ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 527 สังหารเหิงอิน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 527 สังหารเหิงอิน

นอกจากกระบวนวิชาสายตรงและเครื่องรางแล้ว มีเพียงไม่กี่คนในโลกเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมปราณมังกรได้ ซึ่งแม้แต่ท่านโหราจารย์เองก็ไม่มีกำลังมากพอ นับประสาอะไรกับถ่าหลิงล่ะ?

ด้วยเหตุนี้สวี่ชีอันผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและสัจคาถาที่ท่านโหราจารย์ได้สอนให้ รวมถึงโชคชะตาอันหนักอึ้งของครึ่งประเทศ จึงเป็นเพียงผู้เดียวในโลกที่สามารถควบคุมปราณมังกรได้

ภายใต้สาเหตุสำคัญเช่นนี้ สิ่งที่สวี่ชีอันต้องทำคือเขาจะต้องปรากฏตัวทันทีที่สำนักพุทธเข้าช่วงชิงปราณมังกร

ไม่มีใครคาดคิดว่าในหมู่ทหารของเหลยโจวจะมีผู้ที่สามารถควบคุมปราณมังกรซุกซ่อนอยู่ และเพราะจิ้งซินไม่ได้คาดการณ์มาก่อน เมื่อรู้ว่าถ่าหลิงสามารถเบิกปราณมังกรได้ เขาจึงยิ่งมั่นใจกับตัวเอง

หลังปราณมังกรเข้าสู่ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี มันจะกลืนกินมังกรตัวน้อยในกระจก แล้วผนึกให้ขดตัวอยู่ในช่องว่างของหนังสือ กลายเป็นประติมากรรมแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว

ทันใดนั้นทุกสายตาที่ติดตามปราณมังกรก็จับจ้องไปที่สวี่ชีอัน

ชาวเหลยโจวต่างมีสีหน้าอิจฉาริษยา ในขณะที่เจ้าอาวาสของสำนักพุทธพลันน้ำตาไหล

“เจ้า…”

สีหน้าของเหิงอินบูดบึ้ง ชี้ไปที่สวี่ชีอันพร้อมกับแผดเสียงดัง “พวกนอกรีต วันนี้เจ้าจะต้องตาย”

คนผู้นี้ทำร้ายจอมยุทธ์ภิกษุในวัด จากนั้นก็ใช้วาทศิลป์อันแยบยลปลุกปั่นชาวยุทธ์เหลยโจว ก่อนจะเรียกตัวซุนเสวียนจีโหรของสำนักโหราจารย์ไป…

ตลอดเวลาที่ซุ่มซ่อนอยู่แดนฝัน หลังหลุดพ้นออกมาได้ก็เอาแต่ตำหนิติเตียนตัวเอง

ภายใต้การสั่งสมอันหนักอึ้ง ฉานซือเหิงอินจึงพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

ใบหน้าฉานซือจิ้งซินค่อยๆ บิดเบี้ยว ความรู้สึกทุกข์ระทมดั่งมีดกรีดกลางใจแล่นปรี่ โอกาสและโชคชะตาที่ควรเป็นของเขากลับถูกคนอื่นช่วงชิงไป

จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนตะเบ็งเสียงเอ่ย “ส่งสมบัติของสำนักพุทธมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

สวี่ชีอันกล่าวเย้ยหยัน “สมบัติอันล้ำค่าใครคว้าได้ก่อนย่อมเป็นของคนผู้นั้น ซึ่งมันเลือกข้าแล้ว สำนักพุทธคิดจะข่มแย่งขโมยไปเป็นของตนอย่างนั้นหรือ? พี่น้องทุกคนล้วนสู้รบมาด้วยกัน แบ่งสมบัติให้เท่าเทียมเถิด”

ดวงตาของหลี่เส่าอวิ๋นทอประกาย “นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?”

ชาวยุทธ์เหลยโจวต่างพากันมองดูอย่างอิจฉาใคร่ได้ไปตามๆ กัน

“หากโกหก เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าฆ่าข้าได้เลย” สวี่ชีอันยิ้มเอ่ย

นัยน์ตาของหลิวอวิ๋นเปล่งประกาย พูดเสียงดังลั่น “สมเหตุสมผลแล้ว ก่อนอื่นก็ฆ่ากลุ่มภิกษุนี้ก่อน เมื่อออกไปจากเจดีย์พุทธะได้ พวกเราค่อยมาแบ่งสมบัติกัน หากออกไปจากเจดีย์ไม่ได้ ทุกอย่างที่ทำมาก็ล้วนสูญเปล่า”

ตอนนี้นางกำลังเข้าข้างสวีเชียนอย่างไร้คุณธรรม ตอบแทนที่เขาเคยช่วยชีวิตเอาไว้

‘เข้าท่า’ ชาวยุทธ์เหลยโจวพลันขบคิด ทันใดนั้นพวกเขาก็ลุกฮือปกป้องที่ด้านข้างปืนใหญ่ โดยมือข้างหนึ่งถืออาวุธ ส่วนอีกข้างยกปืนพกหรือหน้าไม้ขึ้นพร้อมเพรียงกัน ประจันหน้ากับเหล่าภิกษุของสำนักพุทธ

เหิงอินโกรธจัด ความอดทนพลันขาดสะบั้น “หากจะมีใครคิดข่มแย่งขโมยไป ก็คงเป็นเจ้านั่นแหละ! ปราณมังกรถือเป็นสมบัติประจำสำนักพุทธของข้า ทหารหยาบช้าเช่นเจ้าน่ะหรือจะคู่ควรกับมัน หากวันนี้เจ้าไม่ยอมส่งปราณมังกรนั่นมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากเจดีย์พุทธะเลย เจ้าสำนักทั้งหลายขจัดมารพร้อมอาตมา”

เขานั่งลงขัดสมาธิ ณ ที่ตรงนั้น สองมือประนมพลางสวดคาถา

จากนั้นเหล่าฉานซือทั้งหมดก็นั่งลงขัดสมาธิ ประนมมือสวดเช่นเดียวกัน

หัวของชาวยุทธ์เหลยโจว ‘สะเทือน’ เลือนลั่น เสียงเซ็งแซ่เหล่านั้นดังอยู่ในโสตประสาทก้องกังวานอยู่ในหัว สลัดล้างปรปักษ์ในใจก่อนจะครอบงำให้ผู้คน ‘เทิดทูนสำนักพุทธ’

ในด้านพลังต่อสู้ ฉานซือตามแนวทางของสำนักพุทธนับว่าไม่เป็นที่รู้จักมากนัก โดยวิถีการโจมตีหลักมักมาจาก ‘คาถา’ ของภิกษุขั้นห้า สามเณรขั้นเก้าที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์และขั้นแปดผู้ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ภิกษุที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของสำนักพุทธ

ปรมาจารย์ระดับเจ็ดจะเชี่ยวชาญในพระธรรม สามารถชุบวิญญาณคนตายและครอบงำคนเป็น

ส่วนฉานซือขั้นหกจะเชี่ยวชาญในฌาน ทำให้ขณะนั่งฌานไม่หวั่นเกรงต่อการรุกรานจากมารผจญรอบนอก

ส่วนนักพรตขั้นสี่และสามเณรขั้นเก้านั้น มีศักดิ์เทียบเท่ากัน เนื่องจากอยู่ในระดับก่อนถึงขั้นสูงสุดจึงไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆ เพิ่มเติม

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือก่อนจะบรรลุถึงพระอรหันต์ขั้นสอง พลังการต่อสู้ของฉานซือนั้นจะมีจำกัดเป็นอย่างมาก

จากจุดนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดพระพุทธศาสนาจึงแบ่งออกเป็นสองแนวทาง จอมยุทธ์ภิกษุเปรียบเสมือนผู้คุ้มกันของฉานซือ คอยปกป้องพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะบรรลุเห็นแจ้ง

ดังนั้นชื่อเรียกอื่นของระดับเพชรขั้นสามจึงได้ชื่อว่าผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชร

ขณะที่เหิงอินนำฉานซือทั้งหมดสวดคาถา สิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมาคืออิทธิฤทธิ์ของปรมาจารย์ระดับเจ็ด…สามารถครอบงำคนเป็นได้

เสียงสวดประสานทะลุผ่านช่องว่างบนชั้นสอง ค่อยๆ ครอบงำชาวยุทธ์เหลยโจวทีละน้อย ยกเว้นแต่หลี่เส่าอวิ๋น เหล่าจอมยุทธ์ขั้นสี่และห้าสองสามนาย ส่วนคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนใบหน้าบิดเบี้ยวและแสดงท่าทีต่อต้าน

แม้จะไม่ได้แปรพักตร์เข้าหาสำนักพุทธแต่ก็นับว่าสูญเสียกองกำลังรบแล้วสิ้นเชิง เพราะทุกคนมัวแต่ต่อสู้กับความเลื่อมใส คิดอยากจะออกบวชที่พรั่งพรูเต็มหัวใจ

โชคดีที่สาวกของตำหนักมังกรตงไห่เองก็ได้รับผลกระทบและสูญเสียกองกำลังรบเช่นเดียวกัน

‘ตู้ม…’

สวี่ชีอันหยิบปืนใหญ่ออกมาอย่างใจเย็น ก่อนจะหันเหไปที่ภิกษุของสำนักพุทธ ปลายนิ้วปลดชนวนแล้วเหนี่ยวไกออกไป

ภายใต้แว่วเสียง ‘ตูม’ ปืนใหญ่กระตุกถอยหลังอย่างรวดเร็ว กระสุนปืนใหญ่ดังโครมครามโผเข้าปะทะเหิงอิน

จากนั้นจอมยุทธ์ภิกษุก็ประจันหน้ากับเหล่าฉานซือ หมัดพุ่งใส่ปืนใหญ่จนเกิดแรงระเบิดพร้อมกับประกายไฟกวาดทั่วเป็นวงกว้างกว่าหนึ่งในสามของพื้นที่

ด้วยพื้นที่ที่ค่อนข้างคับแคบ ปืนใหญ่จึงสร้างความเสียหายที่รุนแรงมากโข

ทุกคนถูกแรงระเบิดซัดออกไปสะเปะสะปะ ทั้งคิ้วและผมถูกเปลวไฟแผดเผา ด้านฉานซือที่นั่งขัดสมาธิต่างก็โอนเอนไปมา ไม่นานก็กลับมานั่งในท่าเดิมอีกครั้งพลางสวดคาถาต่อไป

ตงฟางหว่านชิงคว้าดาบหัวตัดเล่มหนึ่งของจอมยุทธ์ภิกษุไว้แน่น ก่อนจะวิ่งห่างออกไปแล้วหันหลังกลับมา ทันใดนั้นปลายดาบก็ตัดผ่านอากาศอันบิดเบี้ยว

ปลายดาบฟันร่างชาวยุทธภพทั้งสองออกเป็นเสี่ยง ทะลุลำกล้องปืนใหญ่กระแทกลงบนพื้นดินที่แข็งกระด้างจนเกิดแรงระเบิด

ลำกล้องถูกแบ่งเป็นสองส่วน แยกออกเสมอกัน

หยวนอี้แค่นเสียงขึ้นจมูก ผู้บัญชาการเคลื่อนไหวในพริบตา ไม่กี่ย่างก้าวก็เข้าถึงตัวตงฟางหว่านชิง หารู้ไม่ว่าในระหว่างนั้นเขาได้แอบเหน็บดาบไว้ที่เอวด้วย

ตงฟางหว่านหรงเป็นพ่อมด ขอเพียงได้มีโอกาสเข้าประชิดตัว ไม่กี่อึดใจก็สามารถบั่นคอคู่ต่อสู้ได้แล้ว

ขณะเดียวกันฉานซือจิ้งซินก็สอดประสานมือ ตรึงหยวนอี้ไว้กับที่พร้อมเอ่ย

“วางอาวุธลง…”

ตูม!

เสียงปืนดังขึ้น เป็นสวี่ชีอันที่เหนี่ยวไกปืนพยายามเป่าหัวเหล่าสาวกของฉานซือจิ้งซิน ทำให้เขาต้องคลายคาถา

ตงฟางหว่านชิงหันกลับมาพร้อมขว้างดาบหัวตัดจนเกิดเสียง ‘แกร๊ง’ ดาบหัวตัดที่ลอยเคว้งปะทะเข้ากับดาบคาดเอวของหยวนอี้ กระแทกคมมีดกระเด็นออกไป

เมื่อสบโอกาสจากช่องว่างนี้ ตงฟางหว่านหรงจึงร่ายม่านลวงตาไปที่ร่างกายของตัวเอง ทำให้นางมีการป้องกันและพลังกายเฉกเช่นจอมยุทธ์

‘แกร๊งแกร๊งแกร๊ง!’

ทว่าเมื่อหยวนอี้ผนวกเข้ากับการโจมตีของจิตดาบ ตงฟางหว่านหรงที่ปะทะแรงฟาดฟันจึงราวกับผจญสายฝนห่าใหญ่ ทำให้นางต้องร่นถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สามารถปัดป้องทำได้เพียงต้านทานเท่านั้น

แม้จะมีร่างกายและการป้องกันดั่งจอมยุทธ์ แต่การต่อสู้ระยะประชิดก็เป็นขอบเขตของจอมยุทธ์เช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง หลี่เส่าอวิ๋นกำลังโบกหอกยาวปะทะกับตงฟางหว่านชิงไม่รู้จบ จิตหอกราวกับมังกร ทุกครั้งที่ขว้างออกไปก็ขู่คำรามดังเสียดแทงหูเสียทุกครา

“หึ!”

ตงฟางหว่านหรงฉีกมุมเสื้อของหยวนอี้ พลางเปิดฉากวิชาสาปสังหาร

หยวนอี้ที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วเมื่อครู่ จู่ๆ ก็แข็งทื่อในวินาทีต่อมา ใบหน้าซีดเผือดราวกับได้รับบาดเจ็บฉับพลัน อาการบาดเจ็บที่มาจากภายในร่างกาย

น่าเสียดายที่ตงฟางหว่านหรงไม่สามารถฉกชิงเส้นผมของหยวนอี้มาได้ ไม่เช่นนั้นพลังอำนาจของวิชาสาปสังหารคงแข็งแกร่งมากกว่านี้

แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้โต้กลับ ร่างเงาหนึ่งก็ฉายวาบขึ้นที่ด้านข้าง ดาบคู่ตัดไขว้เชือดเฉือนเข้าที่ลำคอ จนเกิดประกายไฟสาดกระเซ็นและเสียงเสียดหูที่ดังก้องกังวานไปทุกหนแห่ง

ม่านลวงตาเหนือหัวของตงฟางหว่านหรงพลันสั่นไหวรุนแรงใกล้จะพังทลายเต็มที บนคอระหงขาวราวหิมะปรากฏรอยคมดาบบาดลึก เลือดสีแดงฉานรินไหลเป็นสาย

“เจ้าพระงั่ง ยังไม่มาข้าช่วยอีก?”

ตงฟางหว่านหรงก่นด่าด้วยความโกรธเคือง

เดิมทีเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่นางจะต่อกรกับจอมยุทธ์ขั้นสี่ที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิดถึงสองคนได้ด้วยตัวเอง

จิ้งหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่วมสู้ ทั้งยังต้องช่วยเจ้าสำนักดาบคู่ที่ถูกตรึงไว้ ทั้งต้องคอยระวังเหล่าฉานซือ

ภายในเจดีย์ หลี่หลิงซู่กำลังยืนอยู่บนป้อมพลางแอบดูลูกปัดในมือของตู้หนานระดับเพชรด้วยความกลัวเล็กน้อย ระคนเป็นห่วงสหายตัวน้อยทั้งสองของเขา

สำหรับหลี่หลิงซู่แล้ว สิ่งที่สวีเชียนต้องการไขว่คว้านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ไม่สำคัญ ขอเพียงผู้อาวุโสคนนี้สามารถออกจากเจดีย์ได้เท่านั้นเป็นพอ

“ซุน ผู้อาวุโสซุน…”

หลี่หลิงซู่เอ่ยขึ้น “ต้นกำเนิดของปราณมังกรเมื่อครู่นั่นคืออะไรกัน?”

ซุนเสวียนจีกล่าวตอบ “คือ… “

รออยู่ชั่วครู่หนึ่งหลี่หลิงซู่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับอะไรอีก

เพราะมัวแต่จดจ่อดูการต่อสู้ เขาจึงลืมคำถามของตัวเองไปเสียสนิท ทันใดนั้นก็ได้ยินซุนเสวียนจีพูดขึ้น “มังกร…”

เจ้าว่าอะไรนะ…จิตใจของหลี่หลิงซู่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

“ช่างน่าทึ่ง น่าทึ่งจริงๆ!”

สุนัขจิ้งจอกขาวตัวน้อยขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของมู่หนานจือมองดูอย่างเพลิดเพลิน

“เจ้าเห็นลูกปัดที่อยู่ไกลๆ พวกนั้นไหม?”

มู่หนานจือลูบหัวของมัน

“อย่ามาลูบหัวข้านะ ข้าไม่ชอบ” สุนัขจิ้งจอกขาวตัวน้อยเอ่ยเสียงเนิบนาบ

“ข้าต้องเห็นอยู่แล้ว เห็นชัดแจ๋วเลยด้วย”

มู่หนานจือรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เพราะระยะทางไกลเกินไปนางจึงมองไม่เห็นอะไรเลย

นางลูบหัวจิ้งจอกขาวตัวน้อยอีกครั้ง ขนอันอ่อนนุ่มให้ความอบอุ่น หากนำมาทำเป็นเสื้อคลุมขนจิ้งจอกคงจะเหมาะกับการสวมใส่ในฤดูหนาวที่ดูท่าจะหนาวขึ้นเรื่อยๆ นี้เป็นแน่

ช้าก่อน นี่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่ มันยังเด็กอยู่เลยแท้ๆ…มู่หนานจือยับยั้งความปรารถนาตามสัญชาตญาณของผู้หญิงที่มีต่อเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกไว้ชั่วครู่

“ว่าแต่ เจ้าจิ้งจอกน้อย เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” มู่หนานจือถามด้วยความสงสัย

จู่ๆ สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยตัวนี้ก็โผล่มาที่ด้านข้างของนางโดยไร้สัญญาณใดๆ

“องค์หญิงให้ข้ามาน่ะ!”

สุนัขจิ้งจอกขาวตัวน้อยตอบทุกคำถามอย่างจริงใจปนน่าเอ็นดู

“องค์หญิง?” มู่หนานจือมองไปที่มัน

“ข้าบอกไม่ได้ ขืนบอกมีหวังถูกเชือดแน่” จิ้งจอกขาวตัวน้อยกล่าวออกไปตรงๆ

สวี่ชีอันปรากฏตัวเงียบๆ ในเงาของเหิงอิน เขาพ่นควันสีเขียวออกมาเต็มปากพร้อมด้วยไอพิษ ไอปราณเสน่หาของฉิงกู่และซินกู่ที่มีฤทธิ์ต่อจิดใจและสติปัญญา

ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับไร้ผลโดยสิ้นเชิง เมื่อฉานซืออยู่ในฌาน พวกเขาสามารถต้านทานการผจญของมารรอบนอกได้

สวี่ชีอันไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัก เพราะเขารู้เรื่องอิทธิฤทธิ์ของการเข้าฌานดี สิ่งนี้ภิกษุเสินซูเคยแสดงให้เห็นแล้ว สาเหตุที่เขาใช้ความพยายามที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์เหล่านี้ก็เพื่อจัดการกับจอมยุทธ์ภิกษุที่คอยปกป้องอยู่รอบนอก

ใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าเหล่าจอมยุทธ์ภิกษุจะถูกรบกวนและควบคุมโดยฉิงกู่ ตู๋กู่ และซินกู่ ขณะเดียวกันนั้นเองเขาก็ใช้ฝ่าข้างหนึ่งกดไปที่จุดไป่ฮุ่ย

“อย่าหวังว่าจะฆ่าได้เลย!”

ภิกษุจิ้งซินประสานมือก่อนเอ่ยเสียงเข้ม

นัยน์ตาของสวี่ชีอันฉายวาวโรจน์ ท้ายที่สุดก็เอื้อมมือไปไม่ถึง

ด้วยการยืดเยื้อนี้ ใบหน้าฉานซือจิ้งหยวนจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ก่อนจะรุดเข้าช่วยเหลือเหิงอิน

เมื่อเห็นดังนั้น สวี่ชีอันจึงหยุดยื้อแย่งแล้วถอยร่นกลับไปด้วยวิชากระโดดสู่เงา

จิ้งหยวนถอนหายใจอย่างโล่งอก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น เขาหันมองกลับไปพลันน้ำตาไหลนอง

จอมยุทธ์ภิกษุคนหนึ่งแทงมีดเข้าที่หน้าอกของเหิงอิน ผ้ากาสาวพัสตร์เจิ่งนองไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ด้วยเหตุการณ์ฉุกละหุกที่เกิดขึ้น ทำให้จิ้งซินและจิ้งหยวนหันเหความสนใจไปที่สวี่ชีอัน โดยไม่ทันคาดคิดเลยว่าจะมีหนอนบ่อนไส้ในหมู่จอมยุทธ์ภิกษุ

จอมยุทธ์ภิกษุคนนั้นดึงมีดออก พร้อมแสยะยิ้มเอ่ย “พวกเจ้าที่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับเขา ไม่มีทางจบสวยหรอก”

จิ้งหยวนใบหน้าขมึงทึง พลางยื่นมือออกไปติดพิษฉิงกู่ที่ตัวของจอมยุทธ์ภิกษุผู้ทรยศ

“นี่คือฉิงกู่ ฉิงกู่ของเผ่าพันธุ์กู่แห่งซินเจียงตอนใต้ ผู้ที่โดนพิษของฉิงกู่จะตกเป็นทาสรักของผู้ที่ใช้มันหัวปักหัวปำ” จิ้งซินเอ่ยหอบ

ภิกษุสำนักพุทธทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว ดวงตาหันมองไปที่สวี่ชีอันราวกับกำลังจ้องมองปีศาจ

สวี่ชีอันสบถ “ข้ากลับไปไม่ได้!”

หลังจากพูดจบเหิงอินที่ควรจะตายแล้วกลับลุกขึ้นมานั่งสอดประสานมือ มองไปที่ตงฟางหว่านหรงด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและพูดว่า

“วางมีดสังหารลงซะ!”

ร่างแสนบอบบางของตงฟางหว่านหรงแข็งทื่อในทันใด ความสับสนฉายชัดในแววตา

ซือกู่!

ขณะที่พยายามออกมาจากเงาของเหิงอิน สวี่ชีอันได้ใช้เวลาระหว่างนี้ขัดขวางจอมยุทธ์ภิกษุด้วยตู๋กู่ ฉิงกู่ และซินกู่ไปพร้อมกัน ในตอนนี้มีสองสิ่งที่เขาต้องทำ สิ่งแรกคือฝังจื่อกู่ให้ลึกเข้าไปในร่างของจอมยุทธ์ภิกษุผู้นั้นให้มากที่สุดเพื่อลบล้างฉิงกู่

สิ่งที่สองคือโปรยจื่อกู่ของซือกู่ลงบนสาบเสื้อของเหิงอิน หลังจากเหิงอินตาย ซือกู่ก็จะครอบครองร่างของเขาแล้วทำให้เขากลายเป็นหุ่นเชิด

ด้วยความสามารถอันจำกัดของซือกู่ มันจึงครองร่างเหิงอินได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็คือร่างของเขาในช่วงราวๆ ขั้นที่ห้า

แกร๊งแกร๊งแกร๊ง!

สำหรับจอมยุทธ์ที่เชี่ยวในการต่อสู้แล้ว สิ่งที่ตงฟางหว่านหรงทำพลาดไปนั้นนับว่าร้ายแรงใหญ่หลวงนัก

มีดสามเล่มฟันประดังเข้าที่ร่างของนางราวกับห่าฝน ม่านลวงตาที่ถูกโจมตีสะเทือนอย่างรุนแรง คล้ายจะพังทลายลงต่อหน้าต่อตา

หากม่านลวงตาไม่ได้รับการปลุกเสกจากวิญญาณวีรบุรุษ พ่อมดอย่างตงฟางหว่านหรงคงถูกจอมยุทธ์ขั้นสี่สองคนบั่นคอไปแล้ว ไม่มีทางเหลือรอดมาได้เป็นครั้งที่สองแน่

นัยน์ตาของฉานซือจิ้งซินแสดงความสิ้นหวัง มองไปยังถ่าหลิงที่ปลีกตัวออกไปพร้อมมือที่สอดประสานและใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเข้ม

“ท่านผู้อาวุโส ข้ามีเพียงสองคำขอ ได้โปรดปล่อยน่าหลันเทียนลู่และพาพวกเราออกจากเจดีย์พุทธะเถอะขอรับ”

ในเมื่อไม่สามารถเอาชนะในเจดีย์ได้ เช่นนั้นก็พาทุกคนออกไปจากเจดีย์พุทธะทั้งหมดนี่แหละ

ภิกษุชรามองไปที่สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “พวกเจ้าจะยอมงั้นหรือ?”

“ไม่ยอมหรอก!”

สวี่ชีอันพูดขึ้นในทันที หลังจากพูดจบ เขาก็พึมพำในใจ อารมณ์ของถ่าหลิงผู้นี้ช่างพิลึกเสียจริง

ภิกษุชราส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “อาตมาจะไม่บังคับผู้ใด”

สีหน้าของฉานซือจิ้งซินแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบพูดขึ้นอย่างเร่งรีบ “เช่นนั้นก็ละเว้นพวกเขา”

พระชราพยักหน้าพลางยิ้ม “ก็ได้”

ทันใดนั้นเขาก็โบกสะบัดมือ แสงสีทองอันวิจิตรพัดผ่านแนบติดร่างเหล่าสาวกตำหนักมังกรตงไห่และภิกษุวัดซานฮัวไปถ้วนทั่ว

ครู่ต่อมาพวกเขาก็หายตัวไป ก่อนปรากฏตัวอีกครั้งที่ลานกว้างทางด้านนอกเจดีย์

หลบหนีได้สำเร็จ

เฮ้อ! หลังจากมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง จิ้งซินก็ได้รับการยืนยันว่าตนมาถึงด้านนอกของเจดีย์แล้ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ใบหน้าภิกษุวัดซานฮัวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รู้สึกโชคดียิ่งที่รอดชีวิตมาได้

“หรงเอ๋อร์…”

ตงฟางหว่านหรงที่ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนดังมาจากด้านข้างก็หันไปหาต้นเสียงในทันที ก่อนจะพบเข้ากับร่างชายชราเลือนรางที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมพ่อมด มีผมและเคราสีขาว ใบหน้าประดับริ้วรอยและรอยยิ้มอ่อนโยนกำลังจ้องมองมาที่นาง

ทัศนะของตงฟางหว่านหรงพลันพร่ามัวในทันใด น้ำตาที่คลอหน่วยตาทั้งสองพาให้สะอื้นเอ่ย “ท่านอาจารย์…”

“ท่านเจ้าเมืองน่าหลัน!”

อีเอ๋อร์ปู้ซึ่งอยู่ในชุดคลุมพ่อมดปรากฏตัวขึ้น ลูกปัดสีดำโผล่พ้นออกมาจากปลายนิ้ว เอ่ย

“ท่านอยู่ในลูกปัดผนึกวิญญาณมาตลอดเลยสินะเจ้าคะ เมื่อกลับไปที่เมืองจิ้งซาน ข้าจะให้พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เปลี่ยนรูปกายใหม่ให้กับท่านเอง”

สำหรับพ่อมดและลัทธิเต๋าที่เชื่อในเรื่องวิญญาณ ตราบใดที่วิญญาณไม่ถูกทำลาย เนื้อกายย่อมสามารถเปลี่ยนใหม่ได้เสมอ และเนื่องจาก ‘จิตวิญญาณและร่างกาย’ ที่ไม่ตรงกันนี้ ภายภาคหน้ามันอาจส่งผลต่อการเลื่อนลำดับขั้น กล่าวคือจำเป็นต้องใช้เวลาหลายทศวรรษหรือหลายร้อยปีในการสร้างสมดุลทั้งมวลขึ้นมาใหม่

แต่สำหรับตัวของน่าหลันเทียนลู่ที่เป็นถึงเจ้าแห่งวัสสานขั้นสอง อีกไม่เท่าไรก็ไต่ถึงเพดานของลำดับ การจะเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งได้นั้นต้องอาศัยโชคชะตา ซึ่งต่อให้อีกหลายร้อยปีก็อาจเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เลื่อนลำดับ

“ท่านอาจารย์ตู้หนาน ศิษย์ทำไม่สำเร็จ มาได้เพียงเท่านี้ขอรับ”

จิ้งซินเดินไปที่ด้านหน้าตู้หนานระดับเพชร ประสานมือเข้าด้วยกันพลางก้มศีรษะเอ่ย

ตู้หนานไม่พูดอะไร เพียงจ้องมองไปยังทางเข้าของเจดีย์พุทธะ

อีเอ๋อร์ปู้ยิ้มกล่าว “ลูกไก่ในกำมือหยุดดิ้นแล้ว ซุนเสวียนจี เจ้าช่วยตรวจสอบสถานการณ์ทีได้หรือไม่?”

บนป้อมกลางอากาศ มู่หนานจือพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “แย่แล้ว พวกเขาออกมาไม่ได้”

……………………………………………..

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท