ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 271 เป็นอย่างไร

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 271 เป็นอย่างไร

ตอนที่ 271 เป็นอย่างไร

คุณนายเหยาได้ยินสิ่งที่เริ่นม่านลี่พูดก็ยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่แล้ว ภรรยาของอาหลี่สอบติดมหาวิทยาลัยจริง ๆ ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่บ้านก็เลยจัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่หล่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ให้”

“อะไรนะ….มหาวิทยาลัยปักกิ่ง!”

เริ่นม่านลี่ได้แต่รู้สึกเหลือเชื่อ “หล่อน…ทำไมหล่อนถึงสอบได้คะแนนดีขนาดนี้”

“ใช่แล้ว ภรรยาของอาหลี่กับน้องชายของหล่อนสอบได้คะแนนดีมาก หล่อนได้มหาวิทยาลัยปักกิ่ง น้องชายหล่อนได้ที่ชิงหัว”

ตอนนี้แม้แต่เหยาอี้หนิงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “พวกเขาสองพี่น้องเก่งกันจังเลย” ตอนแรกเขาคิดว่าเซี่ยเจ๋อหลี่แต่งกับภรรยาที่มาจากชนบท จึงไม่น่าช่วยส่งเสริมเซี่ยเจ๋อหลี่ในด้านใดได้ แต่หลังจากได้รู้จักเธอมากขึ้นก็พบว่าภรรยาของอาหลี่เก่งเรื่องยาสมุนไพรมาก ตอนนี้ยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้อีก ถ้าอย่างนั้นต่อไปอนาคตคงดีแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนั้น สีหน้าของเหยาอี้หนิงก็ดูไม่ค่อยดีนัก

เริ่นม่านลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน

บรรยากาศที่ค่อนข้างกลมเกลียวในตอนแรกดูคุกรุ่นขึ้นในทันที เริ่นม่านลี่รู้สึกตัวได้เป็นคนแรกจึงรีบหันมองแล้วถามคุณนายเหยา “คุณย่าคะ พวกเรากินข้าวกันต่อเถอะค่ะ อีกสองวันอี้หนิงก็จะต้องกลับแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยมาทานข้าวกันอีกนะคะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ คุณนายเหยาก็พยักหน้า

หลังจากกินข้าวเสร็จ เริ่นม่านลี่กับเหยาอี้หนิงก็บอกลาคุณนายเหยา จากนั้นเริ่นม่านลี่ก็หันมองเหยาอี้หนิงแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “ฉันจะกลับไปอวยพรปีใหม่ให้ที่บ้าน คุณล่ะ?”

เหยาอี้หนิงได้ยินเช่นนี้ ก็หันมองเริ่นม่านลี่ด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม ”คุณก็รู้อยู่แล้วว่าผมไม่มีที่อื่นในเมืองหลวงให้ไป แล้วทำไมถึงยังจะถามแบบนี้อีก“

“ฉันผิดเอง เพราะจำได้ว่าคุณมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่เมืองหลวง ก็เลยคิดว่าคุณจะไปหาเพื่อน ถ้าคุณไม่มีธุระต้องไปไหน อย่างนั้นฉันก็ไม่กลับบ้านแล้วล่ะ ไปเดินเล่นกับคุณดีกว่า”

เหยาอี้หนิงปฏิเสธทันที “ไม่ต้องหรอก คุณกลับบ้านไปเถอะ ปีใหม่ทั้งทีก็ควรจะกลับไปบ้าน”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังแล้วเดินไป

เริ่นม่านลี่เฝ้ามองร่างของเหยาอี้หนิงเดินจากไปแล้วห่อปากตัวเอง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปเช่นกัน แต่ว่าหล่อนไม่ได้กลับบ้าน ตรงไปที่ร้านอาหารตะวันตกแทน

หลังจากไปถึงก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง ก่อนจะตรงไปที่โต๊ะตัวแรก

“มาสิ นั่งลงกินอะไรสักหน่อย”

เริ่นม่านลี่นั่งลงหยิบมีดและส้อมขึ้นมาแล้วกินไปสองคำ ก่อนจะพูดขึ้น “เมื่อกี้ฉันยังกินไม่อิ่มเลย อาหารตะวันตกอร่อยกว่าเยอะ”

ขณะเอ่ยก็จ้องมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนจะทำอย่างที่เคย “วันนี้ไม่มีเบาะแสอะไรเลย รู้แค่ว่าฉินมู่หลานสอบติดมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ น้องชายของหล่อนก็สอบติดที่มหาวิทยาลัยชิงหัว ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทั้งสองพี่น้องจะทำคะแนนได้ดีขนาดนั้น”

หลังจากพูดจบ สายตาของเริ่นม่านลี่ก็เต็มไปด้วยความอิจฉา

อันที่จริงครั้งนี้หล่อนก็ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยเหมือนกัน แต่สอบได้คะแนนไม่ค่อยดีนัก การที่ฉินมู่หลานทำคะแนนได้ดีขนาดนั้นทำให้ในใจหล่อนรู้สึกไม่เป็นสุขอย่างมาก ก่อนหน้าได้ยินมาว่าฉินมู่หลานมาจากชนบท หล่อนจึงรู้สึกว่าตนเองสูงส่งกว่าฉินมู่หลาน แต่ตอนนี้ฉินมู่หลานกลับกำลังก้าวนำหน้าไปอย่างช้า ๆ

เซี่ยอวี่หรงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีท่าทางประหลาดใจ หลังจากได้ยินคำพูดของเริ่นม่านลี่ สีหน้าของหล่อนก็มืดหม่นลงทันที

“อะไรนะ…เธอเข้าใจผิดไปหรือเปล่า ฉินมู่หลานเนี่ยนะจะสอบติดมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้”

เมื่อเห็นท่าทางของเซี่ยอวี่หรงดูยอมรับไม่ได้ เริ่นม่านลี่ก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เพราะยังมีคนอื่นที่รับไม่ได้เช่นกัน “ฉันเข้าใจไม่ผิดแน่นอน ฉินมู่หลานกับน้องชายสอบติดมหาวิทยาลัย ตระกูลเหยากับตระกูลเจี่ยงก็ยังจัดงานเลี้ยงฉลองเข้ามหาวิทยาลัยให้พวกเขาสองพี่น้องด้วยที่โรงแรมปักกิ่งด้วย ฉันจำได้ว่าเธอก็จัดงานเลี้ยงฉลองเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่นั่นเหมือนกัน”

เซี่ยอวี่หรงทราบอยู่แล้วว่าฉินมู่หลานจัดงานเลี้ยงฉลองเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะพวกเขาจัดงานวันเดียวกัน แต่สิ่งที่หล่อนยอมรับไม่ได้คือฉินมู่หลานสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกับหล่อน

เริ่นม่านลี่บอกทุกอย่างที่ตัวเองทราบ จากนั้นก็ลงมือกินเนื้อสเต็กอย่างรวดเร็ว เมื่อสักครู่หล่อนเพิ่งไปพบคุณนายเหยากับเหยาอี้หนิงก็เอาแต่คอยพูดให้บรรยากาศดีขึ้นอยู่ตลอด จึงไม่ค่อยได้กินอะไรเลย ตอนนี้จึงอยากลงมือกินมาก แต่หลังจากกินเสร็จแล้วก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่อยากรู้มากที่สุด

“ที่เธอเพิ่งบอกไปก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงใช่ไหม ว่าจะนัดดูตัวกับหลิวเสวียข่ายจากตระกูลหลิวให้”

เซี่ยอวี่หรงได้ยินเช่นนี้ ก็หันมองเริ่นม่านลี่ แล้วเอ่ยขึ้น “จริงแน่นอน สิ่งที่เธอต้องเตรียมก็แค่แต่งตัวให้ดีแล้วไปดูตัว”

“ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอฟังข่าวจากเธอ”

ตระกูลหลิวก็เป็นตระกูลอันทรงเกียรติในปักกิ่งเช่นกัน

ถึงแม้ว่าภรรยาของหลิวเสวียข่ายจะจากไปแล้ว แต่เขาก็ยังมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน ฐานะของเขาในตอนนี้ค่อนข้างดีมาก ต่อไปก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหล่อนเองก็เพิ่งหย่าร้างมาเหมือนกัน หากได้แต่งงานใหม่กับหลิวเสวียข่ายแห่งตระกูลหลิวได้ ก็จะเป็นการดีไม่น้อย

เมื่อเห็นสายตาของเริ่นม่านลี่เต็มไปด้วยความคาดหวังดีใจ เซี่ยอวี่หรงก็อดเบ้ปากไม่ได้ สิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าคิดได้มากที่สุดก็คือการหาผู้ชายดี ๆ มาแต่งงานด้วย ไม่เคยคิดถึงเรื่องพึ่งพาตัวเอง แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว ตราบใดที่เริ่นม่านลี่มีความทะเยอทะยานต้องการบางสิ่ง หล่อนก็สามารถใช้งานอีกฝ่ายได้ “อย่าลืมเรื่องที่เธอสัญญาก่อนหน้านี้ด้วย นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปยังมีอีกหลายอย่างที่เธอต้องทำ”

“วางใจได้ ฉันจัดการพวกเรื่องเล็กน้อยนี้ได้อยู่แล้ว”

หลังจากกินสเต็กเสร็จ เริ่นม่านลี่ก็กลับไป

อีกด้านหนึ่ง หลังจากคุณนายเหยากลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าฉินมู่หลานกับคนอื่นกลับไปแล้ว ส่วนพวกลูกสาวกับลูกชายคนโตยังอยู่ที่นี่

เมื่อนายท่านเหยาเห็นว่าคุณนายเหยากลับมาจากข้างนอก ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณไปไหนมา ไม่ใช่ว่าเจ็บคอหรอกเหรอ ทำไมถึงยังออกไปข้างนอกอีก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ คุณนายเหยาก็หันไปจ้องมองนายท่านเหยา แล้วเอ่ย “ฉันจะออกไปข้างนอกบ้างไม่ได้เหรอ ปีใหม่ทั้งที ฉันจะออกไปเดินเล่นบ้างไม่ได้หรือไง”

เมื่อเห็นท่าทางของหญิงชราเป็นเช่นนี้ นายท่านเหยาก็ไม่เอ่ยพูดอะไรอีก แล้วหันหลังกลับไปที่ห้องหนังสือ

สีหน้าของคุณนายเหยาดูยับยู่นิดหน่อยขณะเฝ้ามองแผ่นหลังของนายท่านเหยาเดินจากไป ตั้งแต่ครั้งนั้นชายชราก็เริ่มหมดความอดทนกับนาง ตอนนี้พูดกับนางเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้พูดคุยด้วยกันอีก นางในตอนนี้ไม่มีสถานะอะไรในครอบครัวนี้อีกต่อไปแล้ว

ฉินมู่หลานก็ไม่ได้ทราบเรื่องทางฝั่งตระกูลเหยาเลย ตอนนี้พวกเขากลับไปถึงบ้านตระกูลเจี่ยงเรียบร้อยแล้ว หลังจากพวกเขากลับเข้าบ้าน ก็พบว่าเจี่ยงสือเหิงกลับมาแล้ว

ซูหว่านอี๋เห็นเช่นนี้จึงรีบเอ่ยถาม “สือเหิง พรุ่งนี้คุณกับเคอวั่งต้องออกไปข้างนอกใช่ไหมคะ?”

เจี่ยงสือเหิงพยักหน้า แล้วพูดขึ้น “พรุ่งนี้เพื่อนของผมว่างพอดี ก็เลยว่าจะพาเคอวั่งไปที่นั่นเลย

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย” ขณะพูเดก็หันไปมองลูกชายตัวเอง ก่อนจะเอ่ย “เคอวั่ง พรุ่งนี้ก็ขึ้นอยู๋กับโชคของลูกแล้วล่ะ”

ถึงแม้ว่าฉินเคอวั่งจะรู้สึกกังวลนิดหน่อย แต่เขาก็ทราบดีว่าไม่สามารถบังคับโชคชะตาได้ จึงยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ขึ้นอยู่กับโชคแล้วล่ะครับ”

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เจี่ยงสือเหิงก็พาฉินเคอวั่งออกไปแต่เช้า

ซูหว่านอี๋รู้สึกกังวลนิดหน่อยเมื่อเฝ้ามองลูกชายออกไป ฉินมู่หลานเฝ้ามองแม่เดินวนไปมารอบ ๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้ “แม่คะ พ่อบุญธรรมกับเคอวั่งเพิ่งจะออกไปเอง คงไม่ได้กลับเร็วขนาดนั้นหรอกค่ะ แม่นั่งพักก่อนเถอะ”

“แม่ก็ต้องกังวลบ้างไม่ใช่เหรอไง”

ซูหว่านอี๋ก็ยังเชื่อฟังลูกสาวอยู่ จึงยอมนั่งลง เพียงแต่ในตอนเช้าเช่นนี้ไม่ค่อยมีพลังงานมากเท่าใด จนกระทั่งเจี่ยงสือเหิงกับฉินเคอวั่งกลับมา ก็รีบตรงถลาเข้าไปเอ่ยถาม “เป็นยังไงบ้าง?”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ยัยม่านลี่หลังหย่าแล้วก็มาเป็นนาตาชาให้ยัยอวี่หรงนี่เอง ได้ค่าจ้างเท่าไหร่ล่ะ

เคอวั่งจะได้ฝากตัวกับอาจารย์ไหมนะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท