บทที่ 186 บุคลิกของผู้มีฝีมือ
หลี่โม่แสยะยิ้มแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เดี๋ยวแกก็รู้ว่าใครจะตาย”
“พรืดด ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ชายรูปร่างกำยำหัวเราะออกมา “แกนี่มันตลกจริงๆ แกคิดว่าตัวเองเก่งขนาดไหนเชียว ไม่ต้องพูดถึงพวกคนที่ขึ้นไปประลองบนเวที แค่ฉันแกยังสู้ไม่ได้เลย ฉันขอเตือนแกว่าอย่าเข้าไปตายเลย ฟังภาษาคนไม่เป็นหรือไง”
ฉู่จงเทียนเครียดขึ้นมาทันที เขากังวลว่าหลี่โม่จะตบะแตกทำร้ายอีกฝ่าย จึงพูดเสียงเบาว่า “เข้าไปกันก่อนเถอะครับ”
หลี่โม่พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินตามฉู่จงเทียนกับหยวนเหมิ่งเข้าไปในสนามมวย
“ถุย!”
ชายรูปร่างกำยำถ่มน้ำลายลงพื้น เขาเอามือเท้าสะเอวแล้วเดินเข้าไปในสนามมวย จากนั้นจึงบ่นออกมาว่า “ฉันจะรอดูว่าแกจะตายยังไง หึหึ”
หลี่โม่เดินเข้ามาในสนามประลอง ไฟในสนามส่องมายังพวกเขาทั้งสามคนจนต้องหรี่ตา และยกมือขึ้นมาบังแสงที่ส่องเข้ามา
“อะไรกันเนี่ย ฉู่จงเทียนแกกล้ามาที่นี่จริงๆ เหรอ ฉันนึกว่าแกจะกลัวจนเยี่ยวราดแล้วไม่กล้ามาซะอีก”
ซูเหวินปินคาบบุหรี่เอาไว้ และนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา เขามองฉู่จงเทียนอย่างไม่สบอารมณ์
“เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้รู้จัก คนหัวล้านที่อยู่ด้านนี้คือท่านหม่า ส่วนคนที่ไว้หนวดคือท่านหวง เราสามคนถูกใจพื้นที่ของแก ถ้าแกรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ทำช่วยทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย แล้วพวกเราจะไว้ชีวิตแก”
ฉู่จงเทียนลำบากใจ ถ้าไม่มีหลี่โม่อยู่ข้างๆ ฉู่จงเทียนคงจะคุกเข่าลงไปแล้ว แต่ว่ามีหลี่โม่ตามมาข้างหลัง ฉู่จงเทียนจึงกัดฟันสู้
“ท่านหม่า ท่านหวง ท่านซู ตั้งแต่ผมเลือกเส้นทางนี้ ผมก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องไม่ตายดี เพราะฉะนั้นไม่ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็จะสู้กับพวกคุณ” ฉู่จงเทียนเอ่ยขึ้น
คนหัวล้านที่ชื่อท่านหม่ากำลังจับลูกวอลนัทสองลูกในมือ เขาปรายตามองฉู่จงเทียนกับหยวนเหมิ่งที่อยู่ด้านหลังฉู่จงเทียน แล้วหัวเราะอย่างดูถูก จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “แกพาไอ้เด็กเวรสองคนนั้นมาสู้กับพวกเราเหรอ แกคิดว่าการอวดเก่งจะทำให้ชนะเหรอ คนที่ฉันพามาน่ะเป็นคนมีฝีมือที่เคยฆ่าคนและฝึกกังฟูมาก่อน ลูกน้องของแกสู้ไม่ได้หรอก”
ท่านหวงหัวเราะออกมา หนวดของเขากระตุกเล็กน้อย ดูแล้วมันน่าตลกเล็กน้อย “ท่านหม่า อย่าไปทำให้พวกบ้านนอกตกใจสิ ในเมื่ออวดดี ก็ทำให้มันได้มองเห็นโลกและตาสว่างซะสิ ให้พวกมันรู้ว่าผู้มีฝีมือน่ะเป็นยังไง”
ซูเหวินปินทิ้งก้นบุหรี่ในมือของเขา จากนั้นจึงแสยะยิ้มออกมา “เห็นแกพาไอ้สวะสองคนนี้มา ฉันก็อดไม่ได้ที่จะกลั่นแกล้งแก เราส่งคนออกไปแค่คนเดียวก็พอ ถ้าลูกน้องของแกทั้งสองคนสามารถสู้คนของเราได้ก็ถือว่าชนะ”
ตอนแรกซูเหวินปินคิดว่าจะพาคนต่างประเทศมาช่วย แต่เมื่อเห็นสภาพของหลี่โม่กับหยวนเหมิ่ง ซูเหวินปินก็พอจะคาดเดาอะไรได้แล้ว เขานึกว่าหลี่โม่กับหยวนเหมิ่งก็แค่นักเลงที่ใช้กำลังเท่านั้น คงไม่มีฝีมือการชกต่อยอะไรหรอก
“คุณอายังมีความเมตตา งั้นก็เอาตามที่นายว่าก็แล้วกัน อันที่จริงหวังต้าลี่ลูกน้องของฉันก็กำจัดพวกมันได้แล้ว” ท่านหม่าพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“จัดการไอ้พวกบ้านนอกแบบนี้ไม่เห็นน่าสนุกเลย ถ้าคุณอาไม่ลากเรามา เราก็ไม่อยากมาหรอก”
ซูเหวินปินนั่งไขว่ห้างแล้วพูดว่า “งั้นก็ให้หวังต้าลี่ขึ้นไปประลองก็แล้วกัน ฉู่อะไรนั่น แกก็ให้คนของแกขึ้นไปสิ ไม่งั้นก็ให้ขึ้นไปทั้งสองคน จัดการทีละคนมันชักช้าไปหน่อย”
ฉู่จงเทียนก้มหน้าฟังคำพูดของพวกเขา ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
หยวนเหมิ่งเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดขึ้นมาว่า “ท่านเทียน ผมขึ้นไปบนเวทีก่อน ครั้งนี้ผมจะชนะให้ได้!”
เมื่อหยวนเหมิ่งพูดจบก็รีบวิ่งไปที่สนามประลอง เมื่อถึงหน้าสนามประลอง เขาก็กระโดดขึ้นไปบนเวที
ถึงแม้หยวนเหมิ่งจะไม่ใช่คนมีฝีมืออะไร แต่เขาเคยฝึกวิชามาหลายปี แต่เพราะพรสวรรค์ของเขาไม่เพียงพอ ดังนั้นผลงานของเขาจึงมีข้อจำกัด
“เหอะ เหอะ มีความสามารถแค่นี้ยังมาอวดดี คนบ้านนอกก็คือคนบ้านนอก ต้าลี่นายขึ้นไปสิ ช่วยทำให้มันจบเร็วๆ หน่อย”
หวังต้าลี่ถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันกำยำของเขา เขากระโดดเพียงแค่สองก้าวก็ทำให้ตัวเขาพุ่งไปไกลสิบกว่าเมตร เขาขึ้นมาอยู่บนลานประลองอย่างมั่นคง
ฉู่จงเทียนเห็นแล้วก็แอบหวั่นใจ แต่หวังต้าลี่แสดงฝีมือออกมาแค่นี้ก็ดูเหมือนจะเก่งกว่าหยวนเหมิ่งเป็นสิบเท่า
“นายน้อย อย่าขึ้นไปจะดีกว่าไหมครับ” ฉู่จงเทียนพูดเสียงเบา
“ก็แค่พวกไม่เอาไหน แค่นี้ก็ตกใจเหรอ” หลี่โม่หันไปถาม
ฉู่จงเทียนเงียบไม่พูดอะไร เขาตกใจจริงๆ
“คนแซ่ฉู่กับไอ้หนุ่มนั่น ดูให้ดีเถอะ ฉันใช้แค่หมัดเดียวก็สามารถทำให้ไอ้นี่ไปแดนสุขาวดีได้แล้วล่ะ ฮ่า ฮ่า”
หวังต้าลี่มองฉู่จงเทียนกับหลี่โม่อย่างยั่วยุ เขาไม่เห็นหลี่โม่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
ตาของหยวนเหมิ่งแดงก่ำ เขาปล่อยหมัดใส่หวังต้าลี่ด้วยความโมโห
หวังต้าลี่ยิ้มอย่างร้ายกาจ กล้ามเนื้อทั้งตัวของเขาขยายตัวขึ้น จนดูเหมือนตัวใหญ่ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“ให้แกชกสองหมัดก็แล้วกัน ถ้าให้แกตายเร็วก็หมดสนุกสิ”
หวังต้าลี่ยืนอยู่ที่เดิม และทำท่าทางเหมือนให้หยวนเหมิ่งต่อยเขาได้ตามสบาย
หยวนเหมิ่งตาเป็นประกาย สองมือของหยวนเหมิ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาต่อยเข้าไปที่หน้าอกและลำคอของหวังต้าลี่
ผลั่ก ผลั่ก
เสียงหมัดดังขึ้นติดต่อกัน หวังต้าลี่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
หลังจากที่หยวนเหมิ่งปล่อยหมัดออกไป ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหวังต้าลี่ที่กำลังยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ จู่ๆ เขาก็คิดว่าตัวเองซวยแล้ว!
ถอย!
ความคิดแรกที่ดังขึ้นมาคือต้องถอย ขณะที่หยวนเหมิ่งกำลังจะถอยหลัง หวังต้าลี่เคลื่อนไหวแขนของตัวเอง
“หึหึ ตายซะเถอะ!”
หวังต้าลี่ปล่อยหมัดไปตรงท้องของหยวนเหมิ่งอย่างแรง มันแรงจนหยวนเหมิ่งกระเด็นออกจากลานประลอง และไปนอนกองอยู่ตรงหน้าของหลี่โม่กับฉู่จงเทียน
หยวนเหมิ่งมองฉู่จงเทียน เขาอ้าปากกำลังจะพูด แต่ทว่าเลือดกลับพุ่งออกมาจากปากของเขา
จากนั้นแววตาของหยวนเหมิ่งก็ค่อยๆ นิ่งไป คำพูดที่อยากจะพูดก็ไม่ได้พูดออกมาอีก
“ฮ่าฮ่า นี่คนแซ่ฉู่ ยังเหลือไอ้หมอนั่นอีกคน พวกแกกลัวหรือยัง ถ้ากลัวก็ไปคุกเข่าต่อหน้าทั้งสามท่านซะ ไม่แน่ทั้งสามท่านอาจจะเมตตาไว้ชีวิตพวกแกก็ได้นะ”
หวังต้าลี่ยืนอยู่บนเวทีประลอง จากนั้นจึงยกนิ้วกลางให้พวกเขา แล้วแสยะยิ้มดูถูก
ฉู่จงเทียนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขามองไปที่หลี่โม่ และกำลังจะเอ่ยปากเตือนหลี่โม่ แต่กลับเห็นหลี่โม่เดินไปที่สนามประลองแล้ว
หลี่โม่เดินไปยังสนามประลองทีละก้าว และค่อยๆ เดินขึ้นบันได เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่ฉันกำลังดูอะไรอยู่ ไอ้หมอนั่นมันเดินขึ้นบันไดเหรอ ขี้แพ้จริงๆ คนแบบนี้ถูกส่งมาประลองได้ยังไงกัน”
“บ้านนอกจริงๆ แม้แต่คนมีความสามารถสักคนก็ยังไม่มี ถ้ารู้อย่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านทั้งสามมาที่นี่หรอก พวกเราพาคนมาจัดการคนแซ่ฉู่นั่นได้อย่างง่ายดาย”
“ดูสิว่าไอ้คนขี้แพ้นั่นจะตายยังไง ได้ยินมาว่าหวังต้าลี่ได้ฝึกวิชาใหม่มา ไม่แน่อาจจะใช้กับไอ้คนขี้แพ้นั่นก็ได้”
หวังต้าลี่มองหลี่โม่อย่างดูถูก เขาทำท่ายกนิ้วให้ แล้วพูดว่า “ฉันจะเอาเลือดหัวแกออกมาเอง!