ตอนที่ 120 หลังจากฟ้าสาง
หนิงอี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
นี่เรียกว่าหลักการอะไร
สวีชิงเยี่ยนยิ้มแป้น “หนิงอี้ เจ้าดูสิ โรคในตัวข้า พี่กับองค์ชายสามยังรักษาไม่ได้…มีเพียงเจ้าที่รักษาข้าได้ ข้าต้องเลือกยืนข้างเจ้าแน่”
หนิงอี้ได้แต่เงียบ
เขาเงียบลงเล็กน้อย…เด็กสาวข้างหลังอยู่คนละโลกกับตนจริงๆ…ตั้งแต่ตอนนั้นที่หนิงอี้จับกระบี่ เผชิญหน้ากับคำถามและผู้คนที่ท้าทายเส้นตายตนพวกนั้น ก็ไม่อาจนั่งลงแก้ไขอย่างสงบใจได้อีก หากมีคนคิดจะใช้วิธีบังคับควบคุมชะตาชีวิตตน ขังอิสระของตน เช่นนั้นก็จะยอมสู้ตาย ไม่ยอมอยู่รอดไปวันๆ
หนึ่งกระบี่ตัดโซ่จองจำ นี่เป็นทางเลือกเดียว
จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวีชิงเยี่ยนที่แก้ต่างให้พี่ชายที่ทำเรื่องเลวร้ายสุดจะทนแทนตน
หนิงอี้สะบัดศีรษะ มองไกลออกไป ในดวงตาเขาแฝงอารมณ์ซับซ้อน แม่นางสวีคนนี้เหมือนนกลายทองที่ถูกคนขังในกรง ไม่มีใครชอบรสชาติของการถูกขัง ยังจำได้ว่าตอนอยู่อารามรู้กรรมนางเคยพูดว่า…สิ่งที่ตนต้องการมากที่สุดคือได้เห็นแสงสว่างข้างนอก
หากวันหนึ่งนางได้เห็นแสงสว่างจริงๆ เห็นโลกข้างนอก จะยังรักษาหัวใจทารกแรกเกิดนี้ได้หรือไม่
หิมะเดิมทีไร้มลทิน ตกลงในโลกมนุษย์ก็จะเปื้อนสิ่งสกปรก ใจคนก็เช่นกัน
“เจ้าคิดว่าข้าไม่เห็นแก่ตัว ไม่อาฆาตแค้น…เป็นแม่พระมากอย่างนั้นหรือ”
ทันใดนั้น คำพูดเช่นนี้เข้าถึงหูหนิงอี้
หนิงอี้ไม่รู้ว่าสวีชิงเยี่ยนเคยได้ยินคำว่าแม่พระมาจากที่ใด
ความจริงตอนสวีชิงเยี่ยนอยู่ในลานบ้านเล็กเมืองหลวง ก็ร้องขอหนังสือมาอ่านทุกวัน เรื่องน่าสนใจใหม่ คำพูดแปลกๆ ตามชนบท…นางรู้ความหมายของแม่พระ นั่นคือคนที่ให้อภัยคนอื่นอย่างไม่มีขอบเขต ไม่ว่าใครก็จะมีใจโอบอ้อมอารี การกระทำทุกอย่างมีคำว่า ‘ความรัก’ และ ‘ความดี’ โอบล้อม ถูกล้อเลียนว่ามารดาของนักปราชญ์
“แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น”
สวีชิงเยี่ยนเอ่ยเรียบๆ “ข้าไม่แค้นพี่ชายข้า หากไม่มีเขา ข้าคงตายในผ้าอ้อมไปนานแล้ว เขาให้ข้ามาเยอะมาก…ตอนนี้เขาอยากให้ข้ากลับไป ดังนั้นทุกวันที่ข้าอยู่ในเมืองหลวงก็เหมือนชดใช้หนี้ นี่เป็นความเจ็บปวดในใจอย่างหนึ่ง หนี้นี้ เขาคิดว่าข้าติดค้างเขา”
เด็กสาวชะงักไปก่อนจะยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “แต่ความจริงความรักสิ่งนี้…ไม่ควรชั่งน้ำหนักเช่นนี้ เขาแค่ต้องการบอกข้าอย่างอ่อนโยนว่าเขาอยากให้ข้าทำอะไรเพื่อเขา อยู่ในบ้าน ละทิ้งอิสระและแสงสว่าง กระทั่งตายแทนเขา ถ้าตอนแรกสุดเขาบอกข้า ข้าก็คงจะทำจริงๆ ตอนนั้น โลกของข้าดำมืด พี่ชายเป็นแสงสว่างเดียวของข้า”
“พี่ข้าฉลาดมาก เรียนรู้การขู่เข็ญและหลอกล่อหลอกปุถุชนได้เร็วมาก ราบรื่นไปเสียทุกอย่าง จากนั้นเขาก็ใช้งานข้า…” ในดวงตาเด็กสาวมีความหงอยเหงา พูดพึมพำ “ตอนนี้ข้าไม่แค้นเขา แต่ก็แค่ไม่แค้นเขา…เท่านั้น เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก”
สวีชิงเยี่ยนเงียบลง
หนิงอี้ก็เงียบเช่นกัน
แม่นางสวีที่เอาสองมือกอดเอวตนเหมือนลูกนกที่เลี้ยงในกรงมืดมิด โดดเดี่ยวแต่ก็แข็งแกร่ง ฉลาดแต่ก็อารมณ์อ่อนไหว นางเหมือนจะต่างจากที่ตนคิดไว้ นางรู้เรื่องจิตใจคน รู้จักคาดเดาใจคน และยิ่งรู้จักการซ่อนความเจ็บปวด ใช้รอยยิ้มตอบคน อย่างน้อยก่อนคำพูดพวกนี้ หนิงอี้ก็คิดมาตลอดว่าแม่นางสวีไม่ได้แค้นพี่ชายตนรวมถึงองค์ชายสามนั่น ยังมีการเฝ้ารอคอยช่วงสุดท้าย…
แม้คนทั้งโลกจะมองว่านางเป็นสินค้าของแดนประจิม แต่นางเองไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย
นางคือคน
เป็นคนที่พูดได้กระทำได้ มีอิสระ
“ยินดีกับเจ้าด้วย”
หนิงอี้พูดเสียงเบาทันที
“เจ้าเป็นอิสระแล้ว”
สวีชิงเยี่ยนอึ้งงัน
หนิงอี้เอ่ยเสียงเบา “อย่างน้อยเจ้าในตอนนี้ก็ได้รับอิสระชั่วคราว ไม่ว่าจะองค์ชายสามหรือสวีชิงเค่อ ก็ไม่อาจขวางเจ้ามองเห็นแสงสว่างได้…”
สวีชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้น
เส้นทางภูเขาแคบ ฝนตกกระเซ็น ท้องฟ้าเป็นเมฆครึ้ม
นางพูดพึมพำ “แต่ข้างหน้ามืดมิด มองไม่เห็นอะไรเลย”
หนิงอี้พูดเสียงต่ำ “ไม่ใช่…หลังฟ้าสางจะสวยงามมาก”
สวีชิงเยี่ยนที่กอดเอวหนิงอี้ก้มหน้าลง เหมือนกำลังตั้งใจย่อยคำพูดของเด็กหนุ่ม
“ถึงแล้ว”
กระบี่พินิจเหมันต์หยุดลง สวีชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้น เห็นหินผาคุ้นตานั้น สองคนโดดลงจากกระบี่ มาหน้าผายิ่งใหญ่ของแดนต้องห้ามบุพกาล
“ที่นี่มีผนึกแก่กล้า ต้องมีสายเลือดราชวงศ์ถึงจะเข้าไปได้” สวีชิงเยี่ยนยืนหน้าผนังหิน นางกลั้นลมหายใจ พูดอย่างจริงจัง “แต่ความเป็นเทพของข้าเปิดผนังหินได้ ข้าจะลอง”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เขาเข้าใจความหมายของสวีชิงเยี่ยน
“สองคนนั่นอยู่ในนี้รึ”
สวีชิงเยี่ยนตอบอืม นางยื่นมือมาข้างหนึ่ง กดบนผนังหินช้าๆ ไอร้อนลอยขึ้น ทั้งผนังหินสั่นสะเทือน ก้อนหินโคลงเคลง ทั้งฟ้าดินภูเขาแดงสั่นสะเทือน
สายเลือดราชวงศ์ต้าสุยมีพรสวรรค์รวมถึงขีดจำกัดที่แข็งแกร่งยิ่ง พวกเขาใช้สายเลือดที่ไหลเวียนในกายเข้าออกเขตต้องห้ามส่วนใหญ่ได้ เพราะราชนิกุลปกครองใต้ฟ้าต้าสุย ดังนั้นอันตรายเขตต้องห้ามส่วนใหญ่จึงหลีกทางให้สายเลือดใหม่ของพวกเขา
หนิงอี้มองผนังหินนั้น…พุ่งไปข้างหน้า ไอปีศาจข้างหลังถูกสะบัดออกไปแล้ว ยอดปีศาจนั่นเหมือนจะไม่ตามมาหรือ สรุป นี่เป็นเรื่องดี แต่ก็จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด ใครจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรขึ้น…เขากอดพินิจเหมันต์ ถอยสองก้าวไปเงียบๆ รอเด็กสาวปลดพันธนาการของผนังหิน จากนั้นสองคนก้าวเข้าไปในเขตต้องห้ามพร้อมกัน
สวีชิงเยี่ยนมีเหงื่อเย็นๆ ซึมมาบนหน้าผาก
ความเป็นเทพในกายนางยังคงมหาศาล ไหลเข้าไปในผนังหินช้าๆ และมั่นคง แต่เหมือนไม่เกิดผลที่มากพอ แดนต้องห้ามบุพกาลแห่งนี้เปิดออกแล้ว และประตูอยู่ตรงนั้น ความเป็นเทพที่สวีชิงเยี่ยนส่งไปข้างในไหลเวียนหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว ผนึกยังคงแน่นิ่งและยังสะท้อนกลับมา
นางหน้าซีดขาว ซวนเซถอยไปสองก้าว สายตาที่มองหนิงอี้มีความจำใจเสี้ยวหนึ่ง
สวีชิงเยี่ยนสังเกตเห็นว่าหนิงอี้มีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้น ยกมุมปากน้อยๆ
“ข้านึกถึงเรื่องที่น่าสนใจได้อย่างหนึ่ง…”
หนิงอี้มองประตูหินที่เปิดออกบานนั้น เขาถอนหายใจเบา “ดูท่าเวลาคงเหลือไม่มากแล้ว ความเป็นเทพของเจ้าช่วยเราเข้าไปข้างในไม่ได้ เจ้าคิดว่าไม่มีทางไปได้แล้วหรือ”
สวีชิงเยี่ยนกัดฟัน “ทางตะวันออกยังมีอีกประตู…เราเปลี่ยนทิศทางดีหรือไม่”
หนิงอี้ยิ้ม “คิดจะใช้ความเป็นเทพติดสินบนเขตต้องห้ามนี่ ให้มันปล่อยเราสองคนเข้าไป…หากเจ้าทำสำเร็จจริงๆ ข้าจะคุกเข่าให้เจ้าเลย เจ้าน่าจะรู้ดีว่ามีโอกาสสำเร็จไม่มาก ไม่อยากเชื่อว่ายังกล้าพาข้ามาแดนต้องห้ามบุพกาล ที่นี่เป็นทางตัน เจ้าไม่กลัวเราสองคนตายกันที่นี่รึ”
สวีชิงเยี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย
หนิงอี้เงยหน้าขึ้น พูดปลง “จุดแปลก…ไม่อยากเชื่อว่าที่นี่จะมีจุดแปลก มองอย่างไรก็ไม่เหมือนสุสานฮวงจุ้ย ใต้ภูเขาแดงส่วนลึกเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ หรือว่าจะฝังสุสานของปราชญ์ปีศาจโบราณนั้นไว้”
สวีชิงเยี่ยนมีสีหน้าสับสน
“ตามข้ามา”
หนิงอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือพินิจเหมันต์ เดินนำหน้าไปก่อน ระหว่างทางแน่นอนว่าต้องจับมือสวีชิงเยี่ยน เด็กสาวอยากจะดึงมือกลับตามจิตใต้สำนึก แต่ก็หยุดการกระทำนี้ไว้ หนิงอี้เห็นก็ยิ้ม “วางใจเถอะ ไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
“ดู…”
สวีชิงเยี่ยนสังเกตเห็นลักษณะมือของหนิงอี้ เด็กหนุ่มที่ผูกพินิจเหมันต์ไว้ตรงเอว นำเข็มทิศทองสัมฤทธิ์เก่าแก่และเรียบง่ายออกมาจากกระเป๋าเอว หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว กดความเหนื่อยล้าในน้ำเสียงลง พูดอธิบาย “สมบัติของศิษย์พี่ข้า ความลับที่ไม่เผยแพร่ของเขาสู่ซาน”
สวีชิงเยี่ยนกะพริบตา นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเขาสู่ซานจะมีวิชาเข็มทิศด้วย จึงพูดด้วยความสงสัย “ความลับที่ไม่เผยแพร่รึ”
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งกดเข็มทิศกับผนังหิน กระแอมไอทีหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ที่ไม่เผยแพร่…ก็เพราะถ้าเผยแพร่ออกไป เช่นนั้นเกรงว่าคงจะรักษาชีวิตน้อยๆ ของศิษย์พี่คนนั้นของข้าไว้ไม่ได้”
สวีชิงเยี่ยนพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง นางหลุดหัวเราะออกมา ศิษย์พี่คนนั้นบนเขาสู่ซานของหนิงอี้คงจะเป็นโจรปล้นสุสานใต้ดิน…ไม่รู้ว่าทำเรื่องเลวลับหลังมาเท่าไรแล้ว
หนิงอี้มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
ในความคิดเขา คัมภีร์สะท้านมังกรส่วนนั้นหลอมรวมกับคัมภีร์กังขามังกรแล้ว สุสานใต้ฟ้า แม้แต่สุสานจักรพรรดิเขายังไปได้ หากเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเป็นสุสานยักษ์จริงๆ เช่นนั้นก็คงขวางตนไว้ไม่ได้
หนิงอี้พูดช้าๆ ด้วยใบหน้าจริงจัง
“แสวงมังกรพันหมื่นดูล้อมขุนเขา ล้อมหนึ่งชั้นคือหนึ่งด่าน”
“ประตูปิดเหมือนมีกรหนักพันชั่ง ต้องมีบรรดาศักดิ์อยู่แน่”
เข็มทิศที่กดกับผนังหินนั้นสั่นไหวเบาๆ
สวีชิงเยี่ยนรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนจากตัวภูเขา ขยายมาไม่ขาดสายจากตัวภูเขาถึงเข็มทิศ จนมาถึงเด็กหนุ่มที่ถือเข็มทิศและท่องมนตร์ไม่หยุด สุดท้ายมาถึงตนเองที่ถูกจับมือ…หินผาร้อนระอุที่มองเห็นปรากฏประกายไฟจุดๆ ขึ้นมา
แสงสว่างลอยขึ้นมาทีละสาย ยืดยาวตัดสลับกันในตัวภูเขา เหมือนโซ่ยักษ์
ปิดประตูเหมือนมีกรหนักพันชั่ง…
ต้องมีบรรดาศักดิ์อยู่แน่นอน!
หนิงอี้ตาเป็นประกายขึ้น ที่ราบกระดูกในตัวเขาสั่นไหวไม่มั่นคง ที่นี่มีสุสานอยู่จริงๆ
จุดแปลกตรงหน้าวางสิ่งกีดขวางมหึมาไว้ ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเป็นมหาปราชญ์เผ่าปีศาจ สุสานที่นี่ย่อมเป็นของผู้บำเพ็ญใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ดังนั้นเผ่าปีศาจน่าจะเข้าไปได้สบาย หากเผ่ามนุษย์จะบุกเข้าไป เว้นแต่จะเป็นราชวงศ์ต้าสุยที่มีสายเลือดแข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้นก็ยากจะผ่านแรงปะทะของจุดแปลกได้
แต่ทุกอย่าง…สำหรับหนิงอี้ที่มีที่ราบกระดูกแล้ว ไม่ใช่ปัญหาเลย
จุดแปลกทั้งหมดในโลก ประตูทุกบาน ล้วนมีกุญแจที่เหมาะสม
ที่ราบกระดูก ก็คือกุญแจครอบจักรวาลนั้นที่เปิดได้ทุกประตูในโลก
……………………….