ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 270 แก่หงำเหงือก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 270 แก่หงำเหงือก

ตอนที่ 270 แก่หงำเหงือก

หลังจากเจี่ยงสือเหิงกลับมาพร้อมกับฉินมู่หลาน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายมีความสุข เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์ดีมาก

ฉินมู่หลานเห็นเช่นนี้ ก็อดพูดไม่ได้ “พ่อคะ หลังจากนี้ถ้ามีเวลา ฉันจะไปเยี่ยมคุณปู่กับคุณย่ากับพ่อนะคะ”

“ได้สิ”

เจี่ยงสือเหิงเห็นด้วยอย่างเต็มที่ แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หลังจากทั้งสองคนกลับมา ลุงเจี่ยงก็ได้เตรียมมื้อกลางวันสุดหรูเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ฉินเจี้ยนเซ่อและครอบครัวรวมถึงเซี่ยเจ๋อหลี่ต่างก็อยู่ในห้องกินอาหาร เมื่อเห็นพวกเขากลับมา ฉินเจี้ยนเซ่อก็อดยิ้มไม่ได้ “สือเหิง มู่หลาน ทุกคนกลับมาก็ดีเลย จะได้กินข้าวกัน”

หลังจากเจี่ยงสือเหิงกับฉินมู่หลานนั่งลง ทุกคนก็เริ่มรับประทานอาหารกันอย่างช้า ๆ และเจี่ยงสือเหิงก็ได้พูดคุยเรื่องที่จะให้ฉินเคอวั่งมาเป็นลูกศิษย์ของเพื่อน

“เพื่อนสนิทของผมเคยสอนในภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว แต่ว่า…หลังจากเกษียณแล้วกลับมาที่เมืองหลวง เขาก็ไม่สอนอีกแล้ว อยากจะใช้ชีวิตเรียบง่ายสบาย ๆ แต่เดิมเขาเป็นคนที่เก่งมาก คงจะดีหากเคอวั่งได้เป็นลูกศิษย์ของเขาได้ แต่จะสำเร็จไหมนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเคอวั่งเข้าตาเขาหรือเปล่า”

ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็รีบพูดขึ้นทันที “สือเหิง ขอบคุณคุณมากนะครับ ถ้าเคอวั่งได้เป็นศิษย์ก็คงดี แต่ถ้าหากไม่ นั่นก็เป็นเพราะพรสวรรค์ของเขายังไม่เพียงพอ”

ทั้งสองเอ่ยถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องเตรียมตัวยังไงบ้างเหรอ?”

เจี่ยงสือเหิงส่ายหัวแล้วบอกกล่าว “ไม่ต้องเตรียมอะไรเลย พรุ่งนี้ทุกคนก็ไปที่บ้านตระกูลเหยา แล้วเดี๋ยวผมจะไปติดต่อหาเพื่อนคนนั้น วันมะรืนนี้จะพาเคอวั่งไปให้เขาลองดู ถ้าเคอวั่งเข้าตาเพื่อนผม ถึงตอนนั้นก็จะได้เป็นศิษย์เอง”

“ได้ๆๆ ถ้าอย่างนั้นต้องขอรบกวนคุณด้วยนะ สือเหิง”

สีหน้าของฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋เต็มไปด้วยความคาดหวัง พวกเขาย่อมอยากให้ลูกได้อาจารย์ที่เก่งอยู่แล้ว หากมีอาจารย์คอยสอน ก็จะได้เรียนรู้ทักษะที่แท้จริง

ฉินเคอวั่งเองก็ค่อนข้างเป็นกังวล ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจว่าในช่วงสองวันนี้จะต้องไม่ทำตัวเหลวแหลก จะต้องไปวาดรูปต่อ

หลังจากกินข้าวเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน

เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น หลังฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่เก็บข้าวของแล้วก็มุ่งหน้าพาฉินเจี้ยนเซ่อกับคนอื่น ๆ ตรงไปที่บ้านตระกูลเหยา

เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงรอพวกเขาอยู่ตรงหน้าประตูเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นพวกเขามากันแล้ว ก็รีบก้าวเดินตรงมาแล้วยกยิ้ม

“เจี้ยนเซ่อ คุณมาแล้วเหรอ”

หลังจากเอ่ยจบเขาก็ทักทายลูกชายคนเล็กกับลูกสะใภ้คนเล็กอีกครั้ง หลังจากนั้นทั้งสองก็เข้ามาอุ้มเด็กน้อยทั้งสองไป “เฉินเฉิน ชิงชิง พวกหลานคิดถึงคุณปู่กับคุณย่าไหมจ๊ะ”

เด็กทั้งสองห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม หน้าเล็กขึ้นสีแดงระเรื่อ ดูน่ารักมาก

“ไอ้หยา…เด็กดีของย่า พวกหลานนี่น่ารักกันจังเลยนะ”

เหยาจิ้งจือรู้สึกใจอ่อนระทวยไปหมด

เซี่ยเหวินปิงก็รู้สึกผ่อนคลายเช่นกัน หลังจากนั้นรีบเรียกทุกคนเข้ามา เพราะอากาศค่อนข้างหนาว รีบพาเด็กทั้งสองเข้าบ้านจะเป็นการดีกว่า

หลังจากทุกคนมาแล้ว นายท่านเหยาก็เอ่ยทักทายฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋พร้อมรอยยิ้มทันที จากนั้นก็หันมองเด็กทั้งสอง “เฉินเฉิน ชิงชิง มากันแล้วเหรอ”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็เดินออกมาข้างหน้าเช่นกัน การที่น้องสามีน้องสะใภ้ได้ลูกแฝดชายหญิงทำให้หล่อนรู้สึกอิจฉามากจนอยากจะมีลูกอีกสักคน ตอนนี้หล่อนมีเสี่ยวอวี๋เป็นลูกชายคนเดียว หากมีลูกเยอะชีวิตก็จะคึกครื้นมากขึ้น

เสี่ยวอวี๋ก็อยากเจอน้องชายกับน้องสาวด้วย

ฉินมู่หลานเห็นว่าเด็กทั้งสองดูเป็นที่ต้องการมากขนาดไหน ก็อดพูดด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “เฉินเฉินกับชิงชิงอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรายล้อมนะคะ”

“ใช่แล้ว เฉินเฉินกับชิงชิงของเราน่ารักจริง ๆ”

เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ต่างก็เอ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อถึงเวลากินข้าว ฉินมู่หลานก็พบว่าวันนี้คุณนายเหยาไม่ได้ออกมา

นายท่านเหยาไม่ได้อธิบายอะไรมาก ก่อนจะเอ่ยพูดเพียงประโยคเดียว “คุณยายของพวกหลานเจ็บคอ ก็เลยไม่ได้ออกมากินข้าวกับพวกเรา กลัวว่าเด็กสองคนจะติดหวัดเอา”

และคนอื่นก็ไม่ได้เอ่ยถามถึงต่อ ได้แต่กินข้าวกันอย่างคึกครื้น

ตอนแรกเด็กทั้งสองคนมีพลังล้นเหลือมาก แต่หลังจากผ่านไปสักพักก็เริ่มหาวแล้วหลับไป

เหยาจิ้งจือเห็นเช่นนี้ ก็อดพูดไม่ได้ “มู่หลาน เดี๋ยวฉันพาเจ้าหนูไปนอนก่อน ห้องของพวกเธอมีเปลอยู่ ทำเอาไว้ให้เจ้าหนูทั้งสองนอนตอนที่พวกเธอมาเนี่ยแหละ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น “แม่คะ เดี๋ยวฉันกับอาหลี่อุ้มไปเองก็ได้ พวกแม่กินข้าวเถอะค่ะ”

ในตอนนี้เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เขากับฉินมู่หลานต่างอุ้มลูกด้วยกัน ก่อนเดินไปทางลานบ้านตระกูลเหยาทางฝั่งที่พวกเขาเคยพักอาศัยอยู่ แต่เมื่อทั้งสองเดินผ่านบ้านใหญ่ ก็เห็นคุณนายเหยาเดินออกไปข้างนอก

คุณนายเหยาไม่ทันสังเกตเห็นพวกเขา เพราะตอนนี้นางกำลังเดินคุยอยู่กับหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง “อี้หนิงมาปักกิ่งแล้ว ช่วงนี้เจ้าเด็กคนนั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก จะกลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้านก็ไม่ได้ ฉันก็ทำได้แค่ต้องออกไปเจอเขาข้างนอก”

คำพูดยิ่งห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่คุณนายเหยาจากไป ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับลูก ๆ ในอ้อมแขนของพวกเขา

ฉินมู่หลานอดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะเสียงเบา ก่อนจะเอ่ย “คุณนายนี่แก่หงำเหงือกแล้วแท้ ๆ หลานชายแท้ ๆ มาหากลับไม่เสนอหน้าออกมา แต่กลับอยากออกไปเจอเหยาอี้หนิงที่เป็นคนนอก”

ตอนนี้เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้สนใจคุณนายเหยาเลย เขาจึงไม่ได้คัดค้านที่คุณนายเหยาจะออกไปเจอเหยาอี้หนิง “ท่านอยากไปก็ให้ท่านไปเถอะ แต่เหยาอี้หนิงนี่ก็จริงๆ เลย ถ่อมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้เรื่องคุณนายเหยา หวังอยากจะจับท่านให้อยู่หมัด”

“นอกจากคุณนายเหยา ก็ไม่มีใครดูแลเหยาอี้หนิงได้อีกแล้ว”

หลังจากทั้งสองพูดคุยกันอยู่ไม่กี่คำ ก็ไม่ได้พูดถึงอีก

คุณนายเหยาออกไปพบเหยาอี้หนิง ทว่าหลังจากมาถึงโรงแรมที่นัดพบเหยาอี้หนิงไว้ก็ได้เจอเริ่นม่านลี่อยู่ที่นั่นด้วย

เมื่อเห็นเริ่นม่านลี่ คุณนายเหยาก็ขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นก็หันมองเหยาอี้หนิงก่อนจะพูดขึ้น “อี้หนิง เธอกับม่านลี่หย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้พวกเธอสองคนอยู่ด้วยกัน?”

ไม่ทันที่เหยาอี้หนิงจะได้พูด เริ่นม่านลี่ก็เอ่ยขึ้นก่อน “คุณย่าคะ เมื่อก่อนฉันหุนหันพลันแล่นไปหน่อย หลังจากที่หย่ากับอี้หนิงแล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่ายังลืมเขาไม่ได้ ครั้งนี้พอรู้ว่าเขามาถึงเมืองหลวงแล้ว จึงติดต่อเขาไปอีกครั้ง วันนี้เลยมาเจอคุณย่าพร้อมกับเขา เพราะฉันเองก็ไม่ได้เจอคุณย่ามานานมากแล้ว”

เหยาอี้หนิงได้ยินเช่นนี้ก็ปรายตามองเริ่นม่านลี่

ผู้หญิงคนนี้ตอนที่ตัวเขาเองตกต่ำถึงขั้นสุดกลับเลือกหย่ากับเขา ตอนนี้กลับมาขอคืนดีอีกรอบ ไม่รู้ว่าหล่อนมีแผนการอะไรอีก แต่ก็เป็นไปได้ว่าหล่อนอาจจะเสียใจจริง ๆ เพราะพวกเขาสองคนเป็นคู่รักกันมานานหลายปี จึงเป็นเรื่องปกติที่หล่อนจะยังลืมเขาไม่ได้

คุณนายเหยาได้ยินดังนี้ก็มีสีหน้าอ่อนลง ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเธอหุนหันพลันแล่นเกินไปจริง ๆ ตอนนี้ก็คิดกันให้รอบคอบ ถ้าลืมกันไม่ได้จริง ๆ ก็แต่งงานกันใหม่ได้นะ”

เริ่นม่านลี่พยักหน้าตอบตกลงในทันที

เหยาอี้หนิงเฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้า จากนั้นมองคุณนายเหยาแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “คุณย่าครับ สุขสันต์วันปีใหม่ครับ”

“ดี ๆ สุขสันต์วันปีใหม่พวกเธอเหมือนกันนะ”

หลังจากคุณนายเหยานั่งลงแล้ว อาหารก็ถูกเสิร์ฟ พวกเขาทั้งสามทานอาหารกันภายใต้บรรยากาศรักใคร่กลมเกลียว แต่เมื่อกินเสร็จ อยู่ ๆ เริ่นม่านลี่ก็เอ่ยถามขึ้น

“คุณย่าคะ ฉันได้ยินมาว่าฉินมู่หลานสอบติดมหาวิทยาลัยแล้ว ครอบครัวก็เลี้ยงฉลองให้ด้วย นี่เป็นเรื่องจริงเหรอคะ? หล่อนสอบติดมหาวิทยาลัยจริง ๆ เหรอ?”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แปลกๆ นะคุณนายเหยา ลูกหลานแท้ๆ มาหาไม่ต้อนรับ กลับไปต้อนรับหลานนอก

กะจะใช้เส้นอะไรเข้ามหาวิทยาลัยหรือเปล่านะยัยม่านลี่ ทำไมถึงถามแบบนี้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท