เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 371 ห้องสมุดเคลื่อนที่

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 371 ห้องสมุดเคลื่อนที่

บทที่ 371 ห้องสมุดเคลื่อนที่

เนื่องจากสูญเสียนางไป ดวงดาราสีน้ำเงินจึงเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว สาเหตุหลักเป็นเพราะผลกระทบจากการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษยชาติ มลพิษจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไม่อาจย้อนคืนได้อีก

แต่ในช่วงเวลาความเป็นความตาย เสี่ยวเป่าได้ถ่ายทอดพลังทั้งหมดของตนไปที่เทียนเต้าท่ามกลางสติที่เลือนราง แม้แต่นางเองก็จำเรื่องนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

เทียนเต้าและดวงดาราสีน้ำเงินดำรงอยู่และดับสูญไปพร้อมกัน การกระทำของเสี่ยวเป่าทำให้เทียนเต้ามีโอกาสพลิกสถานการณ์ อย่างน้อยก็ช่วยให้ดวงดาราสีน้ำเงินดำรงอยู่ต่อไปได้นานขึ้นอีกหน่อย

แต่ก็ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เทียนเต้าติดหนี้เคราะห์กรรม และจำเป็นต้องชดใช้คืน ดังนั้นจึงแบ่งเศษเสี้ยวของวิญญาณไปยังโลกที่เสี่ยวเป่าดำรงอยู่ หวังจะออกตามหาเพื่อหาวิธีชดใช้หนี้กรรมนี้เสีย

ทว่าโลกที่เสี่ยวเป่าใช้ชีวิตอยู่ก็มีเทียนเต้าเช่นเดียวกัน ซึ่งเทียนเต้าทั้งสองโลกต่างขัดแย้งกันและกัน หลังจากที่จิตวิญญาณของนางตกลงสู่โลกใบนี้ ร่องรอยของเสี่ยวเป่าก็ถูกปิดกั้นโดยเทียนเต้าของโลกใบนี้ ทำให้จิตวิญญาณของนางหลงทาง สุดท้ายจึงสูญสิ้นพลังและแปรเปลี่ยนกลายเป็นก้อนหินที่ดูแปลกตา

หรือก็คือก้อนหินที่เสี่ยวเป่าได้มาจากหนานจ้าวนั่นเอง

ถือเป็นความโชคดีที่เสี่ยวเป่ามีโชคติดตัวอยู่เสมอ นางถูกใจหินก้อนนั้นโดยบังเอิญและซื้อมันกลับมา ทั้งยังพกติดตัวและคอยฟูมฟักด้วยพลังวิญญาณ กระทั่งคืนนี้ที่มันมีพลังเพียงพอที่จะสัมผัสถึงเสี่ยวเป่าและนำพาจิตวิญญาณของนางมายังมิตินี้

“บัดนี้ดวงวิญญาณของเจ้าได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่แล้ว มิอาจกลับไปยังโลกเดิมของเจ้าได้อีก แต่ข้าชดเชยให้เจ้าได้ เจ้าต้องการสิ่งใด หากว่ามิเกินความสามารถของข้า ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา”

เสี่ยวเป่าไม่ได้ตกใจมากนักตอนที่ได้ยินว่าตนไม่สามารถกลับไปยังโลกเดิมได้อีก หรือต่อให้กลับไปได้ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ

ที่นี่มีเรื่องให้นางต้องกังวลมากเกินไปและมิอาจปล่อยวางได้

ดังนั้นตอนที่นางได้ยินว่าเทียนเต้าจะชดเชยให้ตน ดวงตาของเสี่ยวเป่าก็เป็นประกายในทันใด นางกำลังกลุ้มใจว่าจะช่วยท่านพ่ออย่างไรอยู่พอดี คิดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นจริง ๆ

“เสี่ยวเป่าอยากมีทักษะเยอะ ๆ จะได้ช่วยเหลือท่านพ่อได้”

เทียนเต้าครุ่นคิดอยู่สองอึดใจ จากนั้นหินก้อนเล็กก็ลอยไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง

ศิลานี้ดูคุ้นตานัก มันคือก้อนหินรูปไข่ก้อนเดียวกับที่นางถ่ายเทพลังวิญญาณไปให้นั่นเอง

และก็ยังเป็นหินที่กักเก็บจิตวิญาณของเทียนเต้าเอาไว้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะมอบห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือทุกเล่มบนโลกให้แก่เจ้า หากอยากรู้สิ่งใด สิ่งที่เจ้าต้องทำก็เพียงแค่ใช้ความคิด แต่ว่าหนังสือในห้องสมุดแห่งนี้มิอาจนำออกมาได้ มีเพียงเจ้าผู้เดียวที่จะอ่านมันได้”

นางเคารพกฎเกณฑ์แห่งเทียนเต้าของโลกใบนี้ หากว่าหนังสือพวกนี้เล็ดลอดออกไปต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน

เสี่ยวเป่าเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ “เช่นนั้นเสี่ยวเป่าคัดลอกหนังสือออกไปได้หรือไม่ ให้คนอื่นอ่านด้วยไม่ได้จริง ๆ หรือ เสี่ยวเป่าคัดลอกหนังสือคนเดียวไม่ไหวแน่ ๆ เสี่ยวเป่าจะแบ่งแสงแห่งบุญที่เหลือให้ท่าน แต่ท่านให้เสี่ยวเป่าพาคนไปอ่านเพิ่มอีกสักคนได้หรือไม่”

ตอนนี้แม้แต่เสี่ยวเป่าก็มองเห็นแสงสีทองที่เปี่ยมไปด้วยบุญบารมีเปล่งประกายออกมาจากร่างของตน

นางรู้ว่าห้องสมุดของโลกนั้นอัดแน่นไปด้วยหนังสือมากมาย นางต้องใช้เวลามากเพียงใดจึงจะสามารถอ่านจบได้ด้วยตัวคนเดียว

ไหนจะคัดลอกอีก ต่อให้คัดลอกหนังสือด้วยมือทั้งชาติก็ไม่มีวันเสร็จ

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น เทียนเต้าก็เกิดลังเล เนื่องจากแสงแห่งบุญนับว่ามีประโยชน์แก่นางอย่างยิ่ง ในที่สุดนางก็พูดขึ้น

“เจ้ายินดียกแสงแห่งบุญให้ข้าจริงหรือ”

เสี่ยวเป่ารีบพูด “ยินดี ๆ แน่นอนว่าถ้าท่านให้เสี่ยวเป่าพาคนไปเพิ่มอีกก็จะยิ่งดีเลย”

นางพยายามต่อรองอีกหน่อย หากว่าสำเร็จก็ดีไป แต่ถ้าไม่ นางก็ไม่ขาดทุน

เทียนเต้า “…”

ไร้เงาของภูตพฤกษาตัวน้อยผู้ไร้เดียงสาคนเก่า บัดนี้เสี่ยวเป่ารู้จักใช้กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างแล้ว

แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่ตนเฝ้าดูจนเติบใหญ่ มิหนำซ้ำยังเคยช่วยเหลือตนไว้มากมาย แล้วไหนจะแสงแห่งบุญอีก

เทียนเต้าเหลือบมองนาง โลกที่สับสนวุ่นวายของตน ก็ได้บุญบารมีของนางที่ช่วยให้สรรพสิ่งได้เติบโต

และเมื่อนางมายังโลกอีกใบ บุญบารมีนั้นก็ช่วยเหลือจักรพรรดิแห่งโลกนั้นขุดรากถอนโคนสิ่งชั่วร้ายที่เป็นหายนะต่อโลกจนสิ้น

หากให้เพิ่มแค่คนเดียวก็ดูจะเอาเปรียบนางเกินไปหน่อย

“ตกลง ข้าให้เจ้าพาคนเข้าห้องสมุดได้สองคน หากแต่ด้วยข้อจำกัดของยุคสมัย คลังความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและอาวุธชั้นสูงจะถูกปิดผนึกไว้เป็นการชั่วคราว”

ทันทีที่นางพูดจบ เสี่ยวเป่าก็รู้สึกสะลึมสะลือราวกับว่าตัวเองกำลังจะตื่น ทุกสิ่งตรงหน้าเริ่มพร่ามัวและบิดเบี้ยว

“จงจำเอาไว้ อย่าทำร้ายสิ่งแวดล้อมมากเกินไป มิเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย เช่นนี้แล้วหนี้ที่ข้าติดค้างเจ้าก็เป็นอันสิ้นสุด จิตใจมนุษย์นั้นไม่เที่ยง อย่าไว้ใจผู้ใดง่ายดายเกินไปนัก จงรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี”

เทียนเต้าย้ำเตือนเสี่ยวเป่าในตอนสุดท้าย

ธรรมชาติของมนุษย์นั้นละโมบโลภมาก จิตใจมนุษย์ไม่แน่นอน ในฐานะเทียนเต้า นี่คือสิ่งที่นางสัมผัสได้มากที่สุดจากการเฝ้าดูเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นบนโลกนับไม่ถ้วน

นางไม่ต้องการให้ภูตพฤกษาตัวน้อยมีทรัพย์สมบัติล้ำค่ามากมาย และต้องมีจุดจบอันน่าเศร้าในท้ายที่สุด

ดังนั้นเมื่อเสี่ยวเป่าตายไป รางวัลที่นางมอบให้ก็จะสลายหายไปพร้อมกับนางด้วย มิเช่นนั้นแล้วมันจะก่อให้เกิดกลียุคแก่โลกของเสี่ยวเป่าอย่างแน่นอน

เสียงอันเลื่อนลอยดังแว่วขึ้นในหู เสี่ยวเป่าเพียงรู้สึกถึงแรงฉุดรั้ง เมื่อนางลืมตาตื่นขึ้นก็พบชุนสี่ยืนอยู่ข้างเตียง

“องค์หญิงตื่นแล้วหรือเพคะ วันนี้หลับลึกจริงเชียว”

เมื่อทอดสายตามองท้องฟ้าด้านนอก ก็พบว่าถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว นางลุกนั่งอย่างเหม่อลอย แววตาดูสับสนงุนงงเล็กน้อย

“องค์หญิงไม่สบายหรือเพคะ”

ชุนสี่รู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของนาง

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “เสี่ยวเป่าไม่เป็นอะไร ท่านพ่ออยู่ไหนหรือ”

“ฝ่าบาทกำลังรอองค์หญิงไปเสวยพระกระยาหารด้วยกันเพคะ”

เสี่ยวเป่าพยักหน้า แต่แล้วจู่ ๆ ก็นึกขึ้นอะไรได้ จึงรีบร้อนหันไปหาบางสิ่ง

“ก้อนหินของข้าเล่า”

นางมั่นใจว่าตนถือไว้ในมือก่อนที่จะผล็อยหลับไป

ในห้วงความฝัน แม้ว่าหินก้อนนั้นจะแวววาวดุจหยก แต่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกับหินขุ่นมัวที่ตนถือเอาไว้เลยสักนิด

แต่เสี่ยวเป่าสัมผัสได้ว่าหินที่เทียนเต้าส่งให้นางก็คือหินก้อนเดียวกับที่ตนถือเข้านอนไม่ผิดแน่

มีห้องสมุดอยู่ข้างในหินก้อนนั้น แม้ว่านางจะไม่ชอบอ่านหนังสือเท่าใดนัก แต่ก็รู้ดีว่าหนังสือพวกนั้นมีค่าเสียยิ่งกว่าเงินทองร้อยเท่าพันเท่า อย่างไรก็ห้ามทำหายเด็ดขาด

“ตอนที่บ่าวเข้ามาก็ไม่เห็นว่าองค์หญิงถือหินอะไรไว้ในมือนะเพคะ”

เสี่ยวเป่ารู้ว่าตัวเองนอนดิ้นไม่น้อย ไม่แน่ว่านางอาจจะเผลอโยนทิ้งไปที่ไหนสักแห่ง

นางหงุดหงิดนิดหน่อย หากรู้เช่นนี้คงไม่เอามาถือไว้และเก็บใส่ถุงนำโชคไว้อย่างดี

เสี่ยวเป่าหาเท่าไรก็ไม่พบ ขณะที่กำลังร้อนใจ ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นไฝสีแดงที่ข้อมือของตน

มันเป็นสีแดงสะดุดตาราวกับหยดเลือดอยู่ตรงกลางข้อมือข้างขวา แลดูงดงามพิกล

แต่ว่า… นางไม่เคยมีไฝแดงเม็ดนี้มาก่อน!

ชุนสี่เองก็ตกใจไม่แพ้กัน “องค์หญิง นี่ท่าน…”

เสี่ยวเป่าไม่ตอบอะไรนาง เพียงลูบไฝแดงเม็ดนั้นอย่างเบามือ

ทันใดนั้นเอง ห้องสมุดขนาดมโหฬารก็ปรากฏแวบขึ้นในหัว

มันมีรูปร่างไม่ต่างไปจากห้องสมุดในยุคปัจจุบัน แต่ในเมื่อเทียนเต้าบอกว่ามันรวบรวมหนังสือทุกเล่มในโลกของนางเอาไว้ทั้งหมด จึงไม่แปลกที่จะมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้

ปลายทางไกลสุดลูกหูลูกตา มิหนำซ้ำหนังสือหลากหลายประเภทก็ดูละลานตาไปหมด

นี่ก็คือห้องสมุดที่เทียนเต้ามอบให้นาง

นัยน์ตาเสี่ยวเป่าเป็นประกายเด่นชัด ใบหน้าน้อย ๆ แดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้น

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท