสูงที่มีรางวัลมากมาย
ช่วงนี้ที่โรงพยาบาลไม่ค่อยมีเรื่องอะไร ไป๋เยี่ยจึงขอให้แม่บ้านมาทำความสะอาดบ้านพักของเขา เผื่อว่าพ่อแม่ของเขาจะกลับมาอยู่ที่นี่จะได้มีที่พักสะอาดๆ
แม้ว่าจะมีเพียงห้องนอนสองห้องและห้องนั่งเล่นหนึ่งห้อง แต่นี่ก็เป็นบ้านพักที่ทางโรงพยาบาลจัดสรรให้ มีพื้นที่กว้างพอ ห้องที่กำลังจะจัดเป็นห้องหนังสือก็กำลังว่าง ไป๋เยี่ยเองก็วางแผนไว้ว่าภายในสองวันนี้จะไปซื้อเตียงมาสักหลังแล้วเก็บกวาดสักหน่อยจะได้รู้สึกเหมือนกับอยู่ที่บ้าน