บทที่ 324 สองร้าน
บทที่ 324 สองร้าน
เสิ่นอี้โจวได้จัดการเตรียมคนที่จะมาตกแต่งร้านไว้ให้แล้ว อีกฝ่ายเป็นอาจารย์ช่างที่มักจะรับผิดชอบในการก่อสร้างของสำนักงานมณฑล
บังเอิญว่าวันนี้เป็นวันรับมอบกุญแจร้านอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วจึงไปที่ถนนอาหารแต่เช้า
นายช่างที่เป็นผู้นำทีมมีแซ่ว่า ‘ค่ง’ เมื่อเซี่ยชิงหยวนเข้าไปในร้าน เขากำลังดูภาพการออกแบบร้านที่เธอวาดเอาไว้
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและเอ่ยเรียก ‘อาจารย์ค่ง’ จากนั้นแนะนำตัวและจุดประสงค์ของการมาของเธอ
อาจารย์ค่งมีส่วนสูงปานกลาง ทำงานกลางแดดตลอดทั้งปีจึงมีผิวสีเข้ม
ทั้งสองทักทายกัน และเซี่ยชิงหยวนก็กล่าวถึงสิ่งงที่ต้องการเพิ่มเติมบางอย่างที่เธอต้องการ
อาจารย์ค่งยิ้มและพูดว่า “ตอนแรกเลขาธิการเสิ่นบอกว่าภาพนี้วาดโดยภรรยาของเขาเอง ตอนนั้นผมไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงนะครับ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ฉันแค่คิดมันขึ้นมาจากความคิดของฉันเองน่ะค่ะ…”
อาจารย์ค่งพยักหน้า “โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่คุณได้แจ้งไว้สามารถทำได้หมดเลยครับ มีแค่ตรงม่านประตู ผมมีข้อเสนอแนะนิดหน่อย”
เซี่ยชิงหยวน “อาจารย์ค่งบอกมาได้เลยค่ะ”
เมื่ออาจารย์ค่งเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนไม่มีท่าทีปฏิเสธ จึงอธิบายว่า “ผมคิดว่าถ้าจะขายอาหาร ม่านประตูที่ยาวเกินไปคงไม่ดีและม่านประตูพลาสติกก็มีข้อเสียคือมันหนักและชำรุดง่าย แถมสีของมันยังซีดไปตามกาลเวลา หากคุณเปลี่ยนแบบให้สั้นลงหน่อยและติดห้อยลงมาจากด้านบน มันจะสามารถเป็นม่านบังแสงได้อย่างสะดวกด้วยครับ”
อาจารย์ค่งทำมือแสดงความสูงที่คอของผู้ใหญ่
เซี่ยชิงหยวนคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับคำแนะนำของอาจารย์ค่ง
ทางเข้าร้านยังมีขั้นบันได หากเพิ่มขั้นบันไดม่านก็จะสูงเท่ากับตัวผู้ใหญ่ ซึ่งจะบดบังการมองเห็นของคนนอกร้าน และยังปิดกั้นสิ่งแปลกปลอมจากนอกร้านได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาคงไม่นั่งกินที่ร้านหรือจัดโต๊ะสำหรับกินบริเวณนอกร้านแน่นอน ดังนั้นทั้งร้านก็จะดูสะอาดตาและเป็นระเบียบมากขึ้น
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็พยักหน้า “คำแนะนำของอาจารย์ค่งนั้นดีจริง ๆ ค่ะ”
พอเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนเห็นด้วย อาจารย์ค่งก็ยิ้มพลางเกาที่ด้านหลังศีรษะและพูดต่อ “จริง ๆ แล้ว ผมยังมีความคิดอื่นอีกน่ะครับ”
เซี่ยชิงหยวนมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม และโบกมือให้เขาพูดต่อ
อาจารย์ค่งกล่าวว่า “ผมรู้ว่าคุณไม่อยากให้ลูกค้ากินอาหารที่ร้าน คุณกังวลเรื่องที่ตั้ง เรื่องปัญหาฝุ่นและสุขอนามัยนั้นคุณน่าจะจริงจังมาก ที่จริงแล้วผมคิดว่าคุณสามารถวางโต๊ะเล็ก ๆ สองโต๊ะไว้ข้างกำแพงได้นะ ซึ่งไม่ได้ใช้พื้นที่มากนัก เมื่อลูกค้าคนอื่นเห็นคนในร้านกินอย่างเอร็ดอร่อย มันจะสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาได้มากขึ้นจริงไหมครับ?”
เซี่ยชิงหยวนคิดตามในคำถามนี้ที่อาจารย์ค่งพูดถึง
ต้มเครื่องในเนื้อวัวที่ทำสดใหม่ในหม้อไม่จำเป็นต้องผัดหรือปรุงอีก มันสามารถตักให้กินได้ทันทีเลย ซึ่งลูกค้าก็น่าจะกินเสร็จอย่างรวดเร็วและทำความสะอาดง่าย
เมื่อได้ยินสิ่งที่อาจารย์ค่งพูด เซี่ยชิงหยวนก็พยักหน้าอีกครั้ง “ตกลงค่ะ วางโต๊ะเล็ก ๆ สองโต๊ะไว้ด้านข้างกำแพงด้วยแล้วกันค่ะ”
โต๊ะเล็ก ๆ นั้นเล็กมาก อาจกว้างไม่ถึงครึ่งเมตรก็ได้
แต่เนื่องจากลักษณะพิเศษของอาหารที่เธอขาย มันจึงสามารถวางชามไว้ข้างหน้าคนคนเดียวได้ไม่เกินสองชาม ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ในตอนแรกอาจารย์ค่งต้องการให้คำแนะนำเล็กน้อยแก่เซี่ยชิงหยวนจากประสบการณ์ของเขาเองเท่านั้น แต่โดยไม่คาดคิด เธอจะตอบรับอย่างรวดเร็วและมีทัศนคติที่ดีด้วย
เขามีความสุขในใจและพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะตกแต่งร้านให้คุณอย่างดีแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ในเมื่อสามีของฉันอุตส่าห์ขอให้อาจารย์ค่งมาทำร้านให้ ฉันย่อมไว้วางใจในตัวอาจารย์ค่งอยู่แล้วค่ะ”
เธอหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แต่ฉันมีคำถามค่ะ ฉันอยากจะยืนยันกับอาจารย์ค่งสักหน่อยว่าจะใช้เวลาตกแต่งร้านกี่วันเหรอคะ?”
เธอจ่ายค่าเช่าไปแล้ว มันเหมือนเธอเผาเงินทิ้งไปทุกวัน ดังนั้นเธอจึงวิตกกังวลเรื่องนี้ไปโดยปริยาย
อาจารย์ค่งตบหน้าอกของเขาแล้วพูดว่า “จะใช้เวลาประมาณสามหรือสี่วันเท่านั้นครับ มันจะเสร็จแน่นอน”
ในแง่ของการตกแต่ง ส่วนใหญ่เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงส่วนสำคัญใด ๆ กับร้านนัก
เธอออกแบบการปรับปรุงอย่างเรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง ดังนั้นการตกแต่งส่วนใหญ่สามารถทำเสร็จได้ในวันเดียว ส่วนเรื่องของวัสดุพิเศษหรือตู้แสดงที่เป็นรูปลักษณ์คลาสสิกก็ได้หามาล่วงหน้าแล้ว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็คำนวณแผนการบางอย่างในใจของเธอได้ หญิงสาวยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอรบกวนอาจารย์ค่งทีนะคะ”
ขณะที่เธอพูด ป้าอู๋ก็รีบเข้ามาจากด้านนอก
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวน เธอก็หอบพลางตบหน้าอกแล้วพูดว่า “คุณนาย ในที่สุดฉันก็เจอคุณสักที”
เธอไปตลาดสดมาก่อน จากนั้นก็มาที่นี่จากเส้นทางข้างตลาดสด โชคดีที่เธอได้เจอคุณนายแล้ว
เซี่ยชิงหยวนรีบพยุงป้าอู๋ และทำให้เธอสงบลง “เกิดอะไรขึ้นคะป้าอู๋?”
ป้าอู๋ตอบกลับ “หลานชายของฉันบอกมาเมื่อกี้ว่ามีร้านค้าบนถนนหลินไห่ที่ต้องการปล่อยเช่า เจ้าของร้านถูกบอกเลิกสัญญาเช่ากะทันหัน หากคุณนายสนใจ ฉันคิดว่าคุณควรไปดูตอนนี้เลยนะคะ และคุณอาจได้เช่าในราคาดีก็ได้ค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยชิงหยวนก็รีบลาอาจารย์ค่งและมุ่งหน้าไปที่ถนนหลินไห่กับป้าอู๋ทันที
ที่ตั้งของร้านที่ป้าอู๋กล่าวถึงนั้นอยู่ห่างจากถนนคนเดินประมาณ 10 เมตร โดยมันเป็นสองคูหาที่ตั้งอยู่ติดกัน แต่ละร้านมีขนาด 37.8 ตารางเมตร
ตอนนี้สภาพร้านแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากร้านค้าเสื้อผ้าที่พร่างพราวตามปกติ เสื้อผ้าที่แขวนในร้านทั้งหมดถูกถอดออก มีคนเก็บเสื้อผ้าไว้ข้างใน และมีเสียงชายหญิงกำลังสาปแช่งกัน
เวลานี้ยังเช้าอยู่ และคนเดินบนถนนไม่มากนัก มีเพียงคนที่เปิดร้านค้าใกล้ ๆ เท่านั้นที่ยืนอยู่ที่ประตูและเฝ้ามองเหตุการณ์
เมื่อชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนดูอยู่ข้างนอกร้านเห็นพวกเธอ เขาก็โบกมือและตะโกน “คุณป้า!”
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้เธออย่างเขินอาย “คุณนายครับ”
ป้าอู๋แนะนำทันที “นี่คือหลานชายที่ฉันเล่าให้คุณนายฟังค่ะ เขาชื่อ อู๋ฟ่าง”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “สวัสดีค่ะ”
อู๋ฟ่างอธิบายให้ทั้งสองคนฟัง “เจ้าของร้านทั้งสองคนนี้เป็นญาติกันครับ คนทางซ้ายคือพี่สะใภ้ ซึ่งเป็นคนเปิดร้านครั้งแรกที่ถนนหลินไห่ ต่อมาเมื่อน้อง ๆ ฝั่งสามีของเธอเห็นว่ามีรายได้ก็เลยเปิดร้านบ้าง แต่ด้วยความบังเอิญกลับได้เปิดร้านข้าง ๆ พี่สะใภ้ตัวเอง และสุดท้ายก็กลายเป็นแย่งลูกค้ากัน ทั้งสองร้านนี้พยายามแย่งลูกค้ากันเอง และลูกค้าของร้านอื่นอย่างดุเดือดโดยใช้ทุกวิถีทาง และทะเลาะกันเองหรือทะเลาะกับคนอื่นหลายครั้ง จนมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีเลื่องลือไปทั้งถนนสายนี้เลยครับ”
“ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หญิงชราที่บ้านของพวกเขาป่วย แต่ละฝ่ายจึงพยายามผลักอีกฝ่ายให้ไปดูแล เพราะกังวลว่าถ้าตนไปดูแลแล้วเมื่อกลับมา กิจการจะถูกยึดเอาไปหมด จึงไม่มีใครเต็มใจไป”
“ต่อมาหญิงชราโกรธลูกชายทั้งสองคนมาก จึงให้ปิดร้านเก็บข้าวของและกลับบ้านทั้งหมด”
“แน่นอนว่าเมื่อเจอคำสั่งแม่ตัวเอง ผู้ชายทั้งสองในครอบครัวจึงต้องยอมและปิดร้านครับ”
“พอเป็นแบบนี้ ลูกสะใภ้ทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับ แต่ก็ยังมีปัญหากับเจ้าของร้าน”
“ตอนนี้ใกล้จะตรุษจีนแล้ว แค่การขนของออกก็ถือว่าลำบาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมแบกรับความเสี่ยง และขอให้เจ้าของร้านคืนเงินค่าเช่าที่เหลือ จนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นครับ”
อู๋ฟ่างเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนในการยืนสืบเพียงไม่นาน
เมื่อเขาพูด ดวงตาของชายหนุ่มส่องประกาย เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะยินดีกับโชคร้ายของคนอื่น แต่เขากระตือรือร้นกับทุกสิ่งจริง ๆ
หลังจากฟังคำพูดของเขาแล้ว มุมริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนก็ยกขึ้น
เธอถามว่า “ค่าเช่าเท่าไหร่นะ?”
อู๋ฟ่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตระหนักว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังคุยกับตนอยู่ เขาจึงพูดทันที “ผมเพิ่งได้ยินพวกเขาพูดกันว่าค่าเช่าร้านปีละสองพันหกร้อยหยวนครับ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อืม มันไม่แพงเลย”
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีคนอยากรับเช่าต่อ แต่เป็นเพราะคนรอบข้างเองก็เช่าร้านอยู่แล้ว
ถ้าคนอื่น ๆ มาเช่าเพิ่มต่อก็คงอธิบายกับเจ้าของร้านเดิมของพวกเขาไม่ได้
นอกจากว่าจะเป็นคนอย่างเซี่ยชิงหยวนที่ต้องการเริ่มเช่าร้านใหม่ และเช่าในระยะยาวหลักหลายปี
ตอนนี้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ไม่แน่
เซี่ยชิงหยวนพูดอย่างครุ่นคิด “ไปคุยกับเจ้าของร้านให้ทีว่าเขาสามารถลดราคาได้ไหม ถ้าได้ ฉันจะเช่าทั้งสองร้านพร้อม ๆ กันเลย”