ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 508 พี่น้องในอ้อมกอด (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 508 พี่น้องในอ้อมกอด (1)

พอมาถึงอำเภอฟู่หยางก็เจอฮูหยินน้อยกำลังกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย

ความน่าอับอายมันอยู่ที่เขากับมู่หนานจือยังหาที่ค้างแรมไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องทำตามแผนของสวี่ชีอันคือหาโรงเตี๊ยม ก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องนี้

แต่ฮูหยินน้อยจะเชื่อคำพูดคนแปลกหน้าหรือไม่?

เงินสามสิบตำลึงเป็นเงินจำนวนมหาศาลในสายตานาง อันที่จริงถือเป็นโชคใหญ่หลวงเลยทีเดียว หากไม่ได้นำออกมาให้เห็นจริงๆ ก็เป็นเพียงให้สัญญาด้วยวาจาเท่านั้น คงไม่มีผู้ใดเชื่อ

พอมองกลับไปก็คิดไม่ออกว่าถ้านางโดดน้ำอีกจะทำอย่างไร

ดังนั้นการให้เงินนางล่วงหน้าจึงเป็นการปลอบใจนาง รอจนกว่าตนเองจะหาโรงเตี๊ยมเจอแล้วค่อยแก้ปัญหาเอาดาบหน้า สำหรับข้อพิพาทเล็กๆ น้อยๆ ประเภทนี้ ไม่ได้ทำให้สวี่ชีอันผู้เคยรับมือกับคลื่นใหญ่ลมแรงรู้สึกตึงเครียดเลยแม้แต่น้อย

“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องราวเช่นกัน ข้าเคยตั้งปณิธานไว้ว่าขอให้บนโลกนี้ไร้ความอยุติธรรม ข้าจัดการเรื่องบนฟ้าไม่ได้ แต่ข้าจัดการเรื่องตรงหน้าได้”

สวี่ชีอันจิบเหล้าเหลืองแล้วพูดต่อ

“ตอนนี้ข้าเข้าใจเหตุผลอย่างถ่องแท้แล้วว่า การทำดีเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ เหมือนการเป็นหมอย่อมช่วยประเทศไม่ได้ ถ้าอยากให้ความอยุติธรรมในโลกลดน้อยลงก็ต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่”

มู่หนานจือเท้าคางด้วยมือข้างเดียว ดวงตาทอประกายชื่นชมพลางพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้น ปณิธานของสำนักพุทธเกี่ยวเนื่องกับระดับเต๋าด้วยหรือไม่?”

นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นมา นางได้ฟังสวี่ชีอันพูดถึงหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงหลักการบำเพ็ญหลักๆ และความแตกต่าง แต่ถึงกระนั้นเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงนิทานปรัมปรา

หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งฉลาดเป็นกรดโดยไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว จงจำไว้ให้ขึ้นใจ

“ยิ่งปณิธานมากเท่าไร ระดับเต๋าก็จะยิ่งสูงเท่านั้น แต่ความสอดคล้องกันอยู่ตรงที่ความยากจะยิ่งสูงตาม…”

สวี่ชีอันพลันตะลึงงัน เขานึกถึงคำถามที่ว่า ตอนนั้นเสินซูตั้งปณิธานใดไว้?

จนถึงทุกวันนี้ เขาแทบจะมองไม่เห็นความพิเศษของเสินซู ทั้งวิถีนิกายฌานและการจับคู่บำเพ็ญล้วนอยู่ในระดับสูงมากๆ งั้นเสินซูนับเป็นพระโพธิสัตว์หรือพระอรหันต์?

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยไตร่ตรองมาก่อน

แต่ไม่ว่าจะพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ล้วนเป็นระดับเต๋าสูงสุด ถ้าเช่นนี้ต้องทิ้งร่องรอยไว้แน่นอน เช่น ภิกษุรูปหนึ่งได้ตั้งปณิธานไว้ว่า

‘จะสร้างบ้านหลังใหญ่นับพันนับหมื่นได้อย่างไร ให้ประสกผู้ยากไร้พักพิงชื่นมื่นทั่วหน้า!’

ถ้าเช่นนั้น ภิกษุต้องขับเคลื่อนด้วยบางสิ่งที่สอดคล้อง เช่นสร้างบ้านเรือนอย่างบ้าคลั่ง และพัฒนาอุตสาหกรรมอสังหาฯ

ถ้าเช่นนี้ ก็จะทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจน

หากล่วงรู้ได้ว่าตอนนั้นเสินซูตั้งปณิธานใดไว้หรือไขความลับในตัวเสินซูได้ เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังที่เขาถูกปิดผนึกได้

“พาผู้หญิงไปด้วยคนหนึ่ง ม้าศึกอีกหนึ่งตัวงั้นหรือ? แน่ใจหรือว่าเป็นม้าศึกจริงๆ?”

ในลานใหญ่ส่วนที่สาม ดวงตาจูเอ้อร์สว่างวาบ

“ม้าตัวนั้นคือม้าฝีเท้าดีเป็นพิเศษ สูงกว่าม้าทั่วไปอยู่มากโข รูปร่างนั้นเว้าโค้ง ละสายตาไปไม่ได้จริงๆ”

ลูกน้องผู้รับผิดชอบหน้าที่สืบสวนกล่าวชมไม่หยุดปาก

ม้าศึกเป็นของหายาก มีเงินอย่างเดียวก็ซื้อไม่ได้ ไหนจะสงครามระหว่างราชสำนักกับสำนักพ่อมดในปีนี้ กองทัพต้าฟ่งบาดเจ็บล้มตายไปมาก ทำให้การแลกเปลี่ยนม้าศึกเข้มงวดมากขึ้น

ในสายตาจูเอ้อร์ มีมูลค่ายังถือเป็นเรื่องรอง ประเด็นคือมันหายาก

สมควรแล้วที่จะนำส่งให้นายอำเภอ

หลายปีมานี้ไม่มีผู้ใดชอบม้าแล้ว โดยเฉพาะม้าลักษณะดี

จูเอ้อร์ไตร่ตรองอยู่นาน บางอย่างพลันดลใจขึ้นมา “เอาล่ะ ไปบอกหัวหน้าหลี่ดีกว่า ให้เขาพาบรรดาพี่น้องไปโรงเตี๊ยมซานหยาง”

เหล้าเหลืองของอำเภอฟู่หยางนั้นดีจริงๆ รสชาติเยี่ยมยอด สวี่ชีอันที่ไม่รู้วิธีหมักเหล้าเดาได้เพียงว่าเป็นเพราะคุณภาพน้ำและธัญพืช

แผ่นดินผืนน้ำใดย่อมหล่อเลี้ยงคนท้องถิ่นนั้น แผ่นดินผืนน้ำย่อมมีสภาพแวดล้อมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

“ตอนออกจากฟู่หยาง ซื้อเหล้าติดไปสักสองสามไหสิ…”

มู่หนานจือเม้มริมฝีปาก แล้วพูดอย่างสำราญใจ

สำหรับนาง ข้อได้เปรียบข้อใหญ่ที่สุดของการท่องยุทธภพคือการลิ้มลองอาหารเลิศรสเหล้าชั้นดีแต่ละที่ ได้ชื่นชมประเพณีท้องถิ่นที่แตกต่างกัน

แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอข่าวร้ายบ้าง ปล่อยให้จิตใจปลดปล่อยด้านลบและไม่มีความสุข แต่นั่นก็ถือเป็นประสบการณ์

ทั้งสองคนวางเหยือกเหล้าลง ออกไปจัดการธุระให้ฮูหยินน้อยด้วยกัน

ตามบันไดที่ทอดยาวไปยังห้องโถงของโรงเตี๊ยมมีเสียงฝีเท้ากระชั้นถี่ มือปราบสี่คนและกลุ่มชายฉกรรจ์หน้าตาเหี้ยมโหดกรูกันเข้าไปในโรงเตี๊ยม

ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำสวมเครื่องแบบหัวหน้ามือปราบชุดดำคาดแถบแดง

การแต่งตัวที่คุ้นตาเช่นนี้ ทำให้สวี่ชีอันเกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นมาอย่างหาคำอธิบายไม่ได้

หัวหน้ามือปราบวัยกลางคนชำเลืองมองเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยม แล้วพูดเสียงขรึม “วันนี้มีคนแปลกหน้าค้างแรมในโรงเตี๊ยมหรือไม่”

เสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านมองไปที่สวี่ชีอันและมู่หนานจือทันที “ใต้เท้า สองคนนั้นอยู่นั่น”

หัวหน้ามือปราบวัยกลางคนมองสวี่ชีอันแล้วพูดขึ้น “มีคนแจ้งข้าว่าเจ้าขืนใจหญิงสาว เจ้าต้องไปที่ทำการปกครองกับพวกข้า”

ข้า? ขืนใจหญิงสาว? สวี่ชีอันรู้สึกตนโดนใส่ร้ายอย่างรุนแรง ปกติแล้วหากฆ้องเงินสวี่ต้องการหลับนอนกับแม่นางน้อยบ้านไหน พวกแม่นางน้อยต้องดีใจจนหุบขาไม่ลงสิ

ทำไมต้องขืนใจ

ขืนใจหญิงสาว? แขกที่มาค้างแรมในโรงเตี๊ยมต่างพากันมองมา

เมื่อได้ยินว่าคนต่างถิ่นขืนใจหญิงในท้องถิ่น ในตอนนี้พวกแขกจึงแสดงท่าทางไม่เป็นมิตร

“ใครแจ้งข้า มีเอกสารหรือไม่”

สวี่ชีอันเข้าใจขั้นตอนการนำจับคนของที่ทำการปกครองอย่างแจ่มแจ้ง ในขณะที่พูดก็มองกลุ่มชายฉกรรจ์ด้วยแววตาปกติ มองไปยังบุรุษผู้หนึ่งแต่งตัวสะอาดเอี่ยมอ่อง ดูอ้วนท้วนแข็งแรง

ในสายตาสวี่ชีอัน ชายผู้นี้ห้อมล้อมไปด้วยแสงสีทองจางๆ มีเงามังกรตัวเล็กๆ ลอยพันวนไปวนมาอยู่รำไร

นี่ทำให้เขาทั้งดีใจทั้งเสียดาย ดีใจที่เดินทางมานานในที่สุดก็เจอร่างพักพิงชีพจรมังกร แต่เสียดายที่ชีพจรมังกรของร่างพักพิงอยู่ในประเภทฟุ้งกระจาย

ซึ่งไม่ใช่เก้าชีพจรมังกรที่ตามหา

ชายวัยกลางคนผู้นั้นที่แต่งตัวดูดี ร้องเฮ้อออกมาแล้วพูดขึ้น

“ข้าชื่อจูเอ้อร์ ข้าเป็นคนไปแจ้งเจ้าที่ทำการปกครองเอง วันนั้นเจ้าช่วยผู้หญิงคนหนึ่งที่พลัดตกน้ำที่ริมแม่น้ำ เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่?”

สวี่ชีอันพยักหน้า

จูเอ้อร์พูดเสียงขุ่นเคือง “เจ้าใช้อุบายพานางไปที่บ้านพ่อหม้ายเฒ่าเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วฉวยโอกาสนี้ขืนใจนาง พอนางกลับมาถึงบ้านก็ร้องห่มร้องไห้เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง”

ขณะพูด เขามองไปยังหัวหน้ามือปราบวัยกลางคนแล้วพูดว่า “หัวหน้าหลี่ เจ้าต้องช่วยตัดสินใจแทนข้าผู้ต่ำต้อย”

ทันใดนั้นสวี่ชีอันจ้องเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ที่แท้เจ้าก็คือจูเอ้อร์ ที่วางกลับดักให้ง่อยจางตกหลุมพรางจนหมดสิ้นเนื้อประดาตัว จากนั้นจึงขืนใจภรรยาของเขา บังคับให้เธอฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดน้ำ ข้าเจอนางเลยสงสาร จึงยื่นมือเข้าช่วยและให้เงินสามสิบตำลึงให้นางไว้ใช้หนี้ ทำไมล่ะ ข้าขัดความสุขของเจ้างั้นหรือ? อืม ภรรยาง่อยจางอยู่กับเจ้าหรือเปล่านะ?”

ความกระจ่างชัดขึ้นมาในใจเขาเมื่อชีพจรมังกรและโชคชะตามาบรรจบกัน ระหว่างเดินทางมานี้ เขารู้ว่าจะได้เจอร่างพักพิงชีพจรมังกรไม่ช้าก็เร็ว เพียงแต่ระบุเวลาที่แน่ชัดไม่ได้

อาจใช้เวลาถึงหนึ่งปี สองปีหรือนานกว่านั้น

เมื่อได้ยินเช่นนี้ แขกภายในโถงก็เข้าใจทันที

แม้ว่านี่จะเป็นคนต่างถิ่น แต่ก็ไม่มีใครในอำเภอนี้ไม่รู้จักจูเอ้อร์ และไม่มีใครไม่รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับนายอำเภอเช่นไร

เมื่อลองเทียบคำพูดของเขาแล้ว ทุกคนเต็มใจที่จะเชื่อคนต่างถิ่นมากกว่า

หัวหน้ามือปราบหลี่ผู้มีหัวคิดในเชิงธุรกิจขัดขึ้น “หยุดพูดไร้สาระ ไปที่ว่าการปกครองกับพวกข้า นายอำเภอจะสอบสวนหาความจริงและไม่เข้าข้างผู้ใด”

ทันใดนั้นเสียงม้าร้องแหลมสูงดังขึ้น ตามด้วยเสียงกรีดร้อง

ทุกคนรีบออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นบนท้องถนน มีชายสองสามคนกำลังพยายามกำราบม้าพันธุ์ดี ชายสองคนกำลังดึงบังเหียน ส่วนอีกคนหนึ่งพยายามขึ้นขี่มัน

แต่กลับโดนลูกเตะอันสวยงามจากแม่ม้าน้อยจนลอยเคว้งออกไป นอนหายใจรวยรินบนพื้น ปากและจมูกมีเลือดทะลักล้นออกมา

จูเอ้อร์ทั้งตกใจปนดีใจ ม้าตัวนี้มีจิตวิญญาณมากกว่าที่เขาคิด หัวใจของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความโลภจึงขึ้นเสียงสูง

“หัวหน้าหลี่ เขาใช้ม้าฆ่าคนตาย ต้องถูกเพิ่มโทษอีกขั้นหนึ่ง”

มู่หนานจือที่ได้ยินเช่นนี้ เท้าเอวแล้วยิ้มเยาะ “ถ้าพวกเจ้าไม่กวนโมโหมัน มันจะทำร้ายผู้คนหรือ? เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกเจ้าจ้องจะขโมยม้า”

คำพูดของมู่หนานจือถูกทุกคนเมิน เหตุเพราะนางมีหน้าตาไม่ดีนัก

หัวหน้ามือปราบหลี่ทำหน้าตึง “ม้าตัวนี้นับเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเช่นกันและจะถูกนำตัวไป เมื่อสักครู่เขาผิวปากสั่งให้ม้าทำการฆาตกรรม ต้องถูกเพิ่มโทษอีกขั้นหนึ่ง”

จูเอ้อร์ยิ้มทันที “หัวหน้าหลี่ตัดสินได้เด็ดขาดเช่นเทพสวรรค์ พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่?”

กลุ่มชายฉกรรจ์ด้านหลังเขาพลอยหัวเราะด้วย

ผู้คนข้างถนนกรูกันเข้ามารวมกลุ่มชี้นิ้วพร้อมกระซิบกระซาบ

“จูเอ้อร์ร่วมมือกับพวกขุนนางชั่วพวกนี้ไปรีดไถใครกัน?”

“เหมือนจะเป็นคนต่างถิ่นนะ”

“อ้อ คนต่างถิ่นงั้นหรือ เขาดวงซวยจริงๆ”

“จูเอ้อร์เที่ยวอาละวาดมาสองครั้งแล้ว ไม่มีใครเยียวยาเขาได้ ตอนต้นปีก็ขูดรีดเถ้าแก่โจวเจ้าของร้านผ้าไหมตั้งสองร้อยตำลึง ด้วยความไม่พอใจจึงไปร้องเรียนที่ทำการปกครอง แต่นายอำเภอกับจูเอ้อร์ดันเป็นพวกเดียวกัน เถ้าแก่โจวเลยต้องเข้าเมืองยงโจวเพื่อร้องเรียนต่อ แต่ถูกดักซุ่มโจมตีแล้วส่งกลับมา ต่อมาร้านก็ตกอยู่ในกำมือจูเอ้อร์”

“เจ้าเบาเสียงหน่อย อย่าให้ใครได้ยินสิ เดี๋ยวก็ซวยเอาหรอก”

“เฮ้อ อำเภอฟู่หยางของพวกเราไม่มีฆ้องเงินสวี่ ไม่เช่นนั้นคนพาลอย่างจูเอ้อร์คงถูกโค่นเร็วๆ นี้แน่”

นี่เป็นโชคร้ายของผู้ใต้บังคับบัญชาเสียจริง การกดขี่รังแกราษฎรไร้ทางสู้ เที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ปกติในอำเภอเล็กๆ…ด้วยความที่สวี่ชีอันหูไวอย่างยิ่ง เขาจึงได้ยินบทสนทนาของราษฎรแถวนั้น อยู่ๆ ก็นึกถึงเว่ยเยวียนที่ครั้งหนึ่งเคยลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชา

หัวหน้ามือปราบหลี่ตะคอกเสียงลั่น “มัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่ รีบเอาผ้าปิดตาม้าสิ”

เอาผ้าปิดตาม้า ม้าก็จะเดินตามคน

มือปราบคนหนึ่งรีบถอดเครื่องแบบ พลางยื่นมือไปจับแม่ม้าน้อย

แม่ม้าน้อยถอยห่างทีละก้าว แต่ก็จนปัญญาเนื่องด้วยบังเหียนถูกชายสองคนจับไว้แน่น จึงหนีไม่พ้น

มันโอดครวญไม่รู้จบ

“ร้องเรียกอะไร เรียกพ่อมาสับแกหรือไง”

มือปราบผู้นี้ขู่ขณะเอาเสื้อตัวเองคลุมหัวแม่ม้าน้อย แต่เขาทำไม่สำเร็จเพราะถูกกระสุนเงินยิงมาโดนกระดูกสะบ้าเข่าแตก

มือปราบสูญเสียการทรงตัวทันที เขาเซล้มลงบนพื้น แล้วกอดเข่าที่ชุ่มด้วยเลือดพลางร้องทุรนทุราย

เขาต้องขาเป๋ในภายหลัง

ทุกทิศทุกทางเกิดความโกลาหลขึ้นกะทันหัน ผู้สัญจรไปมาบนท้องถนนคาดไม่ถึงว่าคนต่างถิ่นผู้นี้จะหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้ เขาทำร้ายร่างกายมือปราบของที่ทำการปกครองจนบาดเจ็บสาหัส

“กล้าดียังไงเที่ยวเข่นฆ่าทำร้ายผู้คน!”

หัวหน้ามือปราบหลี่ขมวดคิ้ว ดึงมีดพกออกมา

“หัวหน้าหลี่ พวกข้าจะช่วยท่าน”

จูเอ้อร์ยิ้มเยาะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดึงมีดปากแคบเรียวยาวออกมาจากหลังเอว ลูกน้องของเขาพากันทำตามโดยชักมีดแบบเดียวกันออกมา

อาจเพราะเมื่อครู่เห็นสวี่ชีอันตอบโต้ ทำให้หัวหน้ามือปราบหลี่รวมถึงคนอื่นๆ ตระหนักได้ว่าเขามีความสามารถอยู่บ้าง จึงไม่ได้เข้าล้อมในทันที แต่ควงมีดเดินเวียนไปรอบๆ แล้วถึงขยับเข้าไปใกล้ทีละก้าว

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งจั้ง หัวหน้ามือปราบหลี่พร้อมทั้งพยายามแทงมีดพกออกไป

ด้วยร่างกายที่มีตบะอยู่บ้าง เมื่อมีดฟันลงมา จึงเกิดเสียงลมหวีดหวิว แล้วคนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามา

สวี่ชีอันยกมือคว้ามีดของหัวหน้ามือปราบหลี่ไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมทาบหลังมือลงบนต้นคออีกฝ่ายแล้วพูดขึ้น

“สมคบคิดกับคนพาล กดขี่รังแกราษฎรไร้ทางสู้ บั่นคอมัน!”

คมมีดพุ่งผ่านไป จากนั้นหัวคนคนหนึ่งกลิ้งตกลงมาพร้อมดวงตาเบิกโพลง

เลือดสีแดงฉานกระเซ็นราวกับน้ำพุ

…………………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท