บทที่ 270 คลื่นลมยังไม่สงบ
หลี่หมิงกลับไปพักผ่อน ทว่าไป๋เยี่ยไม่ได้ตามเขาไป ที่นี่ก็จำเป็นต้องมีแพทย์คอยประจำการเหมือนที่โรงพยาบาล
เหตุผลหนึ่งคือเพราะเขากังวัลว่าจะเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นกับผู้ป่วยและอาจจะมีผู้ที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วนเดินทางมาถึงตอนกลางคืน
ไป๋เยี่ยขดตัวอยู่ในมุมแคบๆ ของสถานที่พักฟื้น อุณหภูมิในนี้อุ่นกว่าข้างในเต็นท์เล็กน้อย ทำให้เขาเริ่มง่วงนอน
เมื่อเห็นว่าผู้ป่วยสบายดี เขาก็ปรือตาลง ถึงแม้ว่าเขาจะฟื้นฟูพลังงานได้เร็ว แต่เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า
สามวันที่ผ่านมาเขาได้นอนไม่ถึงหกชั่วโมง ใครจะไปทนไหวกัน อีกทั้งอากาศด้านนอกก็หนาวมาก และด้วยสภาพอากาศสุดขั้วเช่นนี้ทำให้ต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่สูง
ไป๋เยี่ยไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานแค่ไหนแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงดัง ปัง! ทำเอาเขาสะดุ้งด้วยความตกใจ! พลันสัมผัสได้ว่าร่างของเขาก็กำลังสั่นเทิ้มอยู่
แผ่นดินไหว!
แผ่นดินไหวกำลังจะมา!
ไป๋เยี่ยดีดตัวออกแล้วรีบวิ่งออกไปพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ทุกคนออกมาเร็ว! แผ่นดินไหว!”
จ้าวหู่ชิวที่เฝ้าไป๋เยี่ยอยู่ไม่ไกลก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ เช่นกัน เขารีบลุกขึ้นไปปลุกให้ทุกคนในเต็นท์ตื่นทันที
“แผ่นดินไหว!”
“วิ่งเร็ว!”
“วิ่ง!”
ทุกคนตกใจจนแทบจะปัสสาวะรดกางเกง พากันวิ่งออกไปข้างนอกอย่างร้อนรน
ทุกคนเพิ่งจะนอนหลับได้ไม่นาน ร่างกายที่เหนื่อยล้าตอบสนองไม่ทันความคิดแล้ว แม้จะอยากวิ่งแต่ก็วิ่งไม่ออก ความรู้สึกที่อยากลุกขึ้นแต่ลุกไม่ได้มันเป็นแบบนี้นี่เอง
ซ่งเจี๋ยยังคงนอนอยู่ที่เดิม แม้ว่าเขาจะรู้สึกเหมือนถูกกดทับจนแทบหายใจไม่ออก แต่เขาก็ไม่อยากขยับตัวนักเพราะง่วงมาก
ทว่าสุดท้ายเหตุผลย่อมชนะความล้า เมื่อเผชิญหน้ากับภัยถึงแก่ชีวิต เขาก็สลัดความง่วงออกไปจนหมด
เมื่อทุกคนตื่นแล้วก็จัดกลุ่มกันและรีบออกไปข้างนอกทันที
อันที่จริง สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่เปิดโล่ง มีเพียงห้องพักฟื้นที่อยู่ในอาคารเพื่อป้องกันลมและอากาศหนาว
เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพาผู้บาดเจ็บออกมา!
หลี่หมิงตะโกนเสียงดัง “ย้ายคนไข้ไปที่โล่ง!”
ที่นี่รวมพยาบาลและเจ้าหน้าที่กู้ภัยแล้วก็มีเจ้าหน้าที่ราวๆ ยี่สิบคนเท่านั้น แต่มีผู้บาดเจ็บกว่าสองร้อยคน
จู่ๆ นี่ก็กลายเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ ไป๋เยี่ยไม่ลังเลและรีบทำหน้าที่ของเขาทันที
เขาเข็นผู้บาดเจ็บออกไปข้างนอก ส่วนผู้ป่วยที่พอขยับตัวได้ก็เดินออกไปเอง
แรงสั่นสะเทือนเมื่อครู่ทำให้ทุกคนหวาดผวา สุดท้ายก็เจออาฟเตอร์ช็อกจนได้ ทันทีที่ทุกคนวิ่งออกมาแล้วก็หันไปเห็นว่าอาคารรอบๆ กำลังพังทลายลงมา ก่อให้เกิดฝุ่นควันตลบไปทั่ว
แม้ว่าจะมองไม่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเพราะความมืดของยามค่ำคืน แต่เสียงที่ดังสนั่นทั่วทั้งพื้นที่นั้นก็เป็นดั่งเสียงเตือนแห่งความตาย
ทุกคนต่างกังวล เกรงว่าถ้าเคลื่อนย้ายกันช้ากว่านี้อาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้ ที่นี่มีผู้บาดเจ็บว่าสองร้อยราย ซึ่งไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย มีหลายคนที่นอนขยับตัวไม่ได้อยู่บนเตียง ทำให้ต้องอาศัยแรงคนสองคนช่วยกันหาม
แม้ว่าพื้นที่เปิดโล่งจะอยู่ห่างออกไปเพียงยี่สิบเมตร แต่ทุกคนก็กลัวว่าถ้าช้าไปนิดเดียว อาคารอาจจะถล่มลงมาได้
ทั้งความเหนื่อยล้า ความง่วงนอนและความหวาดกลัวผุดขึ้นในใจของทุกคน ไป๋เยี่ยแทบจะลืมไปว่าเขาอุ้มผู้บาดเจ็บออกมากี่คนแล้ว
เขารู้สึกว่ามือด้านชาไปหมดแล้ว เขาทั้งเหนื่อยและวิตกกังวล การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่เป็นไปอย่างเร่งรีบทำให้เขาไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว
ในที่สุดก็เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บทั้งหมดออกมาได้สำเร็จ
ผู้คนกว่าสองร้อยคนนั่งรวมกันอยู่ในที่โล่งพลางมองไปยังไฟในอาคารที่ยังคงส่องสว่างด้วยความหวาดกลัว
หลังจากเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเรียบร้อยแล้ว ไป๋เยี่ยและคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้พัก เพราะว่าด้านในยังมีเครื่องมือและยาจำนวนมากอยู่
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของมีค่า ตอนนี้เครื่องมือและยาเหล่านั้นมีค่าเท่ากับชีวิตเลยก็ว่าได้
เป็นผลให้ทุกคนตกอยู่ในความตึงเครียดและความยุ่งวุ่นวายอีกครั้ง แต่ขณะที่พวกเขาย้ายของไปได้ครึ่งทาง ก็เกิดแผ่นดินไหวระดับรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน
หลี่หมิงสังเกตเห็นความผิดปกติจึงตะโกนเสียงดังลั่น “ทุกคนออกมา อย่าเข้าไป!”
ไป๋เยี่ยฉุดหลิวเสี่ยวกังไว้แล้ววิ่งออกมาจากอาคารด้วยกัน ตอนแรกจ้าวหู่ชิวกำลังย้ายเครื่องอีซีจีอยู่ แต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ก็รีบผละออกจากเครื่องมือและพาหลีจื่อเหยียนที่อยู่ข้างๆ วิ่งออกไปข้างนอกแทน
อาฟเตอร์ช็อกครั้งนี้รุนแรงมาก ในที่สุดอาคารก็ถล่มลงมา
ทุกคนมองดูอาคารที่กำลังพังทลายลงมาพลางถอนหายใจ แม้จะรู้สึกเสียดายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
แต่ถึงกระนั้น ทุกคนก็ยังพักผ่อนไม่ได้ พวกเขารีบจัดกลุ่มกันไปตั้งเต็นท์บริเวณพื้นที่โล่งเพื่อจะได้เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเข้าไปก่อน
ทีมกู้ภัยจะมาถึงในวันรุ่งขึ้น ถึงตอนนั้นแล้วผู้บาดเจ็บที่อาการทรงตัวแล้วก็เดินทางกลับได้ อุปกรณ์กู้ภัยเหลือไม่มาก ส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมากก็ติดอยู่ข้างใต้อาคาร ทีมแพทย์จึงต้องการความช่วยเหลือด้วย!
ยิ่งไปกว่านั้น อาฟเตอร์ช็อกครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ฐานกู้ภัยอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นทั่วทั้งเมือง อีกทั้งยังรุนแรงถึง 5.7 ริกเตอร์ด้วย
กว่าจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมาอยู่ในเต็นท์เสร็จก็ทุกคนก็เหนื่อยจนแทบจะหมดแรงแล้ว จึงได้แต่กางเต็นท์ไว้กันลมแล้วเข้าไปนอนพักในนั้น
ทุกคนไม่เหลือแรงกันแล้ว เหนื่อยมากจริงๆ!
ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตาดูว่าใครมานอนข้างๆ แต่ใครจะไปสนใจเรื่องพรรค์นั้นกัน ไปนอนดีกว่า!
แม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ได้เหนื่อยเท่าคนอื่นๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยมากอยู่ดี
เราจะทำงานหนักแบบนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหนกัน
หลังจากตรวจสอบพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ไป๋เยี่ยก็กำลังจะกลับไปพักผ่อน ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟฉายจากระยะไกลพร้อมด้วยเสียงตะโกนโหยหวนจนแทบขาดใจ
“ช่วยด้วยคุณหมอ ช่วยด้วย!”
“หมอ ช่วยด้วย!”
“ช่วยคนด้วย!”
ไป๋เยี่ยไม่ได้นับว่าเขาได้ยินเสียงอันคุ้นเคยนี้มากี่ครั้งแล้ว เป็นเสียงของเจ้าหน้าที่กู้ภัยนั่นเอง มีผู้บาดเจ็บมาอีกแล้ว
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ เขารวบรวมพลังกายแล้ววิ่งไปยังถนนฝั่งตรงข้าม
เดิมทีจ้าวหู่ชิวตั้งใจจะพักผ่อนสักหน่อย แต่เมื่อเขาเห็นไป๋เยี่ยวิ่งออกไปจึงตามไปด้วย
ทันทีที่ไป๋เยี่ยมาถึงเขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
มีคนเดินหามผู้บาดเจ็บมากว่าสามสิบรายอย่างยากลำบาก แสงจากไฟฉายส่องให้ไป๋เยี่ยเห็นสภาพเปื้อนเลือดของคนเหล่านั้น
ไป๋เยี่ยเห็นว่าผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่สวมเครื่องแบบทหารของเมียนมา แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นทหาร
ยิ่งไปกว่านั้นบาดแผลเหล่านี้ยังเป็นแผลใหม่อยู่ ซึ่งต้องเป็นเพราะอาฟเตอร์ช็อกครั้งนี้อย่างแน่นอน
“หมอ! หมอต้องช่วยพวกเขานะ!”
“หมอครับ ช่วยหัวหน้าด้วย เขาถูกทับเพราะพยายามจะช่วยผม…” ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์เอ่ยเสียงสั่น
ไป๋เยี่ยกัดฟันแน่น การช่วยชีวิตผู้คนย่อมสำคัญที่สุด เขาจึงเรียกให้จ้าวหู่ชิวมาช่วยเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเหล่านี้ไป
ส่วนไป๋เยี่ยก็ตั้งเตียงผ่าตัดในเต็นท์โล่งทันที
ผู้คนกว่าสามสิบคนช่วยพยุงกันไปที่เต็นท์อย่างยากลำบาก ไป๋เยี่ยลองตรวจดูอาการก็พบว่าผู้บาดเจ็บไม่เป็นอะไรมาก ส่วนใหญ่แค่ต้องทำแผลเท่านั้น ส่วนเคสที่อาการหนักก็มีกระดูกหัก
อย่างไรก็ตาม อาการของหัวหน้าทหารค่อนข้างน่าเป็นห่วง ต้นขาของเขาถูกแทงทะลุด้วยแท่งเหล็ก ถึงแม้จะได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว แต่เลือดจากหลอดเลือดแดงบริเวณต้นขาก็ยังคงไหลไม่หยุด จำเป็นต้องทำการรักษาโดยด่วน