บทที่ 321 ของขวัญชิ้นแรก
บทที่ 321 ของขวัญชิ้นแรก
น้ำตาแห่งความคับข้องใจไหลออกมาจากดวงตาของฉินซูอวี้ เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงหันหลังกลับแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบน
“ซูอวี้! ซูอวี้!” เฉินหลี่เรียกลูกสาวจากด้านหลัง แต่เสียงที่ตอบรับนั้นกลับเป็นเสียงประตูที่ปิดลงดังสนั่น
เฉินหลี่เสียใจกับความผิดพลาดของตัวเอง เธอราวกับกำลังหมดแรงและล้มลงบนโซฟา
เธอไม่เคยตีฉินซูอวี้มาก่อนตั้งแต่เลี้ยงมา
ทั้งหมดเป็นความผิดของครอบครัวนังเซี่ยชิงหยวน!
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา เธอคงจะไม่ตบฉินซูอวี้โดยไม่ได้ตั้งใจเพราะอารมณ์ไม่ดีหรอก!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเฉินหลี่ก็ค่อย ๆ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เธอเป็นคนที่ภูมิใจในตัวเองและหยิ่งผยองมาก หากเกิดอะไรขึ้น เธอจะไม่โทษตัวเองเลย
เธอรู้สึกว่าตัวเองเก่ง เหนือกว่าคนอื่น และไม่เคยทำผิดพลาด
แม้จะผิด แต่ก็เป็นความผิดของคนอื่น
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเข้าไปในห้อง หลินตงซิ่วกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง และเช็ดน้ำตาของเธออย่างเงียบ ๆ
เซี่ยชิงหยวนเดินไปนั่งข้างแม่สามีแล้วถามเบา ๆ “แม่คะ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา แล้วทำไมแม่ถึงร้องไห้ล่ะ?”
หลินตงซิ่วอับอายที่จะมองหน้าลูกสะใภ้และพูดเบา ๆ “แม่โกรธที่ผู้หญิงคนนั้นพูดว่าร้ายลูกกับอี้โจว”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เธอก็เสริมว่า “เราไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ และเธอก็พูดจาหยาบคายมาก”
ในตอนนั้นเธอโกรธมากจนกล้าด่าเฉินหลี่ไปหลายประโยคในรวดเดียว
เมื่อเธอเย็นลง อารมณ์ด้านลบทุกประเภทก็ท่วมท้นกลับมา
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็จับมือของอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “แม่คะ เราอาศัยอยู่ในโลกโหดร้ายนี้ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะโดนคนอื่นเข้าใจผิด วิพากษ์วิจารณ์และดูถูกเหยียดหยาม มีเพียงเราต้องทำใจให้เข้มแข็งเท่านั้นเพื่อสู้กับสิ่งเหล่านั้น และทำให้คนที่เรารักมีความสุข นั่นจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจกับคนอื่นที่ไม่สำคัญเหล่านั้นเลยจริงไหมคะ?”
เธอจับมือของหลินตงซิ่วไว้ในฝ่ามือแล้วตบเบา ๆ “เป้าหมายเดียวของเราคือการมีความสุขในทุกวัน จากนั้นปล่อยให้คนที่ดูถูกเราอ้าปากค้างและดวงตาเบิกกว้างอย่างทำอะไรไม่ได้ไปเถอะ”
หลินตงซิ่ว ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในชนบทมาตลอดชีวิตติดตามลูกชายและลูกสะใภ้มาจากหมู่บ้านซีสุ่ยมาที่เมืองเตียนเฉิง จากนั้นก็มาที่มณฑลอวิ๋น มันเป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่สามารถเติบโตได้เช่นนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าไหล่ของหลินตงซิ่วหยุดสั่นแล้ว หญิงสาวจึงกอดแม่สามีไว้ในอ้อมแขน “แม่คะ อย่าไปสนใจกับสิ่งที่ใครพูดเลยค่ะ เราแค่ต้องใช้ชีวิตของเราอย่างมีความสุขทุกวันก็พอ”
เสียงของเธอเบา แต่หนักแน่น “และแน่นอนว่าวันนี้แม่เก่งมากเลยค่ะ”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลินตงซิ่วก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเซี่ยชิงหยวน มองดูลูกสะใภ้ด้วยความประหลาดใจ ราวกับเด็กที่ได้รับคำชม
เซี่ยชิงหยวนมองเข้าไปในดวงตาที่ยังคงมีคราบน้ำตาของแม่สามีเธออย่างจริงใจและเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ
“ใช่ค่ะ วันนี้แม่เก่งมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ หนูและอี้โจวจะคอยสนับสนุนแม่จนถึงที่สุดเองค่ะ”
แม้ว่าไหล่ของเธอจะยังไม่แข็งแรงพอให้พักพิง แต่สำหรับคนที่เธอรักมันยังคงดูเหมือนต้นไม้สูงตระหง่านอย่างแน่นอน
นี่เป็นครั้งแรกที่แม่สามีและลูกสะใภ้คุยกันอย่างลึกซึ้งเช่นนี้
คำพูดที่ลึกซึ้งนี้บีบหัวใจของหลินตงซิ่ว และในที่สุดคำพูดทั้งหมดก็เหลือเพียงประโยคเดียว
“ขอบคุณนะ”
สำหรับในเรื่องที่ว่าทำให้เฉินหลี่ขุ่นเคืองหรือไม่ เธอจะไม่ถามอะไรอีก
เพราะลูกสะใภ้ของเธอพูดถูก
หลังจากที่หลินตงซิ่วสงบลง เซี่ยชิงหยวนก็พูดว่า “แม่คะ หนูอยากทำต้มเครื่องในเนื้อวัว แม่ไปช่วยหนูหน่อยได้ไหมคะ?”
เซี่ยชิงหยวนบอกกับหลินตงซิ่วแล้วว่าร้านที่เพิ่งเปิดใหม่นี้จะขายต้มเครื่องในวัวในฤดูหนาวนี้ก่อน
หลินตงซิ่วยิ้มและพยักหน้า “ได้สิ”
เมื่อแม่สามีและลูกสะใภ้ไปที่ห้องครัว ป้าอู๋ก็ล้างเครื่องในที่พวกเธอซื้อมาให้แล้ว
เครื่องในเนื้อวัวประกอบด้วย ผ้าขี้ริ้ว ตับ ลำไส้ หัวใจ ปอดเนื้อ และอื่น ๆ ซึ่งเธอยังซื้อเนื้ออกวัวและกระดูกวัวมาด้วย
เซี่ยชิงหยวนขอให้ป้าอู๋ซื้อทั้งหมดเพื่อทดสอบรสชาติเมื่อปรุงสุก และดูว่าต้องปรับปรุงสูตรอย่างไร
หากพัฒนาสูตรจนเลิศรสแล้ว สูตรต้มเครื่องในเนื้อวัวนี้จะกลายเป็นเหมือนอาวุธวิเศษที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหลักพันหยวน
หลายคนร่วมกันหั่นวัตถุดิบเป็นชิ้นใหญ่ จากนั้นใส่หัวหอม ขิง และเหล้าจีนสำหรับปรุงอาหารลงในหม้อโดยใช้น้ำเย็นแล้วต้ม
เมื่อวัตถุดิบสุกแล้วก็เทน้ำที่ใช้ต้มทิ้งไป จากนั้นพักวัตถุดิบไว้ข้าง ๆ เพื่อใช้ในภายหลัง
ขั้นตอนต่อไปคือการใส่โป๊ยกั้ก และส่วนผสมอื่น ๆ ลงในกระทะ ใส่น้ำมันลงไปผัดจนส่งกลิ่นหอม จากนั้นจึงใส่เครื่องในเนื้อวัวที่สะเด็ดน้ำออกลงในหม้อเหล็กขนาดใหญ่ แล้วผัดจนกลิ่นหอมโชยออกมา และในที่สุดก็เติมน้ำเพื่อเคี่ยวต่อ
หม้อเหล็กที่ใช้ต้มเครื่องในเนื้อวัวเป็นหม้อขนาดใหญ่ที่เซี่ยชิงหยวนซื้อมาเป็นพิเศษ
หม้อเหล็กแบบนี้นำความร้อนได้เร็ว และคลายความร้อนได้ช้า สามารถกักเก็บความร้อนได้ดี มันสามารถถ่ายเทความร้อนไปยังส่วนผสมภายในหม้อได้อย่างสมดุลและยาวนาน อีกทั้งน้ำยังระเหยช้ากว่าถ้าเทียบกับหม้อที่ทำจากวัสดุอื่น น้ำซุปจะเคี่ยวเข้าเนื้อทำให้รสชาติดีขึ้นและเนื้อจะเปื่อยมากขึ้น
เช่นเดียวกับต้มกีบเท้าหมูและขิงของเมืองกว่างโจว พวกมันก็ถูกตุ๋นในหม้อปรุงอาหารแบบนี้เช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไป น้ำส้มสายชูหมักสีเข้มผสมกับซุปข้นจากตีนหมูหยดลงบนขอบหม้อตุ๋น และเพราะการไหม้ของก้นหม้อ ทำให้หม้อปรุงอาหารกลายเป็นสีดำสนิท
ทว่ายิ่งหม้อปรุงอาหารมีสีเข้มเท่าใด รสชาติและอายุของชื่อแบรนด์ที่ได้รับการยกย่องมายาวนานก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนเพิ่มกระดูกวัวเพื่อทำให้ซุปอร่อยและเข้มข้นยิ่งขึ้น
เมื่อเทียบแค่ใส่ส่วนผสมและเครื่องในวัวแล้ว กระดูกวัวจะยิ่งทำให้รสชาติเข้มข้นขึ้นทั้งหม้อ
ท้ายที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็เติมน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม
ต้มเครื่องในวัวส่วนใหญ่ในเมืองกว่างโจวมีรสหวาน เนื่องจากการเติมน้ำตาล
เธอกังวลว่าคนในมณฑลอวิ๋นจะไม่คุ้นเคยกับรสชาติเช่นนี้ เธอจึงลดสัดส่วนน้ำตาลลง นอกจากนี้คนมณฑลอวิ๋นชอบอาหารรสเผ็ด หญิงสาวจึงเติมพริกแห้งลงไปด้วยให้มีรสเผ็ดเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ แต่ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกเผ็ดจนเกินไป
เธอตักแบ่งบางส่วนแยกไว้สำหรับเสิ่นอี้โจวโดยไม่ใส่พริก และใส่ไว้ในหม้อปรุงอาหารเล็ก ๆ
ถัดจากหม้อขนาดใหญ่ก็จะได้ยินเสียงเดือดปุด ๆ อยู่ข้างใน
เมื่อเครื่องในตุ๋นจนนุ่มก็ให้ใส่หัวไชเท้าขาวหั่นเป็นชิ้นใหญ่แล้วรอประมาณยี่สิบนาที จากนั้นหัวไชเท้าจะดูดซับซุปและได้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์
ต้มเครื่องในวัวและหัวไชเท้าใช้เวลามากกว่าสามชั่วโมงในการทำเพื่อเสิร์ฟบนโต๊ะ
เซี่ยชิงหยวนถือสมุดบันทึกพร้อมกับจดส่วนผสมที่เธอเพิ่งใช้ ทุก ๆ อัตราส่วนที่แตกต่างกันจะนำไปสู่รสชาติที่แตกต่างกันอย่างมาก
ป้าอู๋กับหลินตงซิ่วยังไม่ได้กินข้าวตอนเที่ยง เมื่อต้มเครื่องในวัวและหัวไชเท้าเสร็จ หลินตงซิ่วกับป้าอู๋ก็กลืนน้ำลายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
เซี่ยชิงหยวนเทบางส่วนให้ทั้งคู่ “ลองดูก่อนสิคะว่าชอบไหม?”
หลินตงซิ่วและป้าอู๋แทบรอไม่ไหวที่จะคีบเครื่องในวัวขึ้นมา และยัดมันเข้าไปในปากทันทีที่พวกเธอเป่ามัน แม้ว่าตอนนี้มันจะยังร้อนมากจนแทบลวกปาก แต่พวกเธอก็แค่ใช้มือพัดปากและไม่ต้องการที่จะบ้วนมันออกมา
ทั้งสองเคี้ยวมันจนหมด และพบว่ามันอร่อยมาก จึงคีบอีกชิ้นขึ้นมา
ครั้งนี้ชิมอย่างระมัดระวัง
เครื่องในเนื้อวัวมีความนุ่มและเปื่อยมาก เส้นเอ็นเต็มไปด้วยคอลลาเจน และลำไส้ของวัวก็ยังคงความหนึบหนับอยู่….เห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนผสมที่ผสมในหม้อเดียวกัน แต่รสสัมผัสของแต่ละอย่างก็มีลักษณะเฉพาะของตัวมันเอง
รู้สึกเหมือนสามารถกินซุปและข้าวได้หมดชามเลย
เซี่ยชิงหยวนมองดูทั้งสองอย่างคาดหวัง “เป็นยังไงบ้างคะ?”
ป้าอู๋ยกนิ้วให้เซี่ยชิงหยวน “มันอร่อยมากเลยค่ะคุณนาย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกินเครื่องในเนื้อวัวที่มีรสชาติแบบนี้เลยค่ะ!”
หลินตงซิ่วก็ยกนิ้วให้เช่นกัน “มันอร่อยมากจนแม่แทบรอไม่ไหวที่จะกินมันทั้งหมดเลย!”
เซี่ยชิงหยวนมีความสุขมากหลังจากได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากทั้งสองคน
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนหนูจะมีพรสวรรค์ในการทำอาหารนะ”
เมื่อก่อนแม่สามีของเธอสอนแค่การทำอาหารด้วยวาจาเท่านั้น แต่เธอก็นำมาปฏิบัติและใช้ส่วนผสมอย่างถูกต้อง ทั้งความร้อน และวิธีทำ เติมน้ำเยอะ ๆ ซึ่งล้วนเป็นความรู้ทั้งสิ้น
หลินตงซิ่วยังคงชมเชย “ลูกมีความสามารถทำได้ทุกอย่างจริง ๆ!”
…
เซี่ยชิงหยวนปิดช่องระบายอากาศของเตาอย่างแน่นหนาเหลือเพียงรูเล็ก ๆ เท่านั้น และวางหม้อลงไปเพื่อคอยอุ่นมัน
เซี่ยชิงหยวนดูเวลา ตอนนี้สี่โมงเย็นแล้ว
เธอหยิบชามซุปสะอาดขนาดใหญ่ที่มีฝาปิด ใส่เครื่องในวัวและหัวไชเท้าลงไปมากกว่าสองจิน ตักซุปออกมาเพิ่ม แล้วใส่ซอสพริกกระเทียมที่เธอทำในตอนหลังลงในขวดเล็ก ๆ
ในที่สุดเธอก็ปิดฝาชาม ใส่ลงในตะกร้า คลุมด้วยผ้าแล้วเดินไปที่บ้านของหยวนหงหลี่
เมื่อกำลังจะเดินไปถึงบ้านของหยวนหงหลี่ เธอก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยอยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นเซี่ยจื่ออี้กับฉินซูอวี้
ฉินซูอวี้เดินนำหน้าและหันหน้าออกไปด้านข้าง เซี่ยจื่ออี้เดินตามไปข้างหลังและพูดคุยด้วยรอยยิ้ม แต่ฉินซูอวี้ดูเหมือนจะไม่สนใจมากนัก
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วเบา ๆ
เฉินหลี่ไม่ทำให้เธอผิดหวังเลยจริง ๆ
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นทั้งสองคนนี้ เซี่ยจื่ออี้และฉินซูอวี้ก็เห็นเธอเช่นกัน
ฉินซูอวี้เลิกแสดงสีหน้าเศร้าโศกเมื่อครู่นี้ และดึงหน้าไม่อยากให้เซี่ยชิงหยวนเห็นเรื่องตลก
ส่วนเซี่ยจื่ออี้เพียงยิ้มและทักทายเซี่ยชิงหยวน “ชิงหยวน ช่างบังเอิญจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “ใช่ มันช่างบังเอิญจริง ๆ”
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนกวาดไปทั่วร่างของฉินซูอวี้และพูดว่า “เมื่อกี้ฉันเห็นหญิงสาวสวมเสื้อผ้าสวย ๆ จากในระยะไกล ฉันยังคิดอยู่เลยว่าสวยจังและจะซื้อมาใส่บ้าง แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะกลายเป็นคุณฉิน”
หลังจากที่พูดจบประโยคนี้ รอยยิ้มที่มุมปากของฉินซูอวี้ก็แผ่ขยายอย่างเงียบ ๆ แต่ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเบนไปที่เซี่ยจื่ออี้แล้วพูดต่อ “แต่เมื่อฉันเห็นคุณเซี่ย ฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าด่วนสรุปเร็วเกินไป คุณเซี่ยช่างสวยงามจริง ๆ ทั้งการแต่งกายและรูปร่าง แถมสิ่งสำคัญคือกิริยาที่ดูสง่างามจนใครก็เทียบไม่ได้เลย”
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนพูดจบ สีหน้าของฉินซูอวี้ก็มืดลงทันทีตามที่คาดคิด
ฉินซูอวี้ไม่พูดอะไร เธอพองแก้มของตัวเอง สูดหายใจอย่างหนัก หันหลังกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว
เซี่ยจื่ออี้ไม่สนใจที่จะคาดเดาความตั้งใจของเซี่ยชิงหยวน และรีบไล่ตามฉินซูอวี้ไป “ซูอวี้ รอฉันด้วย!”
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่ร่างของทั้งสองคน และรอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้น
ความริษยาระหว่างผู้หญิงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด มันน่ากลัวมากจนสามารถเปลี่ยนเพื่อนรักที่เคยสนิทกันที่สุดสองคนหันกลับมาแว้งกัดกันได้
นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนอย่าง ฉินซูอวี้ ที่อาศัยอยู่ภายใต้เงาของเซี่ยจื่ออี้มาโดยตลอด
เป็นไงบ้างเซี่ยจื่ออี้? เธอชอบของขวัญชิ้นแรกที่ฉันให้หรือเปล่า?