ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 515 เหวินเหรินเชี่ยนโหรว (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 515 เหวินเหรินเชี่ยนโหรว (1)

“เจ้าเป็นใคร?”

ทหารยามสูงกำยำสำรวจหลี่หลิงซู่ เห็นคนผู้นี้สง่างาม หล่อเหลาไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าประมาท

“บอกหัวหน้าสมาคมว่าหลี่หลิงซู่ต้องการพบเขา”

เทพบุตรนิกายสวรรค์ยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่าทีงดงามน่าเลื่อมใส

หนึ่งในทหารยามเหลือบมองเขา แล้วรีบเข้าไปในสมาคมการค้า

เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา ชายวัยกลางคนแต่งตัวอย่างคนมั่งมีรีบเร่งวิ่งลงมาหน้าประตู แล้วเล็งไปหาหลี่หลิงซู่

“หัวหน้าสมาคมหยาง ไม่เจอกันครึ่งปี สบายดีใช่หรือไม่?”

มือขวาหลี่หลิงซู่กำรวบนิ้วหัวแม่มือซ้าย พร้อมด้วยมือซ้ายทาบกุมหลังมือขวา กลายเป็นรูปร่างปลาไท่จี๋

การแสดงความเคารพแบบลัทธิเต๋ามาตรฐาน

“นักบวชหลี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นนักบวชหลี่ ท่านต่างหากที่สบายดีใช่หรือไม่ หลุดพ้นจากปีศาจหญิงสองตนที่ตามฆ่าท่านได้แล้วหรือ?”

หัวหน้าสมาคมหยางดีใจจนเกินหน้าเกินตา ขณะทักทายเขาอย่างอบอุ่น

“หนีจนไม่ได้พัก!” หลี่หลิงซู่กล่าวด้วยอารมณ์

จากนั้น เขามองไปที่สวี่ชีอันและมู่หนานจือ แล้วแนะนำ “สองคนนี้เป็นสหายของข้า”

หัวหน้าสมาคมหยางรีบคารวะ “ข้าน้อย หยางโหย่วเต๋อ ยินดีที่ได้พบจอมยุทธ์ทั้งสองท่าน”

เขารู้ว่าหลี่หลิงซู่เป็นบุตรแห่งนิกายสวรรค์ รวมถึงเป็นคนในยุทธภพ ฉะนั้นเมื่อพบสหายของเขา จงคุยโม้ไปก่อนว่าเป็น ‘จอมยุทธ์’ ก็คงไม่ผิด

มู่หนานจือพยักหน้าด้วยท่าทีสำรวม

สวี่ชีอันคารวะกลับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น หัวหน้าสมาคมหยางผู้นี้มีตบะอยู่ในระดับหลอมวิญญาณ ซ่อนลมปราณไว้ภายใน แม้ว่าเขาจะมีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ รอยยิ้มอ่อนโยน แต่นี่เป็นเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น แท้จริงแล้วเขามีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร

สังคมนี้ไม่อนุญาตให้คนธรรมดาหาเงินเยอะๆ ถ้าอยากได้ชีวิตร่ำรวย ไม่มีภูมิหลัง ก็ต้องมีศักยภาพ

ทุกคนเข้าไปในสมาคมการค้า ภายใต้การเดินนำไปโดยหัวหน้าสมาคมหยาง เพื่อหาที่นั่งในโถงรับรองใหญ่

หลังจากนั่งลงแล้ว หัวหน้าสมาคมหยางก็สั่งสาวใช้ยกชามาให้ “ชาขาวดั้งเดิมของจางโจว ท่านทั้งสามเชิญชิม”

ทั้งสามคนหยิบถ้วยชาขึ้นมาชิม ดวงตาของหลี่หลิงซู่และสวี่ชีอันเป็นประกาย แล้วจึงเอ่ยชม ขณะที่มู่หนานจือจิบเพียงคำเดียวแล้ววางลง

หัวหน้าสมาคมหยางผู้ช่ำชองในด้านทักษะทางสังคม ใส่ใจและสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

“ได้ยินว่าชาขาวเก่าแก่มีวิธีดื่มสองแบบ วิธีหนึ่งต้องปลุก อีกวิธีหนึ่งไม่ต้อง แต่ข้าว่าชานี้อร่อยมาก ไม่รู้ว่าอยู่ในประเภทไหน?”

หลี่หลิงซู่ยิ้ม

ขณะเดียวกัน เขาให้สัญญาณต่อไปยังสวี่ชีอันและมู่หนานจือ “หยางโหย่วเต๋อชอบดื่มชามาก แม้ว่าข้าจะมีความสัมพันธ์กับคุณหนูแห่งสมาคมการค้าเหลยโจว แต่เหยี่ยวหางแดงก็เปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของสมาคม หากไม่มีป้ายข้อมือ ก็ยืมออกไปได้ยาก”

ดังนั้นนี่คือฉาก ‘การคบค้าสมาคม’ เพียงฉากหนึ่ง สวี่ชีอันพูดในใจว่า ข้าถนัดเรื่องนี้นัก ไม่ว่าจะเป็นการแฝงตนในแวดวงการค้าเมื่อชาติที่แล้ว หรือการเข้าสังคมในแวดวงราชการ นี่คือสนามของข้าเลยนะ

น่าเสียดายที่ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ผู้เชี่ยวชาญให้มาก ถ้าแสดงออกว่าติดดินหรือหน้าเลือดมากเกินไป แปลกแยกจากที่เคยแสดงออกครั้งก่อนอย่างรุนแรง ภาพลักษณ์เหล่านั้นก็จะพัง

หลี่น้อย เรื่องดื่มกับหัวหน้าสมาคม ข้าปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าก็แล้วกัน…

หัวหน้าสมาคมหยางยิ้มตามอย่างที่คาดไว้ แล้วเริ่มแนะนำสินค้าชาขาวให้แก่หลี่หลิงซู่

หลังคุยไปได้สักพัก หลี่หลิงซู่กระแอมไอหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยขึ้น “หัวหน้าหยาง ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพื่อขอให้ท่านช่วยบางอย่าง”

หัวหน้าสมาคมหยางยังคงรอยยิ้มไว้แล้วเอ่ยขึ้น “นักบวชหลี่ต้องการความช่วยเหลืออันใด เพียงแต่บอกมาว่าต้องการให้ข้าน้อยหยางทำ แม้ถึงตายข้าก็จะทำอย่างสุดกำลัง”

“ข้าต้องการยืมเหยี่ยวหางแดงสามตัว”

“…”

หัวหน้าสมาคมหยางมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ราวกับจะพูดว่า ‘ข้าขอคืนคำเมื่อครู่ได้หรือไม่’

“นี่ เอ่อ…นักบวชหลี่ เหยี่ยวหางแดงเปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของสมาคมการค้าของเรา แต่ละตัวล้วนใช้เงินจำนวนมากถึงจะซื้อได้ แม้แต่ข้ายืมมันด้วยการส่วนตัว ก็อาจถูกลงโทษได้”

หลี่หลิงซู่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ ด้วยเหตุนี้ การเดินทางมาหาหัวหน้าหยางครั้งนี้ จึงขอให้พวกท่านส่งสินค้าชิ้นหนึ่งไปให้โหรวเอ๋อร์”

“สินค้า? “

“ฟังไม่ผิดแล้ว สินค้าชิ้นนี้คือข้า” หลี่หลิงซู่หยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ

“เหยี่ยวหางแดงมีข้อจำกัดในการรับน้ำหนัก หากรองรับคนสองคนขึ้นบิน ความเร็วก็จะลดลง ต้องพักทุกชั่วโมง ข้าจึงต้องการยืมสามตัว ในฐานะผู้ควบคุม ท่านสามารถส่งเหยี่ยวหางแดงอีกตัว เพื่อติดตามพวกเราไปเหลยโจวได้”

บรรทุกสองคนขึ้นบินกับบรรทุกสองคนวิ่งเท้านั้น มีแนวคิดต่างกัน

หัวหน้าสมาคมหยางหัวเราะพลางส่ายหน้า “เหยี่ยวหางแดงเป็นสัตว์วิญญาณ มีเพียงผู้เป็นเจ้าของมันเท่านั้นที่เลี้ยงได้ คนอื่นไม่สามารถขี่เองได้ตามลำพัง”

สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นทันควัน “เรื่องนี้ ข้าจัดการได้”

‘เจ้า?’

หัวหน้าสมาคมหยางจ้องเขา ชายวัยกลางคนมีท่าทีลังเลใจ

แม้ว่าระหว่างนักบวชหลี่และคุณหนูไม่ใช่ความสัมพันธ์ทั่วๆ ไป แต่ก็เป็นเพียงเรื่องส่วนตัว เกี่ยวอะไรกับตนด้วย? หากสัตว์วิญญาณหายไป เขาจะถูกลงโทษโดยสำนักงานใหญ่

‘ไม่ได้มีผลประโยชน์กับข้าเลย ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเลย ทว่า นักบวชเต๋ารูปงามสมบูรณ์แบบผู้นี้กิ๊กกับคุณหนู หากในอนาคตคุณหนูอาจเข้าสู่ขั้นวางแผนของสมาคมการค้า แล้วตอนนี้ผิดใจกับเขา คงไม่คุ้ม’

ในเวลานี้ มู่หนานจือพูดด้วยเสียงไพเราะเสนาะหู “ท่านให้พวกเรายืมสัตว์วิญญาณสามตัว แล้วข้าจะให้ชาดอกไม้กับท่านสามห่อ”

‘ชาดอกไม้?’

หัวหน้าสมาคมหยางสงสัยว่าตนฟังผิดไป รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะเรียกหญิงผู้นี้ว่าไร้เดียงสาหรือโง่ดี

เหยี่ยวหางแดงตัวเดียวราคามากกว่าสามพันตำลึง อีกทั้งยังไม่มีในท้องตลาด เมื่อเปรียบเทียบกับเงินแล้ว กำลังทรัพย์ที่ใช้เลี้ยงดูและการฝึกฝนมัน รวมถึงความล้ำค่าและหายากของมันเอง ไม่สามารถวัดได้ด้วยเงิน

ขณะที่กำลังคิดปฏิเสธ เขาก็เห็นผู้หญิงธรรมดาๆ ผู้นี้ยื่นมือเล็กสีขาวผุดผ่อง ไปหาชายผู้มีใบหน้าธรรมดาๆ เหมือนกัน

ฝ่ายหลังวางถุงปักดิ้นใบหนึ่งบนฝ่ามือนาง สิ่งที่คุ้มค่าให้พูดถึงก็คือ ถุงปักดิ้นใบนี้ฉกชิงมาตอนสังหารลูกพี่ลูกน้องจีเชียน ในถุงนั้นยังมีปืนใหญ่วิเศษและหน้าไม้สิบกว่ากระบอก

มู่หนานจือเปิดถุงปักดิ้น ค้นดูสักพัก ก่อนคว้าถุงห่อด้วยกระดาษเคลือบน้ำมันวัวอย่างสวยงามทรงสี่เหลี่ยมออกมาสามถุง

นางวางถุงชาดอกไม้สามห่อบนโต๊ะชา ข้างๆ มือหัวหน้าสมาคมหยาง

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจของแม่นาง เพียงแต่…เอ๊ะ?”

หัวหน้าสมาคมหยางมองไปที่ถุงกระดาษ เขาทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ หอมตลบอบอวล ช่วยให้ผ่อนคลายทุกอณูรูขุมขน และทำให้จิตใจชื่นบาน

หัวหน้าสมาคมหยางไม่เคยได้กลิ่นหอมขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

เขาเปิดถุงกระดาษด้วยความประหลาดใจ กลิ่นหอมหวานเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ข้างในห่อมีกลีบเหี่ยวๆ บางอันมีสีแดงเข้ม บางอันมีสีขาว สีเหลือง และบางอันมีสีม่วงเข้ม…กลีบดอกไม้เกือบทุกกลีบมีสีต่างกัน

พวกมันมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ผสมผสานเข้าด้วยกัน หัวหน้าสมาคมหยางสูดดมกลิ่นดอกไม้พลางหลับตาลงด้วยความเพลิดเพลิน เสมือนว่าตนมาถึงทะเลสาบแห่งดอกไม้

หลี่หลิงซู่ทำจมูกฟุดฟิด พลางพูดด้วยความประหลาดใจ “นี่ ดอกไม้พวกนี้คือดอกอะไร?”

หัวหน้าสมาคมหยางเลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย “ข้าขอชิมสักหน่อยได้หรือไม่”

เมื่อเห็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดาพยักหน้า เขาจึงเรียกสาวใช้ สั่งให้นางชงชาดอกไม้ทันที คิดไปคิดมาครู่หนึ่ง เขาก็เปลี่ยนคำพูด

“ไม่ ชงตรงนี้แหละ”

เขากลัวว่าสาวใช้จะทนกลิ่นเย้ายวนไม่ได้ แล้วแอบดื่ม

สาวใช้เดินนำหน้าไปพร้อมหม้อกาน้ำทองแดงร้อนๆ นางเอียงกาน้ำชาเทน้ำลงในถ้วยชา ก่อนแกว่งถ้วยชาลายครามแล้วยกกระดก

ไม่นานนักกลิ่นดอกไม้พร้อมกับไอน้ำหนาทึบ ก็ฟุ้งไปทั่วห้องโถงใหญ่

หัวหน้าสมาคมหยางอดใจไม่ไหวที่จะหยิบถ้วยชาจิบหนึ่งคำ เพียงชิมเล็กน้อยเท่านั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายแล้วค่อยๆ ปิดลง เพลิดเพลินกับเงียบสงบ

หลังจากนั้นพักหนึ่ง เขาก็ลืมตาแล้วพึมพำว่า “นี่คือชาที่ดีที่สุดที่ข้าเคยลิ้มลอง ชาที่ดีที่สุด…”

ท่ามกลางภูเขาชานเมืองแห่งหนึ่ง

กองกำลังทหารควบม้าไปตามถนนบนภูเขาที่กว้างขวาง มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขา ทำให้ฝุ่นคลุ้งตลบไปทั่ว

บนภูเขามีป้อมยามสูงราวๆ สิบฉื่อ คุ้มกันอย่างแน่นหนา หลังจากผ่านไปเจ็ดแปดด่านตลอดเส้นทาง พวกเขาก็มาถึงยอดเขา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือกลุ่มอาคาร

หัวหน้าสมาคมหยางมอบม้าให้ผู้น้อยใต้บังคับบัญชา พาสวี่ชีอันและคนอื่นๆ เดินทางผ่านประตูค่าย และแนะนำ พร้อมเอ่ยแนะนำ

“เหยี่ยวหางแดงมีขนาดใหญ่มหึมา ใช้พื้นที่ราบในการขึ้นบิน ต้องอาศัยอากาศในการขับเคลื่อนหรือทะยานขึ้นสู่ที่สูง ด้วยเหตุนี้ สมาคมการค้าจึงเลี้ยงเหยี่ยวหางแดงไว้บนภูเขา”

ต้องอาศัยกระแสลม เอาล่ะ การลงจากที่สูงก็ต้องใช้กระแสลมช่วย ดูเหมือนว่าเหยี่ยวจะเป็นสัตว์วิญญาณระดับต่ำ…สวี่ชีอันมองไกลออกไป ก่อนเขาได้ยินเสียงร้องทรงพลัง

หลังจากเดินไปได้หนึ่งเค่อ มีบ้านไม้หลังเดี่ยวสูงสองฉื่อปรากฏสู่สายตา

เมื่อประตูบ้านไม้เปิดออก จึงเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ยืนอยู่ในบ้านได้อย่างชัดเจน มันสูงเกือบสามเมตร มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับนกเหยี่ยวทั่วไปแต่มีขนหางสีแดง

กรงเล็บของนกเหยี่ยวยักษ์แต่ละตัวพันด้วยสายรัดหนา

“ในแต่ละวันพวกมันจะมีเวลาสำหรับรับลม ผู้ขี่ที่เลี้ยงพวกมันไว้จะขึ้นขี่มันเพื่อฝ่าลมฝ่าฝน ถ้าวันไหนพวกมันไม่ได้บินเล่นลม ก็จะกลายเป็นพวกนกฉุนเฉียว”

หัวหน้าสมาคมหยางพูดไปด้วยขณะพาเดินชมราวกับเจ้าบ้านแสนอบอุ่น

“จางโจวเป็นหนึ่งในยุ้งฉางของต้าฟ่ง ทำให้ผืนดินอุดมสมบูรณ์ สำนักงานใหญ่จึงเลี้ยงเหยี่ยวหางแดงไว้ที่นี่นับสิบตัว การเลี้ยงดูพวกมันมีข้าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล สัตว์วิญญาณเหล่านี้จะกินเยอะมาก เพราะเหตุนี้การปล่อยให้เล่นลมหนึ่งชั่วโมง ไม่เพียงช่วยคลายความเหงาให้พวกมัน แต่ยังทำให้พวกมันออกล่าด้วยความมั่นใจอีกด้วย”

เจ้าพูดเหมือนพวกเจ้าของฟาร์มรายใหญ่ตามทีวีเลย…สวี่ชีอันถอนหายใจเบาๆ

จางโจว นี่คือบ้านเกิดของใต้เท้าเจิ้ง

รอกลับมาจากเหลยโจว ค่อยไปทักทายใต้เท้าเจิ้งเสียหน่อย

ในไม่ช้า หัวหน้าสมาคมหยางก็เลือกเหยี่ยวหางแดงออกมาสี่ตัว พร้อมกับคนเลี้ยงพวกมัน

เหยี่ยวหางแดงบางตัวชูคอสูง เชิดใส่สวี่ชีอันและคนอื่นๆ บางตัวแหงนมองท้องฟ้า ราวกับครุ่นคิดเรื่องเกิดมาเป็นนก บางตัวกางปีกมหึมาเพื่อข่มขู่ บางตัวกระพือปีกเบาๆ เอาใจเจ้านาย ดูเป็นมิตร แต่ไม่สนใจสวี่ชีอันและคนอื่นๆ

หัวหน้าสมาคมหยางพูดอย่างจนใจ

“พวกมันก็เป็นเช่นนี้ รู้จักแค่คนที่เลี้ยงพวกมันเท่านั้น ในสายตาพวกมัน คนเลี้ยงเป็นเหมือนบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติพวกมัน”

สวี่ชีอันมองไปที่เหยี่ยวยักษ์ที่ยังคงกระพือปีกใส่คนเลี้ยง ด้วยท่าทางที่ภาคภูมิใจอย่างพี่ใหญ่ที่โอบกอดน้องชาย พลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“พอมองออกอยู่”

‘แล้วเจ้าจะขี่พวกมันได้อย่างไร?’ รอยยิ้มประดับบนใบหน้าหัวหน้าสมาคมหยาง มองชายหนุ่มชุดน้ำเงินด้วยความประหลาดใจ

สวี่ชีอันยกมือขึ้น พลางงอนิ้วชี้และนิ้วโป้งเป็นวงกลมแนบริมฝีปาก แล้วเป่านกหวีดเสียงดัง

เหยี่ยวยักษ์ทั้งสี่ตัวหันกลับมาในเวลาเดียวกัน หัวนกผงกหนึ่งที แล้วดวงตาเหยี่ยวสีทองเจิดจ้า จ้องมองไปที่สวี่ชีอัน

เพียงครู่หนึ่ง ฉากที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็เกิดขึ้น

เหยี่ยวยักษ์ละทิ้งคนเลี้ยงของตน พุ่งกระโดดเข้าหาสวี่ชีอัน ระหว่างนี้พวกมันสยายปีกออกผลักเพื่อนของพวกมัน เหมือนพวกมันโต้เถียงกันเอง

“เอ่อ…”

หัวหน้าสมาคมหยางไม่อาจซ่อนความตกใจไว้ได้ เขาเคยเห็นผู้บำเพ็ญระดับสูงใช้ความรุนแรงเพื่อทำให้เหยี่ยวหางแดงยอมจำนน

แต่ไม่เคยเห็นวิธีที่ง่ายขนาดนี้มาก่อน เพียงแค่เป่านกหวีดครั้งเดียว สัตว์วิญญาณทั้งสี่ก็ยอมประจบประแจง

ใบหน้าพวกคนเลี้ยงทั้งสี่คนเต็มไปด้วยความผิดหวัง ปวดร้าวเหมือนภรรยาตนกำลังสวมหมวกสีเขียวมันเงา

“ใต้เท้า นี่คือกลอุบายของเผ่ากู่หรือ?”

ทันใดนั้นหัวหน้าสมาคมหยางก็ตระหนักว่า ในฐานะหัวหน้าสมาคมการค้า ขบวนคาราวานที่ภายใต้อาณัติมุ่งหน้าไปทั่วทุกสารทิศ และมีประสบการณ์มากมาย จางโจวอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ และชนเผ่ากู่ทางตอนใต้ของซินเจียงก็อยู่ในอาณาเขตการค้าของสมาคมการค้าเช่นกัน

สวี่ชีอันไม่ตอบคำถาม แต่ฝากฝังอย่างเคร่งขรึมแทน

“หัวหน้าสมาคมหยาง ม้าแสนรักของข้าจะอยู่กับท่านที่นี่ชั่วคราว จะต้องให้อาหารสัตว์แบบเข้มข้นและไม่อนุญาตให้ใครขี่มันเด็ดขาด ข้าจะจ่ายค่าเช่าสัตว์วิญญาณและค่าดูแลม้าทั้งหมดให้ท่าน”

“ตกลง!”

หัวหน้าสมาคมหยางตกปากรับคำทันที

…………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท