“ดั่งที่เก่าเวียนมาพบพาน
ยิ่งอ้างว้างยามมองจันทร์
แม้เปลวเทียนส่องชัชวาล ยังตัดพ้อต่อว่าฉัน
…”
เสียงเพลงไหลเอื่อย
ท่วงทำนองยังคงอยู่
ขณะที่ฟังเพลงอย่างระมัดระวัง จู่ๆ หัวใจของหลี่ยางก็เต้นไม่เป็นส่ำอย่างไร้เหตุผล รู้สึกเพียงว่ามีบางอย่างกำลังละลายอย่างเงียบเชียบ
เขามองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าจะมองไปทางไหน สีหน้าของทุกคนก็เริ่มเปลี่ยนไป
คนดนตรีระดับหัวกะทิซึ่งมารวมตัวกันจากทั้งเมือง ล้วนเป็นนักประพันธ์เพลงมือทอง โสตประสาทอันยอดเยี่ยมย่อมทำให้พวกเขาฟังออกถึงความไม่ธรรมดาในบทเพลงนี้
เสียงเพลงยังคงดังต่อไป
“หนึ่งไหลอยล่อง
ออกท่องหล้ายากกล้ำกลืน
ยามเธอจากลา
กรุ่นกลิ่นสุราหวนร่ำรสวันวาน
รินไหลตามธาร
ไม่อาจเหนี่ยวรั้งกาล
เพียงครั้งเดียวที่บุปผาบาน
ฉันกลับพลั้งพลาดไป”
หากกล่าวว่าเพลงบลูสตาร์ของหยางจงหมิงฮึกเหิมห้าวหาญ อยู่ในสภาวะที่ที่เรียกว่า ‘ดนตรีที่ยิ่งใหญ่มักเรียบง่าย’…
เช่นนั้นเพลงนี้ของเซี่ยนอวี๋นั้นประณีตและสง่างาม ประหนึ่งการสลักมังกรวาดหงส์ต่อหน้าอย่างแท้จริง
ห้าวหาญ
สง่างาม
ความเศร้าและความจนใจในเพลงลมบูรพาร้าวราน คือความรู้สึกของรักแรกครั้นเยาว์วัย
สไตล์ดนตรีย้อนยุคผสมผสานกับจิตวิญญานของเพลงเปียโนสมัยใหม่ แต่กลับปราศจากความย้อนแย้งในตัวเอง
ทุกสิ่งดูกลมกลืนกันเหลือเกิน
ในความเสียใจ
ภาพฝันยังคงลอยล่อง
ประหนึ่งกำลังท่องอยู่กลางทะเลสาบ
ภาพที่เห็นจากเรือ คือทิวเขาเขียวชอุ่ม ผิวน้ำเหนือทะเลสาบกำลังกระเพื่อมอย่างแผ่วเบา และกาลเวลาผันผ่าน
ฉากนี้เปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์ของความเก่าแก่ ประหนึ่งสรรพสิ่งนั้นกำเนิดขึ้นโดยธรรมชาติ
ระลอกคลื่นค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ชวนให้ประหลาดใจ
ท่ามกลางท่วงทำนองโบราณซึ่งกระโดดไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ผีผาประดุจลูกแก้วหยกกลมกลิ้ง
ซอเอ้อร์หูเต้นเริงระบำไปตามกาลเวลา
บางครั้งเสียงของฮาร์ปบรรเลงอย่างไพเราะ
ครั้นทำนองท่อนคอรัสดังขึ้น บรรยากาศในห้องคล้ายกลับเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจอธิบายได้ หัวใจของทุกคนสั่นระรัวขึ้นมาในทันที
“ใครหนอกรีดผีผาบรรเลงลมบูรพาร้าวราน
คืนวันจารึกบนผนังฉันเห็นมาเนิ่นนาน
ยังจดจำปีนั้นของเราสองในวันวาน
มิอาจเปรียบเพลงฉินดังขับขาน
ฉันเฝ้ารอ แต่เธอไม่ได้ยินไปตลอดกาล…”
ริมฝีปากของหลี่ยางค่อยๆ เผยอออก
ทางซ้ายของหลี่ยาง
นักประพันธ์เพลงมือทองซึ่งก่อนหน้านี้กล่าวยกย่องความประณีตของเพลงบลูสตาร์ ขณะนี้เขาตาโตจนเป็นลูกปิงปอง
ทางขวาของหลี่ยาง
นักประพันธ์เพลงมือทองซึ่งพูดว่า ‘หยางจงหมิงชนะแน่’ สีหน้าของเขาแลดูราวกับท้องผูกประหนึ่งเมนเทอร์สักท่านหนึ่งในรายการ Sing! Ch**a! ขณะได้ฟังการแสดงสด
เทพแห่งการแสดงสีหน้ากลับมาสถิตแล้ว
ที่จริงแล้วการขับร้องเพลงนี้ไม่ได้รุนแรง
การขับน้องท่อนคอรัสนั้นเบาบางราวกับสุราดีกรีต่ำที่ได้ลิ้มรสก่อนมื้ออาหาร สัมผัสได้เพียงความมึนเมาเพียงเล็กน้อย
แต่ว่า…
ขณะที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว ความมึนเมาก็ทะลวงเข้าสู่หัวใจในชั่วพริบตา หนักหน่วงเสียยิ่งกว่าฤทธิ์สุราดีกรีแรง
ทุกคนล้วนเมามาย
เมามายอยู่กลางลานบ้านซึ่งรายล้อมไปด้วยรั้ว
ในเวลานี้ตะเกียงอันเดียวดายมอดไหม้ ท่ามการอันธกาลยามค่ำคืน หลังจากร่ำสุรารสกล่อมกล่อมจากการบ่ม นักเดินทางซึ่งท่องไปสุดหล้าฟ้าเขียวค่อยๆ ฮัมเพลงจากความทรงจำในวัยเด็กของเขา
ใครหนอกรีดผีผาบรรเลงลมบูรพาร้าวราน
ใบเฟิงย้อมสีเรื่องราวจนฉันเห็นฉากอวสาน
บนเส้นทางเก่านอกรั้วฉันจูงมือเธอข้ามผ่าน
ทิ้งร้างกันไปแสนนาน
แม้แต่ลาจากยังคงเงียบงัน
…”
ความเมามายจางหายไป
ชั่วขณะนั้น ทั้งที่ตัวอยู่ในห้องโถงอันทันสมัย ทุกคนกลับรู้สึกว่ามองเห็นช่วงเวลาในสมัยโบราณค่อยๆ ปรากฏเป็นเค้าโครงขึ้นมาอย่างพร่าเลือน
ไม่มีเสียงรัวกระหน่ำของกลอง
ไม่มีท่วงทำนองระเบิดเวที
ไม่จำเป็นต้องมีเสียงอันไพเราะ
นี่คือเรื่องราวกันยอดเยี่ยม
เมื่อท่อนคอรัสที่สองจบลง โน้ตที่เหลือเป็นเพียงเสียงดนตรี แต่ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือบรรยายให้ละเอียด ทุกคนยังคงเข้าใจสิ่งที่สื่อผ่านบทเพลง
ราวกับถึงเวลาที่ทุกคนต้องตื่นขึ้นเมื่อเพลงจบลง
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเสียดาย…
ทุกคนคล้ายกับกำลังจมอยู่ในความเงียบงัน รู้สึกผิดหวังและท้อใจ
ความจนใจของวันเวลานั้น ไม่รุนแรง ไม่เบาบาง ไม่ยากจดจำ แต่กลับลืมไม่ลง
ความงดงามล้วนถูกกลืนหายไปท่ามกลางความเก่าแก่
ความโศกเศร้าทั้งหลายหลงเหลือเพียงคำถามชวนฉงนใจเพียงข้อเดียว
ใครหนอกรีดผีผาบรรเลงลมบูรพาร้าวราน
ดังนั้นผู้คนซึ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน จึงเงียบงันอีกครั้ง และเมื่อถึงจุดหนึ่ง มีคนถอนหายใจออกมา
ในที่สุดความเงียบก็ถูกทำลาย
หลี่ยางเอ่ยอย่างยากลำบาก “ตั้งแต่เดบิวต์มาไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังเท่านี้มาก่อน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตนี้คงเป็นพ่อเพลงไม่ไหวแล้ว…”
คนอื่นๆ ต่างยิ้มขมขื่น
ความสะท้อนใจของหลี่ยาง มีหรือจะไม่ใช่ความรู้สึกของคนอื่นๆ
ในค่ำคืนนี้ หยางจงหมิงและเซี่ยนอวี๋ยิงศรซ้ายขวา ทำลายหัวใจของนักประพันธ์เพลงหลายคน ทำให้ความภาคภูมิใจอันน้อยนิดซึ่งเก็บซ่อนไว้ในใจของพวกเขากลายเป็นไร้ค่าขึ้นมา
เพราะนักประพันธ์เพลงในที่นี้ล้วนเข้าใจดี
ไม่ว่าจะ ‘บลูสตาร์’
หรือ ‘ลมบูรพาร้าวราน’
ล้วนเป็นเพลงที่พวกเขาไม่สามารถเขียนออกมาได้
เป็นเพลงที่ทั้งชีวิตก็เขียนออกมาไม่ได้
เพลงลมบูรพาร้าวรานนี้เป็นเพลงสไตล์โบราณ ทว่าเมื่อมองจากภาพรวม…
จะยังนับว่าเป็นเพลงสไตล์โบราณได้หรือ?
“ถ้าเพลงนี้ยังถือว่าเป็นเพลงสไตล์โบราณ งั้นทันทีที่ลมบูรพาร้าวรานออกมา เพลงสไตล์โบราณเพลงอื่นดูเหมือนจะไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น”
“เปียโน ผีผา ซอเอ้อร์หู กู่เจิง เหมือนว่าจะมีฮาร์ปหรือขิมอีก?”
“ฮาร์ป”
“ถึงแม้ในแง่ของเนื้อเพลงจะมีความทันสมัยกว่าเพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่กลับไม่ได้ด้อยกว่า”
“เนื้อเพลงไม่ได้จงใจพูดถึงความโหยหาและความโศกเศร้า แต่พอดนตรีดังขึ้น คุณจะเกิดความรู้สึกแบบนั้น ต่อให้คุณไม่ได้อ่านเนื้อเพลง ไม่ได้ฟังเสียงร้อง ใช้คำพูดว่าโศกเศร้าแต่ไม่เจ็บปวดมาอธิบายได้ใกล้เคียงมาก”
“กวีนิพนธ์โบราณ วัฒนธรรมโบราณ ทำนองโบราณ วิธีการร้องใหม่ การเรียบเรียงใหม่ และแนวคิดใหม่”
“ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเชิงศิลปะ ทำนอง หรือโน้ตล้วนเลือกสรรมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นผลงานชิ้นเอกที่ได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถัน และแทบจะผสมผสานดนตรีโบราณและสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว”
“นี่คือ…”
“สไตล์ใหม่…”
“ถ้าจะเรียกว่าผลงานชิ้นเอกของดนตรีสไตล์โบราณก็อาจไม่เกินจริง เพลงของเขาได้ยกระดับดนตรีสไตล์โบราณขึ้นไปถึงจุดที่พ่อเพลงหลายคนไม่อาจแตะถึง”
“…”
ทุกคนกำลังพูดคุยกัน
ไม่มีการตะโกนโวยวาย ไม่มีน้ำลายกระเด็น
ทว่าท่ามกลางน้ำเสียงซึ่งแลดูสงบนี้ ที่จริงกลับแฝงไปด้วยความตกตะลึงที่ลึกซึ้งลงไปอีกชั้นหนึ่ง!
ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความตกตะลึงประเภทนี้อีกเลย หลังจากฟังเพลงอื่นๆ ต่อไป
ดังนั้น…
หลังจากที่ได้ดูชาร์ตเพลงไปรอบหนึ่งแล้ว มีคนเอ่ยขึ้นว่า “พวกคุณว่าหยางจงหมิงกับเซี่ยนอวี๋ใครจะชนะ”
หลี่ยางชี้นิ้วมือขึ้นฟ้า “มีแต่สวรรค์รู้”
มีคนเสนอ “ลองโหวตดูไหม?”
ทุกคนพยักหน้า
“คนที่สนับสนุนเซี่ยนอวี๋ชูมือรูปกรรไกร คนที่สนับสนุนหยางจงหมิงชูมือรูปค้อน”
พรึบๆๆ
ทุกคนต่างชูมือขึ้น
หลี่หยางมองอย่างรวดเร็วและพบว่าเขาไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างคะแนนโหวตของสามสิบคนได้ มีกรรไกรและค้อนมากมาย
นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่เกินจริงที่สุด
สิ่งที่เกินจริงที่สุดคือหลี่ยางเห็นสักเจ็ดแปดคนซึ่งเปลี่ยนไปมาระหว่างกรรไกรและค้อน
สลับไปสลับมา
“อย่าสลับแล้วได้ไหมครับ” หลี่ยางเกาศีรษะ
“ไม่ใช่ว่าผมอยากสลับหรอก”
นักประพันธ์เพลงมือทองคนนั้นคล้ายกับกำลังรู้สึกหนักใจ “พอในสมองผมมีเพลงของหยางจงหมิงดังขึ้น สมองของผมก็บอกว่าหยางจงหมิงต้องชนะ แต่พอในสมองมีเพลงลมบูรพาร้าวรานดังขึ้น สมองของผมก็บอกว่า เซี่ยนอวี๋เป็นแชมป์สามสมัยแล้ว”
“คุณ…”
หลี่ยางนึกอยากบ่น ทว่าคำพูดกลับหยุดลงที่ริมฝีปาก
เพราะทุกคนล้วนพยักหน้าเห็นด้วย
ทันใดนั้นหลี่ยางก็นึกถึงเจิ้งจิงซึ่งตนติดตามบนปู้ลั่ว เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอโพสต์ภาพ…
หลี่ยางเพิ่งเข้าใจความนัยของภาพนั้นก็ตอนนี้เอง
เซี่ยนอวี๋คือซุนหงอคง
หยางจงหมิงคือเทพเอ้อร์หลาง
ฉากนี้ ถ้าหากไม่ได้ต่อสู้กันสามสิบวันเต็ม บางทีอาจไม่มีทางรู้ผลแพ้ชนะเลยก็เป็นได้