ตอนที่ 266 ไม่ได้รับเชิญ
ตอนที่ 266 ไม่ได้รับเชิญ
เมื่อเห็นสีหน้ายับยู่ของเหยาจิ้งจือ สีหน้าของคุณนายเหยาก็ดูกังวลใจ “แม่ก็แค่สงสัยจึงอยากถามสักสองสามอย่าง ทำไมทุกคนถึงเป็นแบบนี้กันหมดล่ะ เหมือนกับว่าฉันทำผิดอะไรอย่างนั้นแหละ”
“แม่ไม่ควรจะถามอย่างนั้นตั้งแต่แรก”
เหยาจิ้งจือรู้สึกเพียงว่าคุณนายเหยาไม่ควรออกมากินข้าวด้วยซ้ำ นางควรจะอยู่แต่ในห้องไม่ต้องออกมาพบหน้าใครทั้งสิ้น
เดิมทีคุณนายเหยาคิดว่าตัวเองยอมเปิดใจแล้ว จึงอยากจะสานสัมพันธ์กับลูกสาวให้ดี แต่สิ่งที่ลูกสาวเอ่ยกับนางทำให้นางมีสีหน้าน่าเกลียดไป
นอกจากนี้นายท่านเหยาที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นเช่นกัน “ทำไมวันนี้อยู่ ๆ คุณถึงถามเรื่องสองพี่น้องตระกูลซูล่ะ”
ตอนแรกคุณนายเหยาไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว รู้สึกแค่อยากกลับห้องไว ๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของนายท่านเหยา สุดท้ายนางก็อธิบายบางอย่างออกมา “เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันออกไปพบปะกับคุณนายเซี่ยและคนอื่น ๆ บังเอิญพูดถึงเรื่องพี่น้องตระกูลซูขึ้นมา วันนี้ก็เลยอยากถามสักหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายท่านเหยาก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย
“พวกคุณพูดกันก็ไปพูดกันเองสิ แต่ทำไมต้องเอามาพูดต่อหน้าด้วย วันนี้ได้นัดกินข้าวกับครอบครัวฉินมู่หลานเป็นครั้งแรก แล้วแบบนี้ทุกคนจะคิดกับคุณยังไง”
เมื่อเห็นว่านายท่านเหยาก็ตำหนิตนเองเหมือนกัน คุณนายเหยาก็ได้แต่รู้สึกโมโห
“พอแล้ว พวกคุณคิดว่าฉันทำผิดไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นตอนกินข้าวครั้งหน้าก็อย่าเรียกฉันออกมาอีก” พูดจบก็เดินจากไปด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นคุณนายเหยาเดินจากไป นายท่านเหยาก็อดถอนหายใจไม่ได้ ก่อนจะหันไปมองแล้วพูดกับเหยาจิ้งจือ “จิ้งจือ เดี๋ยวพ่อจะค่อย ๆ ไปคุยกับแม่ให้นะ”
ริมฝีปากเหยาจิ้งจือกระตุก ภายในใจไม่ได้นึกถึงเรื่องพวกนี้เลย เพียงแค่เอ่ยเบา ๆ “ถ้าแม่ไม่อยากมากินข้าวร่วมกับพวกเราแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องกินค่ะ” หลังจากพูดจบ ก็เดินพาเซี่ยเหวินปิงกลับมาที่ห้องด้วยกัน
นายท่านเหยาเห็นแบบนี้ ก็รู้สึกเศร้านิดหน่อย
พวกเขาเคยเป็นครอบครัวที่รักใคร่ปรองดองดี ทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ ภรรยาของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
อีกด้านหนึ่ง หลังจากพวกฉินมู่หลานกลับมาถึงบ้านตระกูลเจี่ยงแล้ว ก็ได้พูดถึงคุณนายเหยา
ซูหว่านอี๋หันมองฉินมู่หลานด้วยความกังวลก่อนจะบอกกล่าว “มู่หลาน คุณยายของอาหลี่ค่อนข้างเข้าหายาก ต่อไปถ้าเจอกันอีก ลูกก็พูดให้น้อยลงกินให้มากขึ้น ไม่ต้องพูดอะไรกับท่านเยอะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแล้วก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “ได้ค่ะแม่ หนูเข้าใจแล้ว แม่เองก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ซูหว่านอี๋ส่ายหัว แล้วบอกกล่าว “แม่ไม่เป็นไร”
เจี่ยงสือเหิงที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกว่าสิ่งที่คุณนายเหยาเพิ่งพูดมันดูไม่สมควรนิดหน่อย จึงเอ่ยด้วย “หว่านอี๋ ถ้าเธอไม่สบายใจ ครั้งหน้าเราไม่ต้องไปกินข้าวที่บ้านตระกูลเหยาแล้วก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหว่านอี๋ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าตอบ “ค่ะ”
ฉินเคอวั่งจ้องมองแม่ตัวเองก่อนจะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แม่ครับ เดิมทีแม่เคยเป็นคนปักกิ่งเองหรอกเหรอ ทำไมผมไม่เคยมาก่อนเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่มีพี่สาวที่เสียไปแล้วด้วย”
หลังจากพูดจบ เขาก็กลัวว่าแม่จะยังเศร้าใจ จึงรีบเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แม่ครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้แม่ก็มีพวกเราเป็นครอบครัวแล้วนะ”
เมื่อเห็นลูกชายพยายามปลอบใจเช่นนี้ ซูหว่านอี๋ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องห่วง แม่ไม่เป็นไรจริง ๆ ตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้ว พวกเรารีบไปพักผ่อนกันเถอะ”
“ครับ”
หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปพักผ่อนที่ห้องตัวเอง
ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาถึงห้องแล้วก็อดพูดถึงเซี่ยฉางชิงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เอ่ยพูดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาด้วย “อาหลี่ คุณว่า…ฉันควรบอกพ่อบุญธรรมเรื่องนี้ไหม จะได้ถามเขาบางเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลเซี่ยได้”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินสิ่งนี้ก็เอ่ยขึ้นตามตรง “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณ แต่ถ้าคุณอยากลองสืบเรื่องตระกูลเซี่ย ผมก็ขอให้สหายของผมช่วยตามสืบให้ได้นะ ตอนนั้นเรื่องตระกูลเหยาก็ได้เขาช่วยสืบให้”
“ดี ถ้าอย่างนั้นต้องขอรวบกวนเพื่อนคุณหน่อยแล้ว ครั้งหน้าเราไปเลี้ยงข้าวเขากันเถอะ”
“ได้”
ฉินมู่หลานครุ่นคิดว่าจะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้เจี่ยงสือเหิงได้รับรู้ดีหรือไม่ เธอจึงไปถามซูหว่านอี๋ตามตรง เพื่อขอความคิดเห็นจากหล่อน
ซูหว่านอี๋พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร ยังไงสือเหิงก็เป็นพ่อบุญธรรมของลูก ถ้าจะบอกเขาก็ไม่เป็นไรหรอก เผื่อว่า…” เธอกลัวว่าตระกูลเซี่ยจะรู้เรื่องของมู่หลาน เพราะฉะนั้นหากบอกเจี่ยงสือเหิง ก็จะสามารถตั้งรับสถานการณ์พวกนั้นได้มากขึ้น “ให้พ่อบุญธรรมของลูกรู้เรื่องก็ดีนะ จะได้ให้เขาช่วยคิด”
ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขามาอยู่ที่ปักกิ่งแล้ว ทำให้ซูหว่านอี๋ไม่สบายใจนิดหน่อย รู้สึกตลอดเวลาว่าตัวตนที่แท้จริงของมู่หลานอาจโดนเปิดเผยได้
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปบอกพ่อบุญธรรมค่ะ”
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น หลังจากฉินมู่หลานกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็มองหาโอกาส เล่าเรื่องของตัวเองให้เจี่ยงสือเหิงฟัง
หลังจากเจี่ยงสือเหิงได้ฟังจบ สีหน้าของเขาก็ตกตะลึงไป “นี่…จริง ๆ แล้วลูกเป็นลูกสาวของเซี่ยฉางชิงกับซูหว่านอวี๋หรอกเหรอ นี่มันน่าตกใจมากเลย แถมเซี่ยฉางชิงก็หักหลังซูหว่านอวี๋ด้วย เขามันไม่ใช่ลูกผู้ชาย ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อวานหลังจากกลับมา ลูกถามแม่ว่าไม่เป็นไรใช่ไหม เป็นเพราะนายท่านเหยาพูดถึงเซี่ยฉางชิงนี่เอง”
ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่ค่ะ ตอนที่คุณตาพูดถึงเรื่องที่เซี่ยฉางชอิงไปทำงานอยู่ที่หยางเฉิง สีหน้าของแม่ฉันก็เปลี่ยนทันทีเลยค่ะ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ตระกูลเซี่ยค่อนข้างมีอำนาจใหญ่โต ฉันไม่ได้รู้เรื่องของตระกูลเซี่ยกับเซี่ยฉางชิงขนาดนั้นด้วย ไม่รู้ว่าจะหาจุดอ่อนของตระกูลเซี่ยได้หรือเปล่า”
เธอไม่ได้ปิดบังความคิดของตัวเอง เพราะเซี่ยฉางชิงทอดทิ้งซูหว่านอวี๋ไป ทรยศต่อความรักของหล่อน จากนั้นเซี่ยหว่านอวี๋ก็ตั้งครรภ์และก็ยังรู้สึกเศร้าตลอด ตอนคลอดถึงกับเสียชีวิตไปเนื่องจากภาวะคลอดบุตรยาก และสูญเสียชีวิตวัยสาวไป
ฉินมู่หลานส่ายหัวแล้วบอกกล่าว “ไม่ค่ะ ตอนนี้ฉันมีพ่อแม่แล้ว แล้วก็มีพ่อบุญธรรม ทำไมจะต้องเอาคนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นมาข้องเกี่ยวด้วยอีก”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานบอกว่าเซี่ยฉางชิงเป็นพ่อจอมเจ้าเล่ห์ เจี่ยงสือเหิงก็อดหัวเราะไม่ได้
“ใช่แล้ว คนเจ้าเล่ห์แบบนั้นก็ไม่ต้องไปดึงมาข้องเกี่ยวหรอก”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ลุงเจี่ยงก็เดินเข้ามา เขามองเจี่ยงสือเหิงด้วยสีหน้าลำบากใจก่อนจะพูดขึ้น “นายน้อยครับ สหายเย่อินคนนั้นมาอีกแล้วครับ เห็นว่ามาอวยพรปีใหม่ให้นายน้อยล่วงหน้า”
เมื่อได้ยินแบบนี้ คิ้วของเจี่ยงสือเหิงก็ขมวดปมขึ้น ก่อนจะเอ่ย “นายไปบอกว่าฉันกำลังยุ่ง ให้หล่อนกลับไปก่อนเถอะ”
แต่เมื่อพูดจบ เย่อินก็เดินเข้ามา ก่อนจะพูดขึ้น “ผอ. เจี่ยง ฉันเห็นว่าตอนนี้คุณก็ไม่ได้ยุ่งนะคะ”
เมื่อเห็นเย่อินเดินเข้ามาตรง ๆ เจี่ยงสือเหิงก็อดหันมองลุงเจี่ยงไม่ได้
สีหน้าของลุงเจี่ยงก็ยับยู่มากเช่นกัน เขาเพิ่งบอกไปอย่างชัดเจนแล้ว ว่าจะเข้ามาถามก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเดินเข้ามาทันที ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
ดูเหมือนเย่อินจะไม่สังเกตเห็นความไม่พอใจของเจี่ยงสือเหิง หล่อนวางกล่องของขวัญลงพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็หันมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยทัก “สวัสดีค่ะสหายฉิน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ก่อนหน้านี้ที่พวกเธอเจอกัน เธอแนะนำตัวว่ามู่หลาน นอกจากนี้ยังเรียกเจี่ยงสือเหิงว่า ‘พ่อ’ แต่ตอนนี้เย่อินเรียกเธอว่าสหายฉินอย่างชัดเจน ไม่ได้เรียกว่าสหายเจี่ยง ดูเหมือนว่าหล่อนจะลองสืบดูบ้างแล้ว
“สวัสดีค่ะ สหายเย่”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เรื่องทุกอย่างมันจะพังอีกรอบก็เพราะปากแม่เฒ่านี่แหละค่ะ ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมลูกสาวที่พลัดพรากไปนานถึงเข้าหน้าไม่ติด
สหายเย่ก็ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของพ่อเจี่ยงเกินไป เขาไล่ขนาดนั้นน่าจะพอได้แล้ว
ไหหม่า(海馬)