ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 255 น่าสงสัย(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 255 น่าสงสัย(2)

ตอนที่ 255 น่าสงสัย(2)

เจี่ยงสือเหิงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “เป็นธรรมดา มู่หลานเก่งมากอยู่แล้ว จริง ๆ แล้วมู่หลานไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ ลำพังทักษะทางการแพทย์ของหล่อนก็ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็ตั้งใจมาก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวงสิงจือกับจงอวี้อู๋ก็อดปรายตามองเพื่อนสนิทเสียไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันสายตาก็เต็มไปด้วยความอิจฉา ไม่รู้ว่าต่อไปข้างหน้าพวกลูก ๆ ของเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ แบบนี้ได้หรือเปล่า

ขณะเดียวกันฉินเจี้ยนเซ่อที่อยู่ด้านข้างรู้สึกทนไม่ไหว ก่อนจะหันมองแล้วเอ่ยถามภรรยา “หว่านอี๋ คนเมื่อกี้เป็นใครกัน?”

สีหน้าของซูหว่านอี๋ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก หล่อนส่ายหัวก่อนจะเอ่ย “ไม่รู้จัก เขาจำคนผิดแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ตามสัญชาตญาณของฉินเจี้ยนเซ่อย่อมไม่มีทางเชื่ออยู่แล้ว เพราะเซี่ยฉางชิงเรียกชื่อภรรยาของตนอย่างชัดเจน แต่ยังจะบอกว่าเขาจำคนผิดอีก แต่ในเมื่อภรรยาไม่ค่อยอยากพูดถึง ฉินเจี้ยนเซ่อจึงไม่เอ่ยถามต่อ

ฉินมู่หลานมองดูพ่อด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอ่ย “พ่อคะ เหมือนลุงเสิ่นกำลังตามหาพ่ออยู่ค่ะ”

ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินเช่นนี้ก็หันไปมอง เมื่อพบว่าเสิ่นเจิ้นอวี่กำลังเดินมาทางนี้ เขาก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา

หลังจากฉินเจี้ยนเซ่อไปแล้ว ฉินมู่หลานก็หันมองแล้วเอ่ยถามซูหว่านอี๋ “แม่คะ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

ซูหว่านอี๋ส่ายหัวแล้วยิ้มฝืน ก่อนจะพูดขึ้น “แม่ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรก็ดีค่ะ แม่นั่งพักสักหน่อยนะคะ” เมื่อเห็นแม่ไม่อยากพูดอะไรมากมาย ฉินมู่หลานจึงไม่เอ่ยถามอะไรต่ออยู่แล้ว

ตอนนี้ในใจของซูหว่านอี๋กำลังสับสนกระวนกระวาย เมื่อเห็นลูกสาวบอกแบบนั้น ก็นั่งลงพักผ่อนทันที

หลังจากญาติสนิทมิตรสหายมากันครบแล้ว นายท่านเหยากับเจี่ยงสือเหิงก็ยืนขึ้นแล้วเอ่ยทันที “ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองสอบติดมหาวิทยาลัยของทั้งสองพี่น้อง วันนี้ทุกคนดื่มและกินกันให้เต็มที่ไปเลย”

“ได้ ยินดีด้วยๆ”

ทุกคนยิ้มแย้มอย่างสดใสด้วยความยินดี เพราะสองพี่น้องเก่งมากจริง ๆ คนหนึ่งเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ ส่วนอีกคนเข้ามหาวิทยาลัยชิงหัวได้ ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเรียนมาจากไหน

เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักที่เด็กสองคนนี้ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ทั้งแขกและเจ้าภาพจึงได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่ดี

เสิ่นหรูฮวนมองฉินมู่หลานด้วยความอิจฉาก่อนจะพูดขึ้น “มู่หลาน เธอกับเคอวั่งไปเรียนมาจากไหนเนี่ย พวกเธอสองคนเก่งเกินไปแล้ว”

หล่อนรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าฉินมู่หลานกับน้องชายสอบติดมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าทั้งสองพี่น้องจะทำคะแนนได้ดีขนาดนี้

“แค่อ่านหนังสือให้ละเอียดน่ะ หรูฮวน จริง ๆ แล้วเธอก็ทำได้เหมือนกันนะ”

เสิ่นหรูฮวนได้ยินเช่นนี้ ก็ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ฉันคงไม่เอาหรอก ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว”

หล่อนเคยเรียนในวิทยาลัยกรรมาชีพและการทหารมาก่อน จึงนับได้ว่ามีใบคุณวุฒิเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากพาตัวเองไปลำบากตรากตรำเรียนต่ออีกแล้ว นอกจากนี้ต่อให้หล่อนพยายามมากแค่ไหนก็คงไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยชิงหัวได้อย่างแน่นอน

เมื่อเห็นเสิ่นหรูฮวนบอกเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็ไม่พูดอะไรอีก แล้วถามหล่อนเรื่องงานแต่งแทน “จริงสิหรูฮวน แล้วเรื่องงานแต่งของเธอกับซวี่ตงไปถึงไหนแล้ว?”

“ใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ”

เมื่อพูดถึงงานแต่งของตัวเอง ใบหน้าของเสิ่นหรูฮวนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “มู่หลาน ถึงตอนนั้นพวกเธอทุกคนต้องมาร่วมงานนะ”

หลังจากพูดจบก็หันไปมองซูหว่านอี๋แล้วเอ่ยขึ้น “ป้าซูคะ ตอนนี้พวกป้าก็อยู่เมืองหลวงกันแล้ว และงานแต่งของหนูก็ใกล้จะจัดแล้ว พวกป้าอยู่ต่ออีกสักหน่อย แล้วมางานแต่งของหนูด้วยนะคะ”

ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนี้ ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ย “ไม่ต้องห่วงหรอก ที่พวกป้ามาครั้งนี้ ก็เพราะจะมางานแต่งของเธอด้วยนี่แหละ”

“จริงเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากเลยค่ะ” ใบหน้าของเสิ่นหรูฮวนเปี่ยมสุขมาก

หลังจากงานเลี้ยงจบลงแล้ว นายท่านเหยากับเจี่ยงสือเหิงก็ทำการส่งแขกกลับบ้าน จากนั้นทุกคนก็เตรียมตัวเดินทางกลับ

ฉินมู่หลานกับซูหว่านอี๋จะไปพักที่บ้านตระกูลเจี่ยงต่อ ส่วนเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงจะกลับไปที่บ้านตระกูลเหยา

เมื่อเหยาจิ้งจือกับคนอื่นไปแล้ว และฉินมู่หลานกับคนอื่น ๆ ก็ยังไปกันได้ไม่ไกลนัก เซี่ยฉางชิงก็เข้ามาขวางพวกเขาอีกครั้ง

“หว่านอี๋ ขอคุยกับเธอสักเดี๋ยวได้ไหม?”

ฉินเจี้ยนเซ่อเห็นว่าผู้ชายคนนี้มาอีกแล้ว ก็มองด้วยสีหน้าขึงขัง

ส่วนซูหว่านอี๋ก็ส่ายหัวก่อนจะเอ่ยตามตรง “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณค่ะ”

“หว่านอี๋ ผมแค่อยากจะถาม พี่สาวของคุณน่ะ ตอนนี้หล่อนอยู่ที่ไหนเหรอ?”

เมื่อเห็นผู้ชายตรงหน้าคนนี้ถามถึงพี่สาวอีกครั้ง ซูหว่านอี๋ก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ตวาดใส่เซี่ยฉางชิงเสียงดัง “เซี่ยฉางชิง พี่สาวของฉันเสียแล้ว หล่อนเสียแล้ว”

“อะไรนะ…”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยฉางชิงก็ตกตะลึงไปทันที เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะพึมพำ “ไม่มีทาง…เป็นไปได้ยังไง…หว่านอวี๋จะตายได้ยังไงกัน”

“หล่อนเสียแล้ว ก็เพราะโดนคุณฆ่าตายไง”

ในตอนนั้นเอง ซูหว่านอี๋ก็ได้โพล่งความจริงออกมาในที่สุด หล่อนจ้องมองไปด้วยสีหน้าฉุนเฉียว แววตาแดงก่ำ “แล้วทำไมคุณถึงยังกล้าเสนอหน้ามาเจอฉันอีก เพราะฉะนั้นต่อไปอย่าได้พูดถึงพี่สาวของฉันต่อหน้าฉันอีก คุณไม่สมควรจะได้เอ่ยถึง ไม่สมควร!”

ขณะพูด หล่อนก็ไม่อยากจะปรายตามองหน้าเซี่ยฉางชิงอีก ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไปทันที

ฉินมู่หลานเห็นเช่นนี้ก็รีบตามไปทันที เธอรู้ดีว่าสภาพจิตใจของแม่ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก

และเจี่ยงสือเหิงก็ปรายตามองเซี่ยฉางชิงด้วยแววตานึกสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็จากไปเช่นกัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าซูหว่านอี๋กับเซี่ยฉางชิงรู้จักกัน และยังมีเบื้องหลังแบบนี้ด้วย ดูเป็นความความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยฉางชิงกับพี่สาวของซูหว่านอี๋ที่เสียไปแล้วเป็นความสัมพันธ์แบบใด

เขาไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปี จึงไม่ค่อยทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปักกิ่งมากมายนัก

เซี่ยฉางชิงได้ยินคำพูดของซูหว่านอี๋แล้วก็ไม่สามารถดึงสติกลับมาได้ ดังนั้นเมื่อฉินมู่หลานกับคนอื่นไปแล้ว เขาจึงไม่ได้สังเกตอะไร ก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเองต่อไป “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ยังไง ทำไมหว่านอวี๋ถึงตายได้ ทำไมถึง…”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เซี่ยฉางชิงไม่ทันสังเกตเห็นก็คือ เซี่ยอวี่หรงกำลังจ้องมองอยู่ทางด้านหลัง

ดูจากสีหน้าของพ่อที่ยับยู่ขนาดนั้นแล้ว หล่อนก็ทราบได้ทันทีว่าพ่อของตนกับซูหว่านอี๋รู้จักกัน คงมีความสัมพันธ์กับพี่สาวที่เสียชีวิตไปแล้วของซูหว่านอี๋แน่นอน เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเขากันแน่นะ

เซี่ยอวี่หรงรู้สึกได้จากสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้สำคัญมาก แต่ขณะที่หล่อนกำลังครุ่นคิด เติ้งซูหลานก็เดินเข้ามา ก่อนจะเอ่ยถาม “อวี่หรง ทำไมลูกถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ลูกออกไปตามพ่อไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้พ่อของลูกเป็นอะไร ทำไมถึงหายตัวไปตลอดเลย งานเลี้ยงฉลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็จบแล้ว แขกก็กลับกันหมดแล้ว พวกเราก็กลับบ้านกันเถอะ”

เมื่อเห็นแม่เข้ามา เซี่ยอวี่หรงก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “แม่คะ แม่รู้จักคนที่ชื่อซูหว่านอวี๋หรือเปล่า?”

“ซูหว่านอวี๋…”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ แววตาของเติ้งซูหลานก็ส่องประกาย หล่อนขมวดคิ้วก่อนจะหันมองลูกสาว แล้วเอ่ยถาม “ลูกไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน สองพี่น้องตระกูลซูออกจากเมืองหลวงไปตั้งหลายปีแล้ว ลูกไม่มีทางรู้จักพวกหล่อนได้”

“หนูเพิ่งได้ยินมาน่ะค่ะ ดูเหมือนว่าพี่สาวคนที่ชื่อซูหว่านอวี๋จะเสียไปแล้ว แต่คนน้องซูหว่านอี๋ยังอยู่ แม่ของฉินมู่หลานชื่อซูหว่านอี๋ หนูก็เลยรู้”

“อะไรนะ…”

สีหน้าของเติ้งซูหลานเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “หลานสะใภ้ของนายท่านเหยา? เป็นลูกของซูหว่านอี๋อย่างนั้นเหรอเนี่ย?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยอวี่หรงก็อดหันมองแม่ของหล่อนเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถาม “แม่ เหมือนแม่จะไม่ค่อยตกใจที่ซูหว่านอวี๋เสียไปแล้วเลยนะคะ แต่ดูเหมือนว่าพ่อจะไม่รู้เรื่อง แล้วก่อนหน้านี้แม่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าสองพี่น้องนั่นออกจากเมืองหลวงไปแล้ว แม่ก็คงไม่ค่อยได้รู้เรื่องนี่นา”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เรื่องนี้มีเงื่อนงำเสียแล้วสิ สองพี่น้องตระกูลซูมีความสัมพันธ์แบบไหนกับตระกูลเซี่ย แล้วพี่สาวของแม่มู่หลานตายด้วยฝีมือใครบ้าง?

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท