บทที่ 247 อย่าจำนนต่อบ้านหลังใหญ่
ฤดูหนาวเป็นฤดูที่แผนกศัลยกรรมกระดูกยุ่งที่สุด โดยเฉพาะในตงเป่ย ฤดูหนาวของทุกปีจะเป็นช่วงที่โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกและข้อมีงานเยอะที่สุด
เพราะว่าพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะกับกระดูกที่หักนั้นเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะกับเคนเฒ่าคนแก่
ส่วนไป๋เยี่ยก็กลายเป็นดาวเด่นของแผนกศัลยกรรมกระดูกหลังจากที่ผ่านการฝึกฝนมาระยะหนึ่ง ฝีมือกายภาพบำบัดของเขายอดเยี่ยมมาก
หลังจากที่หนานเฉาซานหายดีแล้วก็กลับมาขอบคุณไป๋เยี่ยถึงโรงพยาบาล ไป๋เยี่ยถึงเพิ่งทราบว่าที่แท้เขาก็เป็นโค้ชค่ายมวยซึ่งเคยเข้าร่วมงานแข่งขันทั้งเล็กและใหญ่มานับหลายรายการ
ไป๋เยี่ยถามเขาถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ในวันนั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้เล่าอะไรมาก เพียงแค่พูดไม่กี่คำและปล่อยให้ไป๋เยี่ยนั่งพักต่อไป
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ แม้ว่าไป๋เยี่ยจะพยายามควบคุมจำนวนเคส แต่ก็มีคนมาหาเขามากเกินไป และก็ยากที่จะปฏิเสธคนเหล่านั้น
คนนี้ก็ป้าผู้อำนวยการ คนนั้นก็ลุงหัวหน้าหน่วยงาน ไหนจะแม่สามีของหัวหน้าหน่วยนั้นหน่วยนี้อีก
ไป๋เยี่ยลองทำสถิติดูและพบว่าผู้ป่วยที่เขาดูแลอยู่ในปัจจุบันนั้นล้วนเป็นเจ้าหน้าที่จากทุกแขนง
ไม่ใช่เพราะไป๋เยี่ยรับแต่ผู้ป่วยที่มีฐานะ แต่เป็นเพราะคนเหล่านี้มาที่นี่เพราะชื่อเสียงเรียงนามของไป๋เยี่ย และต่างขอให้ไป๋เยี่ยเป็นคนรักษาให้ เขาจึงปฏิเสธไม่ลง
ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋เยี่ยก็เพิ่งค้นพบว่าผู้สูงอายุมักมีงานอดิเรกที่เหมือนกัน นั่นคือทำตัวเป็นพ่อสื่อแม่สื่อ ตัวอย่างเช่น ไป๋เยี่ยในตอนนี้เป็นที่โปรดปรานในสายตาของบรรดาผู้มีอำนาจ ทุกๆ วันก็จะมีผู้ป่วยแวะเวียนมาพูดคุยเรื่องชีวิตตลอด
วันพฤหัสบดีเป็นวันที่ผ่อนคลายที่สุด เพราะไป๋เยี่ยไม่จำเป็นต้องไปราวน์วอร์ด เพียงแค่ต้องเขียนรายงานผู้ป่วยเท่านั้น
การเขียนเวชระเบียนเป็นเรื่องน่าเบื่อ ทุกคนจึงถือโอกาสนี้พูดคุยกัน
หลิวเสี่ยวกังพูดขึ้น “สังเกตไหมว่าช่วงนี้มีผู้หญิงมาที่แผนกเราเยอะขึ้น”
แพทย์อีกคนเสริม “ใช่ ตอนที่กำลังราวน์วอร์ดก็เห็นเตียงข้างๆ มีผู้หญิงสวยๆ อายุน้อยๆ มาด้วย”
“เหมือนกัน คนไข้เตียงข้างๆ พาสาวน้อยมาช่วยนั่นช่วยนี่ทุกวันเลย”
ทุกคนผลัดกันพูด มีเพียงไป๋เยี่ยที่นั่งเงียบ
เพราะว่าไป๋เยี่ยได้ค้นพบปัญหาใหญ่หลวงแล้ว หญิงสาวเหล่านั้นคือญาติของผู้ป่วยที่เขาดูแล
เฮ้อ…ไป๋เยี่ยจึงได้แต่แสร้งไม่รู้เรื่อง ไม่ใส่ใจ…
น่าเสียดายที่จู่ๆ หลิวเสี่ยวกังก็เอ่ยขึ้นมา “เอ๊ะ คนไข้เตียงข้างๆ ผมเป็นคนไข้ของไป๋เยี่ยนี่นา”
“เอ๋ ของฉันก็ด้วย!”
“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นมาสักระยะหนึ่งแล้วจริงๆ…”
ไป๋เยี่ยกระแอมกลบเกลื่อนความเคอะเขิน “เอ่อ ใช่เหรอครับ บังเอิญจัง…”
ทันใดนั้นผู้คนรอบตัวเขาก็ยกยิ้มอย่างชั่วร้าย “จริงเหรอ บังเอิญจังน้า… ”
นี่คือข้อดีของแผนกศัลยกรรม บรรยากาศในการทำงานค่อนข้างดี ทุกคนพูดคุยหยอกล้อและรับประทานอาหารเย็นร่วมกันได้ แม้ว่าบางครั้งจะอยู่ในห้องผ่าตัดก็ยังพูดเรื่องทะลึ่งลามกกันจนพยาบาลผู้ช่วยอยากจะชักมีดขึ้นมา
เมื่อเทียบกันแล้ว บรรยากาศภายในแผนกอายุรกรรมตึงเครียดกว่ามาก ทว่าแผนกที่น่าหดหู่ที่สุดก็ยังคงเป็นแผนกสูตินรีเวช
แพทย์ในนั้นล้วนเป็นชายหญิงแกร่งที่ผ่านการผ่าตัดและการราวน์วอร์ดผู้ป่วยนอกมาอย่างโชกโชน พวกเขาเข้มงวดกับตนเองยิ่งกว่าเข้มงวดกับคนไข้เสียอีก แถมยังมองการทำงานล่วงเวลาเป็นเรื่องปกติ
พวกเขาจะเข้าวอร์ดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ายาวไปจนถึงบ่ายสองโมงครึ่ง จากนั้นก็ไปหาอะไรกินเล็กน้อยก่อนจะเข้าผ่าตัดในช่วงบ่าย
สถานที่ที่เกี่ยวกับผู้หญิงย่อมมีผู้หญิงเยอะเป็นปกติ ผู้ป่วยทั้งหมดในแผนกล้วนเป็นผู้หญิง แพทย์ส่วนใหญ่จึงเป็นแพทย์หญิงด้วย…
ชักจะออกทะเลใหญ่แล้ว ท่ามกลางเรื่องตลกขบขันของทุกคน ไป๋เยี่ยก็ยังคงรักษาท่าทีนิ่งเงียบ ตอนนี้เขาค้นพบว่าความเงียบช่างเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ
น่าเสียดายที่จู่ๆ ความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงอ้อนแอ้นของใครบางคน
“หมอไป๋ ย่าของฉันอาการไม่ค่อยดีเลยค่ะ ช่วยไปดูหน่อยได้ไหมคะ”
หญิงสาวหน้าตาสะสวยยืนมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาเคอะเขิน…
ไป๋เยี่ยจึงรีบลุกขึ้นและเดินไปที่วอร์ดทันที ตามด้วยเสียงร้องโห่ที่ดังไล่หลังมา
แน่นอนว่าไป๋เยี่ยพบกับปัญหาเข้าจริงๆ แล้ว ช่วงนี้ดูเหมือนว่าญาติผู้ป่วยหลายคนจะคุ้นเคยกับการพาสาวโสดมาที่โรงพยาบาลด้วย นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีสักเท่าไหร่…
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยก็มักจะเผลอหลุดปากเสมอว่าครอบครัวของพวกเขาร่ำรวยและมีภูมิหลังที่ดี ซึ่งพวกเขาต่างหวังว่าจะสร้างความประทับใจให้กับไป๋เยี่ยได้ด้วยบ้านหลังใหญ่ทำเลหรูสักหลัง
แน่นอนว่าไป๋เยี่ยทำแบบนั้นไม่ได้ เขาเชื่อมาตลอดว่าตนเป็นคนที่มีความฝัน แต่บ้านหลังใหญ่ก็เติมเต็มฝันของเขาไม่ได้…
ถึงจะมีกุญแจรถบีเอ็มดับเบิลยูที่เพิ่งถอยมาใหม่ๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของหรูๆ พวกนั้นเลย มันทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว…
ไปให้พ้น ออกไปให้หมด…
ทันทีที่ไป๋เยี่ยออกมาจากวอร์ดก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“เร็วๆ สิคุณ บอกให้หลานสาวรีบมาหน่อย เดี๋ยวจะเรียกหมอไป๋มาให้ ฉันอยากคุยกับเขาเรื่องบ้านซื่อเหอเยวี่ยนที่ต้นตระกูลเราทิ้งไว้ให้ แล้วก็ต้องแอบสื่อให้เขารู้ด้วยนะว่าลูกชายทำงานเป็นรองผู้อำนวยการคณะกรรมการวางแผนสุขภาพและครอบครัวแห่งชาติ!”
“ที่รัก คุณทำแบบนี้ไม่ได้ เราจะเอาเรื่องวัตถุกับตำแหน่งหน้าที่มาเทียบกับความรู้สึกไม่ได้!”
“คุณจะไปเข้าใจอะไร เราจะปล่อยให้รักแท้แพ้วัตถุไม่ได้นะ ดูเตียงข้างๆ สิ พวกเขาแทบจะเอาโฉนดบ้านมาแล้ว อ้อ แล้ววันนี้ก็ให้หลานสาวขับเฟอร์รารีของน้ามาด้วยล่ะ อย่าลืมถือกุญแจไว้กับมือด้วย!”
ไป๋เยี่ยแทบจะเดินเซ…เขารีบไปที่วอร์ดก่อนเวลาทันที…
หลังจากปฏิเสธคำเชิญเลี้ยงอาหารไปหมดแล้ว ไป๋เยี่ยก็รีบหนีออกมาด้วยความตื่นตระหนก
เขาไม่เคยถูกจับจ้องด้วยสายตาชื่นชอบจากบรรดาชายหญิงสูงอายุกว่าสิบคนแบบนี้มาก่อนเลย
“เด็กดี ไม่ต้องไปเอาบ้านหลังใหญ่นั่นหรอก!”
“หลานรัก ต้องพยายามมากกว่านี้นะ นี่เป็นการลงทุนที่คุ้มเสี่ยง!”
“ใช่แล้วหลานรัก อย่าไปยอมบ้านเหล่าเหอนะ สู้เขา! ไม่มีเงินก็ไปขอปู่ เขาเกษียณแล้วยังไงก็ไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บไว้ไหนอยู่ดี มีแต่จะเก็บไว้ให้หลานนั่นแหละ”
บ่ายวันนั้น ไป๋เยี่ยได้รับสายจากเมิ่งอวิ๋นซี เขารับสายด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนยากจะพรรณนา
จะว่าอย่างไรดี…
เพราะว่าในตอนแรก ไป๋เยี่ยรู้สึกดีกับเมิ่งอวิ๋นซีมาก ทว่ากลับไม่รู้จักเธอดีพอ
บางทีอาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเขาอยากได้ข้อมูลการทดลอง แต่ช่วงเวลานั้นไป๋เยี่ยก็เคยเล่านิทานให้เธอฟังอยู่บ้าง
แต่อีกฝ่ายคิดอย่างไรกับไป๋เยี่ยบ้างล่ะ
หญิงสาวผู้เข้มแข็ง มีความสามารถ มีความมุ่งมั่นในอาชีพการงาน และมีความรับผิดชอบสูง…
ถึงอย่างไร นั่นก็เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับผู้จัดการหญิง
เขาส่ายหัวแล้วรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล สวัสดีครับพี่เมิ่ง”
“เสี่ยวเยี่ย เอ่อ…พรุ่งนี้ว่างไหม” เมิ่งอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล
“เอ่อ…ว่างครับ!” ไป๋เยี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบไปตามความจริง
“พรุ่งนี้ฉันจัดปาร์ตี้วันเกิดน่ะ ถ้าว่างก็มาได้นะ…” เมิ่งอวิ๋นซีเตรียมจะพูดต่อ “มีคนจะมางานค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่เป็นคนในวงการด้วย มาลองทำความรู้จักได้นะ”
ไป๋เยี่ยตอบ “ได้สิพี่เมิ่ง ไว้ผมจะไปที่นั่นตามเวลานัดนะครับ”
เมิ่งอวิ๋นซีไม่ได้คาดหวังว่าไป๋เยี่ยจะเด็ดขาดขนาดนี้ จึงตอบอย่างมีความสุข “ถ้าอย่างนั้น…ไว้จะส่งสถานที่และเวลาให้ทางวีแชตนะ”