ตอนที่ 295 ยั่วโมโห
เฉินฮูหยินยังไม่ทันได้เป่าลมข้างหูเยียนโส่วจ้าน เยียนโส่วจ้านก็ได้รับจดหมายจากเยียนอวิ๋นฉวนเสียก่อน
เยียนอวิ๋นฉวนอยากออกจากเมืองหลวง กลับแคว้นซ่างกู่ เขาเขียนจดหมายขอความเห็นจากเยียนโส่วจ้านด้วยถ้อยคำที่จริงใจ
เยียนโส่วจ้านส่งจดหมายให้ตู้ซินแส พลันถาม “ข้าควรรับปากเขาหรือไม่”
ตู้ซินแสพูดพลันครุ่นคิด “ท่านโหวอยากให้นายน้อยใหญ่กลับมาหรือไม่”
เยียนโส่วจ้านยิ้ม “ทันทีที่เขากลับมา ย่อมจะเกิดความวุ่นวาย”
ตู้ซินแสคิ้วกระตุก
ดูท่าทางบิดาและบุตรจากกันนับปี ความรักที่ท่านโหวมีต่อนายน้อยใหญ่เจือจางลงไปแล้วเสียจริง
ดังนั้นเขาจึงพูด “ข้าคิดว่า อย่างไรนายน้อยใหญ่ก็ต้องกลับมา สู้ใช้โอกาสนี้ให้เขากลับมาเถิด!”
เยียนโส่วจ้านไม่คัดค้าน
หลังจากเงียบไปเป็นเวลานาน เขาจึงพูดขึ้น “เขาจะกลับมาย่อมได้ ข้าไม่กีดขวางเขา แต่ว่าทุกสิ่งต้องเริ่มต้นใหม่ หากคิดจะฉวยประโยชน์คงเป็นไปไม่ได้”
“ข้าจะเขียนจดหมายตอบกลับนายน้อยทั้งหมด”
เยียนโส่วจ้านพยักหน้าอนุญาต
นอกจากนี้ เขายังยอมรับข้อเสนอของตู้ซินแส ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับตระกูลหลิวแห่งเหลียงโจว
หลิวเป่าจูเป็นสะพานสานสัมพันธ์ให้ตระกูลทั้งสอง
อวี้สื่อเหลียงโจวแสดงออกอย่างชัดเจน เห็นแก่บุตรสาวหลิวเป่าจู เขาไม่ถือสาเยียนโส่วจ้าน
เยียนโส่วจ้านหัวเราะร่า ส่งคนส่งสารของตระกูลหลิวจากไปอย่างอารมณ์ดี
แต่เมื่อหันกลับมา สีหน้าของเขาก็ดำทะมึน
“ตระกูลหลิวหมายความว่าอย่างไร คิดว่าข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาหรือ เขาคิดว่าข้าต้องขอร้องเขาจริงหรือ”
“เพียงแค่ข้าขยายกองกำลังได้อีกหนึ่งหมื่น ต้องการเพียงกองกำลังอีกหนึ่งหมื่น นับจากนี้ต่อไป ผู้ใดก็อย่าคิดจะได้ชี้นิ้วต่อหน้าข้า”
การขยายกองกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งหมื่นนายอย่างน้อยต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลายแสนก้วนต่อปี
มันเป็นภาระที่หนักมาก
ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีแหล่งทรัพย์สินที่มั่นคงนั้น เยียนโส่วจ้านไม่กล้าขยายกองกำลังเพิ่มหนึ่งหมื่นนาย
หากราชสำนักไม่เรียกคืนเมืองป๋อไฮ่ ให้เวลาเขาอีกหนึ่งถึงสองปี เขาย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอในการขยายกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย
แต่จะทำอย่างไรได้!
“เขียนจดหมายไปให้ฮูหยิน! ราชสำนักเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่ นอกจากนี้นางยังได้ตำแหน่งองค์หญิง มีเพียงข้าที่ไม่ได้ ให้นางทูลขอมาให้ข้าให้ได้ ตำแหน่งขุนนางระดับสี่ก็คิดจะชดเชยให้ข้า ข้าไม่ใช่ขอทาน นอกจากนี้ ส่งฎีกาให้ราชสำนัก ขอเงินและเสบียงจากราชสำนัก คิดจะจับเสือมือเปล่า อาศัยเพียงตำแหน่งขุนนางแลกเมืองป๋อไฮ่คืน ฝันไปเถิด!”
เยียนโส่วจ้านโกรธมาก
คราวนี้เขาเสียหายอย่างแสนสาหัส
เดินทัพถ่วงเวลากองทัพซีหยง สุดท้ายไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่น้อย เมืองป๋อไฮ่ก็หลุดมือไปอีก
ตำแหน่งขุนนางระดับสี่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
ตำแหน่งองค์หญิงก็สืบทอดไม่ได้ สำหรับเยียนโส่วจ้านแล้วมันจึงไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน
ไฟโกรธเต็มท้องหาที่ระบายไม่ได้ เยียนโส่วจ้านจึงต้องหาทางระบายในเรือนหลัง
เฉินฮูหยินคว้าโอกาสนี้เอาไว้ เป่าลมข้างหูเขา
“…เพียงชั่วพริบตา อวิ๋นฉวนก็ไปเมืองหลวงมานานหลายปีแล้ว ไม่รู้เวลานี้เขาจะอ้วนหรือผอม ร้อนหรือหนาวอย่างไร ท่านก็เห็นว่าเขาไม่เด็กแล้ว แม้แต่สะใภ้ยังไม่มี ข้านึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็กลุ้มใจยิ่งนัก คนที่เด็กกว่าเขาทั้งหลายล้วนแต่งงานแล้ว เขาเป็นพี่ใหญ่ เรื่องคู่ครองยังไม่คืบหน้า เรื่องนี้ท่านโหวต้องใส่ใจบ้างนะเจ้าคะ!”
เยียนโส่วจ้านนอนอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่ผ่อนคลาย
เขากวาดตามองเฉินฮูหยิน “พี่ใหญ่เจ้าพูดเรื่องใดกับเจ้าอีก”
เฉินฮูหยินยิ้มเก้อ “ท่านโหวเข้าใจผิดแล้ว พี่ใหญ่ก็แค่เห็นใจข้า รู้ว่าข้ากับเจ้าใหญ่ห่างไกลกันหลายปี ข้าคิดถึงเขาอย่างมาก ท่านโหวโปรดเมตตาให้เจ้าใหญ่กลับมาเถิด!”
เยียนโส่วจ้านส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าบอกกับเจ้ากี่ครั้งแล้ว อย่าให้พี่ใหญ่ของเจ้ายุ่งเรื่องภายในจวนโหว บอกกี่ครั้งแล้วไม่ฟัง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะไล่เขาไปกินทราย”
“ท่านโหวระงับความโกรธ! แต่พี่ใหญ่ก็พูดมีเหตุผล คงไม่อาจให้อวิ๋นฉวนอยู่ในเมืองหลวงตลอดไปไม่ใช่หรือ”
เยียนโส่วจ้านกลอกตา “วางใจเถิด อวิ๋นฉวนเขียนจดหมายกลับมาบอกว่าจะกลับค่ายทหาร ข้ารับปากเขาแล้ว แต่…ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่”
“ฮะ? เริ่มต้นใหม่ นี่ๆๆ…มันจะเทียบกับพี่น้องของเขาไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
เฉินฮูหยินตระหนก
“เจ้าใหญ่อยู่ในเมืองหลวงหลายปี ไม่มีความชอบด้านการทำงานแต่ก็มีความชอบด้านความเหนื่อย ท่านโหวจะเข้มงวดกับเขาเช่นนี้ได้อย่างไร”
“เจ้าหุบปาก! ข้ายิ่งรักเขามากยิ่งต้องเข้มงวดกับเขามาก เขาห่างจากกองทัพนานเพียงนี้ กลับคืนสู่ตำแหน่งอย่างกะทันหัน เจ้าจะให้คนเบื้องล่างยอมได้อย่างไร สำนักราชการมีกฎอย่างไรข้าไม่สนใจ แต่ในค่ายทหารทุกอย่างต้องอาศัยความสามารถ เมื่อไม่มีความสามารถแต่อยู่บนตำแหน่งสูง ไม่มีผู้ใดจะยอมเคารพเขา เขานำทหารที่ไม่เคารพเขาออกไปทำสงคราม เจ้ารู้ว่าจะมีผลอย่างไรหรือไม่ เขาจะต้องทิ้งชีวิตของตนเอง! เจ้าใหญ่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าได้ใช้วิสัยทัศน์สตรีของเจ้ามาคาดเดาการเตรียมการของข้า”
เฉินฮูหยินทำหน้าน้อยใจ นางอ้าปากพูดเสียงเบา “ข้าเพียงแค่สงสารเจ้าใหญ่! ห่างเรือนไปหลายปี กลับมาแล้วยังต้องเริ่มใหม่ ลำบากเพียงใดกัน พี่น้องของเขาอาจหัวเราะเยาะเขา กลั่นแกล้งเขา…”
“พอแล้ว! พูดไปพูดมา เจ้าก็แค่กลัวเจ้าใหญ่เสียเปรียบ เขาฉลาดเพียงนั้น หากปัญหาแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ เขาก็ไม่คู่ควรที่จะอยู่ในค่ายทหารต่อไป”
เฉินฮูหยินอ้าปากค้าง
พูดถึงขนาดนี้แล้ว นางยังจะทำอย่างไรได้
นางเช็ดหางตา ทำหน้ารู้สึกผิด “เพราะข้าไร้ความสามารถ ช่วยเหลือเจ้าใหญ่ไม่ได้ นอกจากนี้ยังคอยเป็นตัวถ่วงของเขา หากข้ามีชาติกำเนิดที่ดีกว่านี้เสียหน่อย เจ้าใหญ่ก็ไม่ลำบากเพียงนั้น”
เยียนโส่วจ้านถอนหายใจ “เหตุใดจึงพูดเรื่องเหล่านี้ มีความรักของข้า ชาติกำเนิดก็ไม่สำคัญ”
“แต่ว่าเจ้าใหญ่ก็ถูกชาติกำเนิดถ่วงเอาไว้! ในสายตาคนนอก เขาเป็นเพียงบุตรชายจากอนุภรรยา ไม่อาจเทียบเจ้าสอง อวิ๋นถงได้”
“อย่าเทียบกับอวิ๋นถง! เจ้าใหญ่และเจ้าสองไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบ”
เฉินฮูหยินแอบเบะปาก
แม้จะพูดง่าย แต่จะให้ไม่เปรียบเทียบได้อย่างไร!
ทั้งสองคนเป็นพี่น้อง คนหนึ่งเป็นบุตรชายคนโต ส่วนอีกคนเป็นบุตรชายจากภรรยาเอก นับแต่พวกเขากำเนิดก็ย่อมจะถูกคนเปรียบเทียบ
จากมุมมองของเฉินฮูหยิน เรื่องที่เยียนโส่วจ้านบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเปรียบเทียบนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เพราะว่าเยียนโส่วจ้านไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกของการมีพี่น้องที่ข่มอยู่ด้านบน นอกจากนี้เขาก็ไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกที่มีพี่น้องจากภรรยาเอกที่มีชาติกำเนิดสูงส่งกว่าอยู่ด้านล่าง
รุ่นของเยียนโส่วจ้านมีเพียงเขาที่มีชาติกำเนิดที่สูงสุด ดีสุด
กำเนิดจากภรรยาเอก ด้านบนไร้พี่น้องจากอนุภรรยาข่มเอาไว้ ด้านล่างก็ไม่มีพี่น้องที่มีฐานะสูงกว่าเขา
ชีวิตของเขา นอกจากเสียมารดาไปตอนเด็กแล้ว เรียกได้ว่าราบรื่นปลอดภัย
การเสียมารดาแต่เด็ก นอกจากทำให้เขาขาดแคลนความรักจากมารดาแล้ว เขาก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด
มารดาผู้ให้กำเนิดของเขาเหลือกำลังพลและทรัพย์สินที่เพียงพอจะทำให้เขาเติบโตอย่างปลอดภัย
การปกป้องและสนับสนุนของตระกูลท่านลุง ทำให้ทั้งตระกูลเยียนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดสั่นคลอนได้
หลังจากเติบโตขึ้นมา เขาสืบทอดตำแหน่งและมรดกของตระกูลเยียนอย่างราบรื่น
เขาไม่เคยมีประสบการณ์ถูกเปรียบเทียบแต่กำเนิดเหมือนกับบุตรชายทั้งสองของตนเอง ไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกที่ต้องแย่งชิง
ดังนั้น เขาจึงไม่เข้าใจความคิดของเยียนอวิ๋นฉวนและเยียนอวิ๋นถง
บุตรชายทั้งสองจะแย่งชิงกันอย่างไร แต่ในสายตาของเยียนโส่วจ้านนั้น พวกเขาล้วนหาเรื่อง ขาดการสั่งสอน
เมื่อบุตรขาดการสั่งสอนต้องทำอย่างไร
สั่งสอนสักครั้งก็พอ!
เขาลำเอียงเยียนอวิ๋นฉวน แต่ก็ลำเอียงอย่างเปิดเผย
เยียนอวิ๋นฉวนเป็นบุตรชายคนแรกของเขา เป็นบุตรชายคนโต อีกทั้งยังฉลาด ขยัน เป็นที่โปรดปราน
เขาไม่ลำเอียงบุตรชายคนโตที่น่าโปรดปราน จะให้เขาลำเอียงบุตรชายคนที่สองที่มักจะเป็นปรปักษ์กับเขาหรือ
เยียนอวิ๋นถงดื้อรั้นแต่กำเนิด ไม่รู้จักการประจบ มีแต่จะเถียงเขา
บุตรชายที่ดื้อรั้นเช่นนี้ เขาจะโปรดปรานได้อย่างไร
อย่างไรแล้ว ในสายตาของเยียนโส่วจ้าน เวลาส่วนใหญ่บุตรชายคนรองเยียนอวิ๋นถงนั้นล้วนขาดการสั่งสอน
แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าเยียนอวิ๋นถงมีความสามารถมาก มีพรสวรรค์ด้านกองทัพ
มันทำให้เขาทั้งรักทั้งชังบุตรชายคนรองเยียนอวิ๋นถง อารมณ์ของเขาซับซ้อนอย่างมาก
เขาเคยคิดอยู่นับครั้งไม่ถ้วน หากเยียนอวิ๋นถงไม่ใช่บุตรของเซียวฮูหยินจะดีเพียงใด
เขาย่อมจะมอบความรักและการสนับสนุนที่มากขึ้นแก่บุตรชายคนรอง เยียนอวิ๋นถง!
แต่ไม่มีแต่!
เยียนโส่วจ้านหลับตาพักผ่อน
เฉินฮูหยินลังเลอย่างมาก นางบิดผ้าเช็ดหน้าจนจะเละกลายเป็นผักดองอยู่แล้ว
นางถามอย่างระมัดระวัง “ท่านโหวคิดจะให้เจ้าใหญ่เริ่มต้นใหม่จริงหรือ มันจะเสียเวลาเพียงใดกัน! นอกจากนี้เรื่องหมั้นหมายของเจ้าใหญ่ยังไม่ถึงไหน รอเขากลับมา ท่านโหวคิดจะหาสะใภ้ในโยวโจวที่เหมาะสมให้เขาใช่หรือไม่”
เยียนโส่วจ้านตอบรับอย่างไร้ความหมาย “กุลสตรีในท้องถิ่น มีตระกูลใดเข้าตาเจ้าหรือ”
เดิมทีเฉินฮูหยินอยากบอกว่ามี แต่ทันทีที่จะพูดออกมานางก็กลับใจ “เวลานี้ยังไม่เห็นผู้ใดเหมาะสม ท่านโหวมีตัวเลือกในใจหรือไม่”
เยียนโส่วจ้านยื่นมือออกไปกุมมือของนางเอาไว้
มือของเฉินฮูหยินมีขนาดเล็ก มีน้ำมีนวล เล็กแต่มีเนื้อ เมื่อลูบคลำจึงสบายมืออย่างมาก
เขาพูดกับนาง “เรื่องหมั้นหมายของเจ้าใหญ่ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทาง”
เฉินฮูหยินก้มหน้า เบ้ปาก
คำพูดที่คล้ายคลึงกัน นางฟังมาไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้ว
แต่เรื่องหมั้นหมายของบุตรชายคนโตเยียนอวิ๋นฉวนก็ยังไม่ตกลงเสียที
หลิวเป่าจูใกล้จะคลอดบุตร แต่ลูกสะใภ้ของตนเองไม่รู้อยู่ที่ใด
นางกลุ้มใจอย่างมาก!
เยียนโส่วจ้านลืมตาขึ้น “เจ้าไม่เชื่อข้า”
เฉินฮูหยินส่ายหน้าเล็กน้อย พูดด้วยความน้อยใจ “ข้าแค่ร้อนใจอยากอุ้มหลาน”
เยียนโส่วจ้านหัวเราะ “ข้าก็อยากอุ้มหลาน!”
“ความปรารถนาของท่านโหวใกล้จะสำเร็จแล้ว ลูกสะใภ้รองอีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้ว คนส่วนใหญ่บอกว่าครรภ์นี้ของนางจะเป็นบุตรชาย”
น้ำเสียงของเฉินฮูหยินแสดงถึงความอิจฉาและไม่พอใจของตนเองอย่างไม่ปิดบัง
นางอิจฉาเซียวฮูหยิน นางไม่พอใจที่เยียนอวิ๋นถงแต่งงานก่อนบุตรชายคนโตเยียนอวิ๋นฉวน
เยียนโส่วจ้านหัวเราะออกมา เขาชอบความจริงใจของเฉินฮูหยินนี้
เขาบีบแก้มของนาง “อิจฉาเรื่องใดกัน เซียวฮูหยินอยู่เมืองหลวง ไม่ได้ขวางตาเจ้า”
“ท่านโหวพูดกลับกันแล้ว ในที่สุดข้าไม่ต้องไปขวางตาของฮูหยินต่างหาก”
“เจ้าใจแคบ”
“ข้าใจแคบอยู่แล้ว ท่านโหวไม่ได้เพิ่งรู้เป็นวันแรก”
เยียนโส่วจ้านหัวเราะออกมา “อีกไม่กี่วัน รอขันทีถ่ายทอดพระราชโองการมาถึง เจ้าจะไม่ยิ่งอึดอัดหรือ”
“ขันทีถ่ายทอดพระราชโองการ? ท่านโหวรีบบอกข้า เหตุใดจึงมีขันทีถ่ายทอดพระราชโองการมา”
เยียนโส่วจ้านยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าอย่ารู้จะดีกว่า! เอาเถิด ไม่พูดแล้ว! ให้ข้าพักผ่อน ระยะนี้เหนื่อยยิ่งนัก!”
เฉินฮูหยินรู้สึกไม่ดี จึงพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านโหวไม่ยอมเปิดเผยแม้แต่น้อย ยั่วโมโหกันเสียจริง”
“ข้ายั่วโมโหเจ้าก็เพื่อตัวเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินฮูหยินยิ่งกังวลใจ!