ตอนที่ 03 โอกาสครั้งที่สองของชายหนุ่ม
ระยะเวลาสามสิบนาทีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ภายในระยะเวลาเพียงแค่สามสิบนาที กับทำให้เขาได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมอีกมากหลายต่อหลายเท่าตัว โดยเฉพาะกับองค์ความรู้แปลกใหม่ที่เกี่ยวกับห้องปริศนาสีขาว
เขาพบว่าเมื่อตัวเขาฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้ นอกจากจะช่วยร่นระยะเวลาฝึกฝนในโลกจริง มันยังช่วยฟื้นฟูอาการเหนื่อยหอบอีกด้วย หรือก็คือไม่ว่าจะโหมแรงหนักหน่วงขนาดไหน
แต่ภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็จะหวนคืนกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง
…‘นี่มัน เยี่ยมไปเลยไม่ใช่เหรอ?’
“…”
เสียงกังวานดังขึ้น
[ ระยะเวลานับถอยหลัง : 1 นาที ]
ตัวเลขนับถอยหลังหลงเหลือเพียงแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น เวียร์เพียงยืนนิ่งเงียบทำสิ่งที่ตนกระทำต่อไม่มีหยุดยั้ง ไม่มีหยุดชะงัก ไม่มีปล่อยผ่านทำให้สูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
จนกระทั่งเหลือเวลาอีกเพียงสิบวินาทีสุดท้าย
[ ระยะเวลานับถอยหลัง : 10 วินาที ]
“…”
“ได้เวลาแล้ว”
เวียร์สูดลมหายใจเข้าลึก
เวลานับถอยหลัง นับถอยหลังจนแปรเปลี่ยนกลายเป็นเลขศูนย์ ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างกายของเขาก็เหมือนกับโดนดึงกระชากคอจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เหมือนตอนแรกเริ่มที่เขาก้าวเข้ามาในห้องสีขาว
“…”
“!!!”
“…”
เปลือกตาเปิดกะพริบตามอง
ฉากภาพห้องสีขาวปริศนาจางหายไม่มีหลงเหลือ กับถูกทดแทนด้วยต้นไม้ใหญ่มากมายนับไม่ถ้วนที่มาพร้อมกับกลิ่นดินกลิ่นไม้อันเป็นเอกลักษณ์ ใช่ เขากลับมาแล้ว
กลับมาจากโลกสีขาวที่อยู่นอกเหนือสามัญสำนึก
…‘กลับมาแล้ว’
“…”
—
พอย้อนหวนคืนกลับมาโลกปรกติธรรมดา
“…”
กลับมายังสถานที่จุดแรกเริ่มต้น
เขาก็เห็นร่างชายฉกรรจ์สูงกว่าสองเมตร ในชุดคนป่า ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นคนป่าก็ไม่เกินเลย กำลังนอนแน่นิ่งโดยมีลูกธนูปักกลางหน้าผาก ดวงตาของมันยังเบิกกว้าง
จดจ้องมองมาที่เขา จดจ้องมองมาด้วยสายตาคลั่งแค้นต้องการฆ่าให้ตายหากมีโอกาส เพียงแค่จดจ้องมองอย่างเดียวก็ทำให้นักเรียนชายหนุ่มปรกติธรรมดาหวั่นเกรงเกรงกลัว
เวียร์หอบหายใจตื่นตระหนกจนถอยหลังไปหลายต่อหลายก้าว
“…”
“!!!”
“…”
แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น
ก็คล้ายกับมีน้ำเย็นใสสะอาดปราศจากสิ่งเจือปน ไหลผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา เข้าชะล้างทุกสิ่งอย่างให้หวนคืนกลับมาเป็นปรกติ และเข้าสยบทุกสิ่งอย่างให้อยู่ในกรอบควบคุม
ดึงให้ห้วงสตินึกคิดทั้งหมดทั้งมวลกลับสู่ความนิ่งเงียบนิ่งสงบ
“…”
…‘เมื่อกี้นี่’
ดวงตากะพริบมอง
มันช่างเป็นห้วงอารมณ์ความรู้สึกที่แปลกแยกแปลกประหลาดเหลือเกิน ราวกับกำลังตอกย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้น หาใช่สิ่งแปลกปลอมดั่งที่ครุ่นคิดในตอนแรก แต่มันคือความเป็นจริง
ความเป็นจริงที่ยากหาข้อสรุปอื่นมาโต้แย้งโค่นล้ม
…‘นี่คือ [ หัวใจเยือกเย็น ] สินะ’
“…”
ฝ่ามือแตะสัมผัสหน้าอกแผ่วเบา กระทั่งศพที่นอนอยู่ตรงหน้า
ทั้งยังเป็นศพที่ถูกเขาลงมือสังหารอัดลูกธนูเข้ากลางหน้าผาก เขายังไม่รู้สึกอะไรเลย ต่อให้รู้สึกผิดรู้สึกอยากจะคลื่นไส้ทั้งหมดทั้งมวลก็จะหวนคืนกลับสู่ปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำอธิบายเกี่ยวกับ [ หัวใจเยือกเย็น ] ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเพียงข้อความไร้สาระหาค่าไม่ได้ หากแต่เป็นความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตสามัญสำนึกของเขา เวียร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ซากศพคนป่าร่างใหญ่
“…”
ฝ่าเท้าขยับเข้าไปใกล้
ก่อนจะใช้เท้าข้างหนึ่งงับร่างที่นอนพลิกคว่ำขึ้นมา ทันทีที่ร่างศพพลิกจากคว่ำกลายเป็นหงายก็เปิดเผยให้เห็นเค้าโครงทั้งหมดบนร่างกาย เนื้อตัวประดับไปด้วยชุดเสื้อผ้าหนัง
แน่นอนว่าไม่ใช่ชุดหนังทั่วไปเหมือนกับที่เห็นตามท้องตลาด แต่เป็นหนังที่ถูกลอกออกมาจากสัตว์บางชนิดแล้วมาเอาฟอกก่อนจะปล่อยให้แห้งและมานำสวมใส่บนร่างกาย
ไม่มีตัดแต่งไม่มีตกแต่งให้สวยงาม
“…”
เหมือนกับคนป่าไม่มีผิด
เอาเข้าจริงจะเรียกว่าคนป่าเหมือนที่เห็นในสารคดีก็ไม่เกินเลย ข้างกายของมันยังถือกระบองยาวเอาไว้ด้วย บนกระบองก็มีคราบเลือดที่แห้งแข็งติดอยู่เต็มไปหมด
บ่งบอกว่าถูกใช้งานเป็นประจำ ส่วนใช้งานทำอะไรเขาก็คงบอกกล่าวไปถึงขั้นนั้นไม่ได้ แต่ที่บอกได้ก็คือ คนป่าตรงหน้าล้วนดำรงอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิตต่างโลก ไม่ใช่คนโลกเดียวกัน
หากไม่ใช่คนโลกเดียวกันงั้นอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู
…‘ช่างเถอะ’
“…”
ก็ลงมือไปแล้วนิ
ต่อให้เป็นมิตรกันจริงมันก็แปรเปลี่ยนผลลัพธ์ตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี เขานั่งคุกเข่าลงข้างกายอีกฝ่ายก่อนจะดึงลูกธนูออกมา แววตาหวั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะหวนคืนกลับมาเป็นปรกติ
ลูกธนูยังคงเดิมไม่มีเปลี่ยน
…‘ยังพอใช้ซ้ำได้’
“…”
เสียงกังวาลดังข้างหู
[ กายมานาสัมผัสรับรู้ได้ถึงมานาในอากาศ ]
สายตาไล่เรียงอ่านทุกคำพูดทุกประโยคเสร็จสิ้น กระบวนการเหนือล้ำขอบเขตสามัญก็เริ่มต้นอีกครั้ง สายลมแผ่วเบาพันผ่านร่างกาย ไม่สิ ต้องบอกว่าถูกดูดเข้ามาในร่างมากกว่า
แรงดึงดูดแม้จะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากร่างกายกับมีอะไรที่แตกต่างแตกแยกอย่างสิ้นเชิง มันให้อารมณ์เหมือนกับท้องที่ค่อย ๆ ถูกเติมเต็มด้วยอาหาร
ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีในที่สุดกระบวนก็จบลง
[ กายมานาถูกเติมเต็มเรียบร้อย ]
“…”
ข้อความปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง
[ ข้อแนะนำเบื้องต้น : เนื่องจากผู้ใช้งานยังขาดกุญแจสำคัญในการเปิดใช้งานพลังมานา มานาตลอดทั่วทั้งร่างจึงเป็นเพียงสิ่งที่คอยเสริมเพิ่มเติมให้ร่างกายแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่อาจใช้งานอะไรได้อีก รวมถึงสกิลแรงดันวิญญาณที่ผู้ใช้ครอบครองอยู่ก็ไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน ทางเดียวที่ท่านจะใช้งานได้ ท่านจำต้องมีกุญแจไขเปิดประตูเสียก่อน ]
…‘กุญแจที่ไม่ได้เป็นเพียงกุญแจปรกติสินะ’
“…”
“หากยึดโยงตามนิยายต่างโลกทั่วไป” เวียร์พยายามครุ่นคิดตาม “การใช้งานเวทมนต์คงไม่พ้นต้องมีคนคอยสั่งสอน กุญแจที่ระบบบอกก็น่าจะหมายถึงการควบคุมมานาสินะ”
“งั้นจะควบคุมมานายังไงในเมื่อมองไม่เห็น?”
“…”
…‘หรือต้องรอสกิลเกี่ยวกับการควบคุมมานา?’
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการแบบใดแบบไหนก็ตามแต่ที่รับรู้ได้เลยแน่นอนก็คือ
การมีอยู่ของมานาภายในร่างกายเขาคงไม่พ้นทำหน้าที่ได้เพียงแค่เสริมกำลังอย่างเดียว ยังไม่อาจใช้งานใช้การทำอย่างอื่นได้ ส่วนสกิล [ แรงดันวิญญาณ ] ก็ปิดประตูไปได้เลย
เพราะเขาไม่รู้วิธีเปิดใช้งานเมื่อใช้งานไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์ไปในที่สุด
…‘มีของดีแต่ใช้ไม่ได้’
“…”
“หืม?”
เสียงใบไม้ขยับแผ่วเบา
ดังออกมาจากด้านหลัง พอเหลือบมองไปก็เห็นร่างใหญ่ที่ค่อย ๆ เปิดเผยร่องรอยออกมาให้เห็นเต็มสองตามันก็คือคนป่า เพิ่มเติมคือสายตาเคียดแค้นจดจ้องมองมาที่เขา
บางทีต้นสายปลายเหตุที่ทำให้มันอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ก็น่าจะเป็น
…‘พรรคพวกสินะ’
“…”
“พวกเราคุยกันได้รึเปล่าครับ?”
“อ๊ากกกกก!”
“คงจะคุยรู้เรื่องล่ะ”
“…”
คนป่าบุกเข้ามากมั่นหมายใช้กระบองทุบหัว
ร่างใหญ่ที่วิ่งเข้ามาเสริมสร้างฉากภาพน่าหวาดหวั่น หากเป็นมนุษย์ปรกติธรรมดาพานพบเห็นคงต้องมีแข้งขาอ่อนกันบ้าง แต่ไม่ใช่สำหรับเวียร์ ไม่ใช่สำหรับเขาในตอนนี้
สีหน้าแววตาที่เขาครอบครองอยู่ล้วนนิ่งราบเรียบเป็นสายตาเย็นชาขั้นสุด ฝ่ามือเคลื่อนขยับเข้าไปจับดาบและดึงออกมาจากฝักดาบอย่างช้า ๆ ท่วงท่าเตรียมพร้อมตั้งท่าเรียบร้อย
ดวงตาคนป่าที่เห็นยิ่งบ้าคลั่งหนักหน่วงเข้าไปอีก
“…”
…‘แปลกมาก’
ทำไมถึงได้ใจเย็นแบบนี้
ทั้งที่ควรหวาดหวั่นหวาดกลัว ทั้งที่เป็นเพียงมนุษย์คนปรกติธรรมดาที่ไม่เคยคิดต่อสู้กับเหล่าคนที่มาหาเรื่องก่อน พอถึงเวลาที่ต้องลงมือฆ่าฟันอีกฝ่าย แล้วทำไมถึงได้ใจเย็นแบบนี้
หรือจะเป็นเพราะ [ หัวใจเยือกเย็น ] ลำพังเพียงหัวใจเยือกเย็นกับสามารถแปรเปลี่ยนให้เขากลายเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจได้ขนาดนี้เลยเหรอ สิ้นกระบวนความคิดร่างกายตอบสนอง
มือจับดาบขยับรวดเร็ว
“…”
เสมือนร่างกายตัวเองไม่ใช่ร่างกายของตนอีกต่อไป
พริบตาเดียวที่ลงมือก็สามารถเก็บเกี่ยวชีวิตคนป่าไปได้ง่ายดาย เก็บเกี่ยวง่ายดายราวกับฝันหนึ่งตื่น ดวงตากะพริบมองรู้สึกตัวอีกที อีกฝ่ายก็ตกตายกลายเป็นศพไปแล้วเรียบร้อย
แม้จะลงมือเก็บเกี่ยวชีวิตแต่เขาก็ยังนิ่งเงียบเหมือนเดิม
…‘ฆ่าไปแล้ว’
“…”
“ไม่รู้สึกอะไรเลย” เวียร์ขมวดคิ้วแน่น “ลำพังสกิลเดียวสามารถทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าลงมือกับคนป่ายังลงมือง่ายดายแบบนี้ แล้วถ้าเปลี่ยนจากคนป่าเป็นคนธรรมดาล่ะ”
รอยยิ้มผุดขึ้นมามุมปาก
“…”
…‘น่าสนใจ’
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มต้นถอดเสื้อผ้าพวกมันทั้งหมด และก็เก็บกลับเข้ากระเป๋า ด้วยพื้นฐานที่เหมือนกับเกมออนไลน์เก็บเวลทั่วไป การเก็บสิ่งของจากศพก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างน้อยที่สุดในความคิดของเขา หากมันเหมือนกับเกมออนไลน์ การเก็บเสื้อผ้าสิ่งของของเจ้าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าก็น่าจะทำประโยชน์ให้เขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น
“…”
หลังจากเก็บกวาดแก้ผ้าอีกฝ่ายเรียบร้อย
เขาก็เตะร่างพวกมันตกลงไปในหลุมลึกที่เตรียมการเอาไว้ให้กับ ‘โอลิเวอร์’ สายตาราบเรียบจดจ้องมองร่างที่นอนนิ่งอยู่ในหลุม ก่อนหันมองไปยังทิศทางที่เขาจากมา
การฆ่าเพื่อให้ได้ค่าประสบการณ์ ค่าประสบการณ์นำไปสู่ความแข็งแกร่งที่ได้รับมาอย่างชอบธรรม และความแข็งแกร่งนั้นก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังเพื่อใช้กลืนกินผู้อ่อนแอยิ่งกว่า
รอยยิ้มสายหนึ่งปรากฏบนใบหน้าเวียร์
“…”
นี่คือโอกาสสำหรับเขา
โอกาสครั้งที่สองสำหรับเขา หากเขามีพลังมีความแข็งแกร่งมากพอ สถานภาพก็จะแปรเปลี่ยนความฝันความปรารถนาที่ต้องการฆ่าล้างพวกมันให้ตกตายก็จะกลายเป็นจริง
ไม่ถูกจำกัดเอาไว้แค่ ‘โอลิเวอร์’ อีกต่อไป จากข้อความที่ปรากฏให้เห็นในตอนแรก เขามั่นใจได้เลยว่ายังไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของห้องสีขาว ฉะนั้นแล้วช่วงจังหวะเวลานี้คือโอกาส
โอกาสที่จะนำหน้าแปรเปลี่ยนกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง
“…”
ต้องเก็บเวลให้มากกว่านี้
ต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ ต้องอยู่รอดไปให้ได้ อย่างน้อยที่สุดก็จนกว่าจะฆ่าล้างเศษเดนสารเลวพวกนั้นให้หมดไปจากโลกใบนี้ เขาจะตายไม่ได้ จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
บอกกล่าวตามตรงเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทั้งที่สถานการณ์ความเป็นจริงพร้อมจะทำให้ชีวิตของเขาตกตายได้ทุกเมื่อ แต่เขากับรู้สึกสดชื่นรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย
เหมือนได้ปลดปล่อยบางสิ่งอย่างที่เคยกักเก็บมาเนิ่นนาน
…‘แต่ความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่เลว’
“…”