บทที่ 286 ต้องหย่า
บทที่ 286 ต้องหย่า
จางอวี้เจียวตกตะลึงในจุดนั้นราวกับเสียงฟ้าร้อง
เมื่อเธอตระหนักได้ เซี่ยจิ่งเฉินก็กระแทกประตูและออกไปแล้ว
เธอโกรธมากจนต้องทึ้งผมของตัวเองแล้วตะโกน “กรี๊ด!…คุณยังคิดถึงนังนั่นอยู่! แต่แล้วไงล่ะ มันแต่งงานไปแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…!”
เธอร้องไห้ไปพลางหัวเราะไปพลางอย่างบ้าคลั่ง
…
เมื่อหวนนึกถึงอดีตกับจางอวี้เจียว ทุกวินาทีคือความทุกข์
ชีวิตแต่งงานที่ไม่มีรากฐานทางความรักจะมีความสุขได้ยังไง มีแต่ความสงสัยและความทรมานไม่รู้จบงั้นเหรอ?
เขารู้ว่านี่คือการลงโทษของสวรรค์สำหรับเขา
เพื่อลงโทษเขา ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างขี้ขลาดท่ามกลางน้ำตาของหวังผิง
เขาคิดว่าสามารถรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ ตราบใดที่เขาแต่งงานกับจางอวี้เจียวปัญหาทั้งหมดก็จะคลี่คลาย
แต่ถึงอย่างนั้น ปัญหาเดิมยังคงอยู่ในใจของทุกคน และทำให้ญาติของพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานไปด้วย
เซี่ยจิ่งเฉินสูดหายใจเข้าลึก กลั้นน้ำตาที่จะไหลออกมาจากดวงตาของเขา
เขามองจางอวี้เจียวอย่างสงบ และพูดว่า “ไม่จำเป็น ผมต้องการหย่า”
“เซี่ยจิ่งเฉิน!” จางอวี้เจียวตะโกนทันที “นายมันไม่มีมโนธรรม!”
เซี่ยจิ่งเฉินหัวเราะเยาะตัวเอง “เพราะฉันมีมโนธรรมมากเกินไปต่างหาก เธอก็เลยกล้าทำถึงขนาดนี้ไง”
เขามองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของจางอวี้เจียว และพูดทีละคำ “มาหย่ากันเถอะ”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หวังผิงก็คิดจะก้าวเข้าไปคุยกับเซี่ยจิ่งเฉินทันที
เซี่ยโยว่หมิงจับมือของหวังผิงไว้แล้วส่ายหัวให้เธอ
มือใหญ่จับข้อมือของเธออย่างแรง ทำให้หวังผิงตกใจ
จางอวี้เจียวจ้องมองเซี่ยจิ่งเฉินด้วยดวงตาแดงก่ำพลางกัดฟันกรอด หากแม่เฒ่าจางไม่หยุดเธอได้ทันเวลา เธอคงจะตะครุบและฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน!
แม่เฒ่าจางรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเลย เธอรีบปิดปากจางอวี้เจียวแล้วพูดว่า
“ฉันเข้าใจว่าเหตุการณ์วันนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกแย่ ฉันจะพาอวี้เจียวกลับไปก่อนแล้วสอนเธอให้ดีเอง”
“แต่เพื่อประโยชน์ของลูก ๆ ของเธอ เธอเองก็ควรคิดทบทวนเรื่องนี้ให้รอบคอบก่อนนะ”
หลังจากพูดจบโดยไม่รอคำตอบ เธอก็ส่งสัญญาณให้ลูกชายทั้งสาม และตัวเองก็ใช้กำลังพาจางอวี้เจียวออกไปจากบ้านตระกูลเซี่ย
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที กังจือมองไปยังตระกูลจางที่จู่ ๆ ก็แยกย้ายกันไปและพูดว่า “จิ่งเฉิน การแต่งงานนี้นายคิดว่าจะหย่าได้จริง ๆ เหรอ?”
คนมีไหวพริบไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้ทันทีว่าตระกูลจางกำลังถ่วงเวลาออกไปไม่ใช่เหรอ?
เซี่ยจิ่งเฉินมองไปทางประตูและพยักหน้า “ต้องหย่าให้ได้”
ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว เขาไม่ต้องการที่จะถอยกลับอีก
…
เซี่ยชิงหยวนนั่งอยู่ที่บ้าน ฟังกงเหลียนซินพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวผ่านทางโทรศัพท์
กงเหลียนซินถอนหายใจ “แม่เฒ่าตระกูลจางนั้นเป็นคนร้ายกาจมากจริง ๆ”
“น้องรองพูดชัดเจนมาก แต่เธอแกล้งทำเป็นสับสนและพาคนออกไป”
“ตอนนี้คนไม่อยู่ที่นี่แล้วเราจะหย่าได้ยังไง?”
อันที่จริงเธอกังวลว่าเรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงละครชวนฝัน
ในที่สุดเซี่ยจิ่งเฉินก็ตัดสินใจได้ แต่ถ้าแม่ยายของเขาโน้มน้าวอีกครั้งและลูก ๆ ก็ร้องไห้กับเรื่องนี้ หลังจากวันนี้สิ่งต่าง ๆ อาจจะเปลี่ยนไปอีกก็ได้
เธอเป็นพี่สะใภ้ จริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องการให้ใครหย่าร้างกันหรอก แต่วันนี้เธอได้เห็นเต็มสองตาแล้วว่าจางอวี้เจียวไม่คู่ควรที่จะเป็นแม่ใครอีกต่อไป
จางอวี้เจียวและหญิงชราคนนั้นอุ้มเด็กไว้เป็นโล่กำบัง สร้างโอกาสให้ตัวเองได้ทุบตีผู้คน
เซี่ยชิงหยวนจิ๊ปากและพูดว่า “ถ้าตระกูลจางไม่เลวร้าย การแต่งงานกับพวกเขาก็คงไม่ได้เป็นเรื่องที่สูญเสียขนาดนี้หรอก”
กงเหลียนซินถอนหายใจ “บอกพี่ทีสิว่าตอนนี้พี่ควรทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?”
เซี่ยชิงหยวนพิงพนักโซฟาแล้วยกขาไขว่ห้าง “เรื่องนี้จะเร่งรีบก็ไม่ได้ค่ะ”
เธอมองโต๊ะกาแฟตรงหน้า ดวงตามืดมน “พรุ่งนี้พวกเขาจะมาขอร้องเรา เมื่อถึงเวลาก็ยึดมั่นความคิดไว้ อย่าโอนอ่อนเด็ดขาด”
เดิมทีเธอคิดว่าตระกูลจางจะเชื่อฟัง และคงจะดีถ้าพวกเขายอมหย่าไปง่าย ๆ
แต่ดูเหมือนว่าคนบางคน ถ้าไม่เห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา
คิดว่าสามารถผัดวันประกันพรุ่งเพื่อไม่ให้หย่าร้างได้เหรอ?
กงเหลียนซินกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว เธอไม่ต้องกังวลนะ”
…
เมื่อกงเหลียนซินกลับมาจากที่ออกไปโทรศัพท์ เด็ก ๆ ก็ถูกกล่อมให้เข้านอนแล้ว
ตอนกลางวันพวกเขาตื่นตกใจและนอนไม่หลับ โดยเฉพาะลูกสาวสองคนที่ร้องไห้ตามหาแม่ในฝัน
เซี่ยโยว่หมิง หวังผิง และพี่น้องอย่างเซี่ยจิ่งเยว่กับเซี่ยจิ่งเฉิน กำลังนั่งอยู่ด้วยกัน สีหน้าของพวกเขาดูไม่ค่อยดีนัก
กงเหลียนซินใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้นั่งข้างเซี่ยจิ่งเยว่ เพื่อฟังการสนทนาของพวกเขา
ท่าทางของหวังผิงดูเศร้าอย่างมาก “จิ่งเฉิน ลูกคิดดีแล้วจริง ๆ เหรอ?”
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้า “ผมคิดเรื่องนี้ดีแล้ว ผมกับเธอต้องหย่ากัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวังผิงก็ขมวดคิ้วมากขึ้น “เด็ก ๆ ยังเล็กมาก ถ้าหย่ากัน พวกเธอจะทำยังไง? นอกจากนี้ ลูกจะรู้ได้ยังไงว่าการแต่งงานครั้งต่อไปจะดีกว่านี้ บางทีการแต่งงานครั้งต่อไปอาจจะแย่กว่าเธอก็ได้”
“หญิงชรา คุณกำลังพูดอะไร?” เซี่ยโยว่หมิงไม่พอใจ “ตอนนี้ครอบครัวลูกรองของเราเป็นแบบนี้แล้ว คุณคิดว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อไปได้ไหม? คุณไม่เห็นเหรอว่าวันนี้สะใภ้รองอุ้มลูกเป็นเกราะกำบัง? ตราบใดที่เธอยังใส่ใจลูกบ้าง เธอจะไม่ทำแบบนั้นแน่”
เซี่ยโยว่หมิงไม่เต็มใจที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องลูก ๆ ของเขามาโดยตลอด แม้ว่าชีวิตแต่งงานของลูกไม่ราบรื่น แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นทางเลือกของลูก ๆ เอง
ในฐานะพ่อ เขาสามารถช่วยเท่าที่ทำได้ และเขาจะไม่พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องที่เหลือ
เช่นเดียวกับครั้งสุดท้ายที่จางอวี้เจียวเอาเงินหนึ่งร้อยห้าสิบหยวนไปซื้องานให้จางอวี้เอ๋อ แล้วเขาต้องเข้าไปในเมืองเพื่อทำงานชดใช้ให้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีคำพูดบ่น
แต่สิ่งที่จางอวี้เจียวทำในครั้งนี้ทำให้หัวใจของเขาด้านชาจริง ๆ
หวังผิงหน้าแดงขึ้นมา “เราควรเป็นคนเกลี้ยกล่อมพวกเขา และไม่ชักชวนให้ลูกหย่าร้างกันสิ ในฐานะพ่อ ทำไมคุณกลับให้ท้ายเขาแบบนี้?”
“แม่” เซี่ยจิ่งเยว่ไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไปและพูดว่า “แม่ครับ ปัญหานี้จะไม่หายไปถ้าเราไม่ทำอะไรเลย”
“ตอนนี้แม่ยังเห็นไม่ชัดอีกเหรอว่าทั้งสองคนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปทำไมแม่ยังยืนกรานอยู่อีก?”
กงเหลียนซินอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แม่คะ ดูสมาชิกครอบครัวพวกเขาสิ พวกเขาถือไม้มาที่ประตูบ้านเรา ถ้าเราไม่เห็นด้วยกับคำขอ แม่คิดว่าต่อไปพวกเขาจะทำอะไรกับเราบ้าง?”
เมื่อเซี่ยโยว่หมิงและคนอื่น ๆ พูดแบบเดียวกัน หวังผิงก็โกรธมากจนกุมหน้าอกตัวเองทันที “ทุกคน…หมายความยังไงกันแน่ จะบอกว่าฉันเป็นตัวปัญหาด้วยเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าหวังผิงโกรธ เซี่ยจิงเยว่ก็รีบปลอบเธอ “แม่ครับ เราไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย”
เขาเหลือบมองเซี่ยจิ่งเฉิน ซึ่งกำลังนั่งหน้านิ่งและพูดว่า “ยังไงผมก็สนับสนุนการหย่าร้างของน้องรอง”
กงเหลียนซินยกมือขึ้นเช่นกัน “ฉันก็สนับสนุนเหมือนกันค่ะ”
เซี่ยโยว่หมิงกล่าวว่า “มาเคารพการตัดสินใจของลูกกันเถอะ”
เซี่ยจิ่งเฉินเงยหน้าขึ้น บรรยากาศทั่วร่างของเขาหดหู่ “แม่ครับ ผมไม่อยากใช้ชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว”
“ในเมื่อผมรู้แก่ใจอยู่แล้วว่ามันเป็นเส้นทางที่ผิด แล้วทำไมผมถึงต้องยืนกรานต่อไปด้วย?”
“เพียงเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเลือกเดิมของผมถูกต้องรึไง?”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะยิ่งสูญเสียมากขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้น”
เมื่อฟังคำพูดของเซี่ยจิ่งเฉิน หวังผิงก็ตาแดง
เซี่ยจิ่งเฉินมองแม่ด้วยดวงตาที่เหมือนจะลุกเป็นไฟ ดวงตาของหญิงชราแดงก่ำ น้ำตาไหลออกมา แต่ยังคงดื้อรั้นและปฏิเสธที่จะถอย
หวังผิงทนไม่ได้ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสี่ปีที่แล้ว เธอร้องไห้และบังคับลูกชาย ตอนที่เขายอมรับการแต่งงานครั้งนี้ เขาก็มองเธอด้วยสายตาแบบนั้นเช่นกัน
เจ็บปวดและเสียใจ เธอลุกขึ้นยืนอย่างงุ่มง่ามแล้วพูดว่า “ก็ได้ ก็ได้ พวกคุณทุกคนมีความคิดของตัวเองแล้ว มันเป็นความคิดของฉันเองที่บังคับทุกคน! แต่ที่ฉันเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะอยากให้ครอบครัวปรองดองกันเหรอ?”
“สุดท้ายมันก็กลายเป็นความผิดของฉัน!”
หลังจากพูดจบเธอก็ยกมือเช็ดน้ำตาแล้วเดินเข้าไปในห้อง