บทที่ 231 เป็นของเธอและของทุกคน
บทที่ 231 เป็นของเธอและของทุกคน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเสิ่นอี้โจวก็เปลี่ยนไป
เขากอดเธอแน่นยิ่งขึ้น และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “ผมสบายดี”
นอกจากประโยคนี้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เธอฟังยังไงได้อีก
เซี่ยชิงหยวนอยู่ในอ้อมแขนของเขา เธอพบว่าหน้าอกของเขาไม่แน่นและกว้างอย่างที่เคยเป็น เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะการทำงานหนักในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
เธอคว้าเสื้อผ้าของเขาและน้ำตาไหล “คุณบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่ดูสภาพของคุณตอนนี้สิ มันคืออะไรกัน?”
เสิ่นอี้โจวริมฝีปากกระตุก “ชิงหยวน คุณจะเปลี่ยนใจจากผมไม่ได้นะกับอีแค่ผมไม่ได้ดูดีเหมือนเมื่อก่อนเนี่ย”
เซี่ยชิงหยวนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาล้อเล่น
เธอผละออกจากอ้อมแขนของเขา พลางมองเข้าไปในดวงตาของเขาและพูดว่า “บอกฉันที เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณกันแน่?”
นับตั้งแต่ที่เธอสังเกตเห็นความแปลกประหลาดของเสิ่นอี้โจวในวันนั้น เธอก็รู้สึกผิดปกติ ในใจจริงแล้วอยากจะรีบกลับมาหาเขาและถามให้สิ้นสงสัย
แต่ด้วยเหตุสุดวิสัยที่เกิดไฟไหม้และต้องไปที่เมืองหลวงของมณฑลก่อน การเดินทางกลับจึงล่าช้าครั้งแล้วครั้งเล่า
พอเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าเธอไม่พาเขาไปโรงพยาบาลในทันที เธออาจกังวลใจจนนอนไม่หลับจริง ๆ
แววตาของเธอฉายแววชัด แสดงถึงความมุมานะที่ไม่ยอมแพ้จนกว่าจะถึงเป้าหมาย
เสิ่นอี้โจวรู้สึกเพียงว่าหัวของเขาเริ่มปวดอีกครั้ง
เขาถอนหายใจและพูดว่า “ครั้งที่แล้วหมอบอกว่าจะให้ดีก็ควรอยู่ในโรงพยาบาลเฝ้าสังเกตอาการตลอดเวลาน่ะ เพื่อจะได้มีแผนการรักษาที่เหมาะสมกว่า”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเธอก็เริ่มเต้นผิดจังหวะ “อาการของคุณร้ายแรงขึ้นอีกเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวเงียบไปราวสองวินาที จากนั้นมองไปที่เธอและพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ที่ไหนกัน คุณก็รู้พวกหมอชอบกังวลไปเอง หมอพูดอย่างนั้นเพราะหวังว่าจะรักษาโรคนี้ให้หายขาดโดยเร็วที่สุดไง”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าตัวเธอรู้จักเสิ่นอี้โจวดี และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดความจริงกับเธอทั้งหมด
แต่ถ้าเขาคิดที่จะไม่พูดแล้ว เขาก็ไม่คิดจะไม่เปิดเผยให้เธอรู้สักคำ
เธอกึ่งประนีประนอมและกึ่งเรียกร้อง “งั้นเราไปเมืองหลวงของมณฑลทันทีและพบหมอหมิ่นกันไหม?”
เสิ่นอี้โจวจับมือเธอ “เอาล่ะ เราจะไปที่เมืองหลวงของมณฑลอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าต้องรอจนกว่าผมจะเสร็จงานยุ่ง ๆ ของผมก่อน”
เซี่ยชิงหยวน “เพราะเรื่องความแห้งแล้งในมณฑลน่ะเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ใช่ พืชผลในหลายเมืองแถบที่ราบลุ่มรวมไปถึงเมืองเตียนเฉิงก็แห้งแล้งและเกิดไฟป่าบ่อยครั้ง หากไม่มีมาตรการใด ๆ เมืองเตียนเฉิงและเมืองอื่น ๆ จะไม่ปลอดภัย ผมเป็นนักธรณีวิทยาและสภาพอากาศ ผมต้องทำเรื่องนี้”
เมื่อเสิ่นอี้โจวพูดถึงเรื่องนี้ คิ้วและดวงตาของเขามองลึกลงไป
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็คาดเดาผลลัพธ์ได้ทันที “เราต้องรอจนกว่าภัยแล้งจะคลี่คลายสินะ?”
เสิ่นอี้โจวขอโทษเธอทางแววตา และลูบหลังมือเธอเบา ๆ “ ชิงหยวน ผมเป็นเจ้าหน้าที่ ผมเองก็ต้องดูแลผู้คนเช่นกัน”
เมื่อเห็นสีหน้าที่หนักแน่นของเสิ่นอี้โจว เซี่ยชิงหยวนก็เข้าใจทันทีว่าเสิ่นอี้โจวยังเป็นคนเดิมที่ไม่ยอมแพ้กับความฝันของเขา
เขาจริงจังกับงานและทำเพื่อผู้คนที่เขารักเสมอ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกเหมือนมีก้อนที่คอของเธอ
เขาเป็นของเธอและก็เป็นของทุกคนด้วย
เธอต้องการเขา แต่ผู้คนทั้งหลายต้องการเขามากยิ่งกว่า
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลั้นน้ำตา พยักหน้าและพูดว่า “ก็ได้…”
เสิ่นอี้โจวเอาแขนโอบไหล่ของเธอ และอีกมือหนึ่งถือถุงกระสอบ “ไปกันเถอะ กลับบ้านของเรากัน”
เซี่ยชิงหยวนทิ้งตัวพิงหัวที่ตัวของเขา มองดูพระอาทิตย์ตกดินที่ยืดเงาของทั้งสองออกไปทางด้านหลัง
เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงคืนนั้นในหยุนเฉิงเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อพวกเขาเดินเคียงข้างกันเช่นนี้ ยังไงก็ตาม ภายในเพียงครึ่งเดือนจิตใจก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
…
ผู้คนที่มารับรถและผู้ที่กลับบ้านจากระยะไกลรายล้อมหนาตา พวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยบรรยากาศแห่งความสุข เธอเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นอี้โจวที่อยู่ข้างๆ เธอ เขาผอมกว่าเมื่อก่อนมาก และสันกรามของเขาก็โดดเด่น ทำให้เขาดูสง่างามมากขึ้น
ดวงตาฟีนิกซ์ของเขาจ้องตรงไปข้างหน้า สงบและไม่แยแส
เธออดไม่ได้ที่จะกำมือที่เขาจับเธอแน่น สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือของเขา
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เธอก็จะอยู่ร่วมกับเขา
รถของเสี่ยวหลิวจอดอยู่ข้างนอก และเซี่ยชิงหยวนแทบจะจำอีกฝ่ายไม่ได้เมื่อเธอเห็นเขา
เสี่ยวหลิวนั้นไม่เพียงแต่น้ำหนักลดลง แต่ผิวยังคล้ำดำมากอีกด้วย
เสี่ยวหลิวสังเกตเห็นความประหลาดใจในดวงตาของเซี่ยชิงหยวนและเกาหัวของเขาอย่างเขินอาย “เอ่อ…ช่วงนี้กำลังคนไม่พอน่ะครับคุณนาย ดังนั้นผมเลยไปช่วยขนเสบียงไปยังหมู่บ้านและเมืองแถบที่ราบต่าง ๆ”
เนื่องจากภัยแล้ง เมืองและหมู่บ้านบางแห่งที่อยู่แถวที่ราบกำลังขาดแคลนอาหาร ดังนั้นเมืองด้านบนสามารถส่งเสบียงไปให้ได้เท่านั้น
ต่อมาเมื่อพื้นที่แห้งแล้งมากขึ้นกำลังคนก็เริ่มไม่เพียงพอ
เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิด “อืม”
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “พี่สองของคุณก็เข้าร่วมกับขบวนส่งเสบียงด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อืม”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนไม่ร่าเริง เสี่ยวหลิวคิดว่าเจ้านายทั้งสองคนกำลังทะเลาะกัน ดังนั้นเขาจึงหยุดพูดด้วย
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินตงซิ่วได้เตรียมอาหารไว้แล้ว
ผ้าพันคอสีแดงรอบคอของเสิ่นอี้หลินยังไม่ได้ถูกมัด เมื่อเขาเห็นเซี่ยชิงหยวน เขารีบวิ่งมาด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้!”
ทันใดนั้นเซี่ยชิงหยวนก็ตระหนักว่าการที่เธอเดินทางกลับมาช้า มันทำให้เธอพลาดการเริ่มไปโรงเรียนของเสิ่นอี้หลินโดยไม่คาดคิด
เสิ่นอี้หลินชี้ไปที่ผ้าพันคอสีแดงบนหน้าอกของเขาและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “พี่สะใภ้ ดูสิผมคือผู้บุกเบิกรุ่นเยาว์!”
เซี่ยชิงหยวนลูบหัวของเด็กชายด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ อี้หลินของเราคือผู้บุกเบิกรุ่นเยาว์ ยอดเยี่ยมมาก!”
หลังจากได้รับคำชมจากเซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้หลินก็ยิ้มจนดวงตาของเขาหยีมาก
หลินตงซิ่วเข้ามาพร้อมชามและตะเกียบ พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ของลูกเพิ่งกลับมา ให้เธอพักผ่อนให้เพียงพอเถอะ หยุดรบกวนเธอได้แล้ว”
จากนั้นหลินตงซิ่วพูดกับเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง “ตั้งแต่ลูกไปเมืองกว่างโจว อี้โจวก็แทบไม่กลับมากินข้าวที่บ้านเลย หลายครั้งแม่ไม่รู้ว่าเขากลับมานอนบ้านเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อลูกกลับมาแล้ว ลูกต้องพูดเตือนเขาหน่อยนะ”
เซี่ยชิงหยวนรู้เรื่องเกี่ยวกับงานของเสิ่นอี้โจว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่ หลินตงซิ่วพูด เธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ เสิ่นอี้โจวก็ประสานมือเข้าด้วยกันเพื่อร้องขอความเมตตาและจับมือ “ภรรยาของผม ผมผิดไปแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนจะพูดอะไรได้อีก?
เธอไม่สามารถผูกเขาไว้กับเข็มขัดของตัวเองได้ เธอจะไม่ปล่อยเขาออกนอกบ้านได้เชียวเหรอ?
เธอมองเขาอย่างว่างเปล่าและพูดเบา ๆ “ล้างมือและกินข้าวกันค่ะ”
จานวางอยู่บนโต๊ะและทุกคนก็กินด้วยกัน
หลินตงซิ่วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “มันมีชีวิตชีวาที่สุดจริง ๆ เมื่อทุกคนรับประทานอาหารร่วมกันอย่างนี้”
เสิ่นอี้หลินกัดน่องไก่ชิ้นโตและคีบไก่ชิ้นหนึ่งลงในชามของหลินตงซิ่ว “แม่ก็กินข้าวเยอะ ๆ เถอะ”
เด็กชายไม่กล้าบอกให้เสิ่นอี้โจวรู้ในสิ่งที่เขาบอกเซี่ยชิงหยวน
เมื่อทั้งสองเข้าประตูมา เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบรรยากาศ แต่ผู้เป็นแม่ของเขากำลังพูดกับตัวเองโดยไม่ได้สังเกต
เขารู้สึกว่าแม่ไม่ฉลาดเหมือนตัวเอง
แต่เมื่อเริ่มกินได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เสิ่นอี้โจววางชามและตะเกียบลง “พวกเขาน่าจะโทรมาตามหาผมน่ะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ลุกขึ้นและไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อรับโทรศัพท์
เซี่ยชิงหยวนนั่งที่โต๊ะอาหารโดยไม่ขยับ แต่สายตาของเธอเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของเสิ่นอี้โจว
เธอเห็นเขาถือหูโทรศัพท์ในมือข้างหนึ่ง และอีกข้างเท้าสะเอว เขาขมวดคิ้วโดยเอาแต่ฟังไม่พูดอะไรสักคำ
แน่นอนว่าเขาวางโทรศัพท์แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร
ชายหนุ่มมีสีหน้าขอโทษ “ผมขอโทษนะ ผมมีเรื่องต้องไปทำชั่วคราว ทุกคนกินต่อได้เลย”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับไปหยิบกระเป๋าเอกสารบนชั้นวาง และกำลังจะออกไป
“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้ในที่สุด และพูดออกมา