ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 571 พบกันบนถนนโดยบังเอิญ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 571 พบกันบนถนนโดยบังเอิญ

“เฮ้อ หากไม่มีสถานการณ์เลวร้าย การท่องยุทธภพยังนับว่าเป็นการเดินทางที่ไม่เลว”

สวี่ชีอันบีบช่องว่างระหว่างคิ้วแล้วเก็บจดหมายเข้าไปในอก

สถานการณ์ในต้าฟ่งล่อแหลม หากพังทลายลง ชีวิตของเขาก็คงไม่รอด

ท่านโหราจารย์เคยบอกว่าในร่างเขามีชะตาบ้านเมืองต้าฟ่งอยู่ครึ่งหนึ่ง ดวงชะตาของเขาได้รวมเป็นหนึ่งกับต้าฟ่งนานแล้ว

เมืองอยู่คนอยู่ เมืองล่มคนบรรลัย

แผนในตอนนี้คือฟื้นฟูตบะก่อน ถึงไม่สามารถดึงตะปูตอกวิญญาณออกมาได้หมด แต่ดึงออกสักสองสามเล่ม ตบะของข้าก็ฟื้นฟูได้หน่อยหนึ่ง เช่นนี้แล้วถึงสามารถรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายได้

“นอกจากนี้ แม้เมื่อวานจะสูญสิ้นเงินทองจำนวนมาก แต่ข้อดีของการบำเพ็ญคู่ก็ประจักษ์ชัด ข้ารู้สึกว่าจุดตันเถียนจะระเบิดแล้ว พลังปราณอันแข็งแกร่งนี้…

เมื่อวานเขากับลั่วอวี้เหิงบำเพ็ญวิชาทั้งหมดในห้องบรรพกาลของลัทธิเต๋าไปหนึ่งรอบ

ตอนนี้พอเขาหลับตาลง รูปร่างขาวนวลเนียนและทรวดทรงองค์เอวที่งดงามของราชครูก็ผุดขึ้นในหัวโดยไม่รู้ตัว

ไตร้องโหยหวน จุดตันเถียนกลับปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลัน

หากเปลี่ยนเป็นสตรีนางอื่น นอกจากจะใช้สูตรโกงเกมระดับเทพแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้อีก

การบำเพ็ญคู่ของผู้นำเต๋าลัทธิมนุษย์ระดับสอง ช่างก้าวหน้ารวดเร็วอย่างปาฏิหาริย์

“หากบำเพ็ญคู่ต่อเนื่องไม่หยุด อย่างมากครึ่งปีข้าก็สามารถบรรลุระดับของอ๋องสยบแดนเหนือในตอนต้นได้แล้ว ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของระดับสาม”

สวี่ชีอันกล่าวในใจ

ทว่าผ่านเจ็ดวันนี้ไปแล้ว ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งและสำรวมตัวของลั่วอวี้เหิง น่าจะไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับเขาอีก

“ต้องโทษลูกมัจฉาอย่างเจ้าพวกหลินอันที่ไม่เอาการเอางาน หากพวกนางเป็นระดับสองคงจะดี…”

หลี่หลิงซู่อยากเห็นเนื้อหาในจดหมายมาก แต่สวีเชียนตั้งใจป้องกันและไม่ให้โอกาสเขา

“ใช่สิ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกกับเจ้า” สวี่ชีอันพลันกล่าวออกมา

หลี่หลิงซู่เห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึมก็เคร่งขรึมตามไปด้วย “เชิญผู้อาวุโสกล่าว”

“ระยะไม่กี่วันมานี้ หากพบเครื่องหมายลับในการติดต่อของนิกายสวรรค์อย่าได้สนใจ แม้ว่าผู้ที่ติดต่อจะเป็นอาจารย์ของเจ้า” เขากล่าว

เครื่องหมายลับในการติดต่อของนิกายสวรรค์? อาจารย์ของข้า? คำพูดประโยคนี้เปิดเผยข้อมูลค่อนข้างมาก หลี่หลิงซู่ทั้งงงงวยและตื่นตระหนกตกใจ

“ผู้อาวุโสหมายความว่าอย่างไร”

“เรื่องนี้พูดไปแล้วเรื่องมันยาว” สวี่ชีอันจิบชาเก๋ากี้หวานๆ ไปทีหนึ่งแล้วกล่าวเนิบๆ

“เทพธิดาปิงอี๋ของนิกายสวรรค์ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิง กำลังลงเขาไปจับกุมเจ้ากับหลี่เมี่ยวเจิน จะนำพวกเจ้ากลับไปกักขังบนเขา หลี่เมี่ยวเจินตกอยู่ในมือพวกเขาแล้ว”

???

เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มสมองหลี่หลิงซู่

เขาทำจิตใจให้สงบแล้วถามคำถามทีละข้อด้วยความฉงน “เหตุใดอาจารย์อาปิงอี๋กับอาจารย์ข้าถึงจับข้ากับหลี่เมี่ยวเจินด้วย ผู้อาวุโสทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร ดูจากคำพูดท่าน พวกเขาใกล้มาถึงยงโจวแล้วหรือ”

สวี่ชีอันตอบคำถามทีละข้อ

“เรื่องในนิกายสวรรค์ของพวกเจ้าข้าไม่รู้ชัดเจน ข่าวกรองของข้าครอบคลุมไปทั่วต้าฟ่ง และนิกายสวรรค์ของพวกเจ้าก็ไม่คิดจะทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ ในระยะไม่กี่วันนี้พวกเขาก็จะมาถึงยงโจวแล้ว”

สวี่ชีอันเชื่อว่าการเตือนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว

อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เขารู้นิสัยของหลี่หลิงซู่ดี จุดเด่นสุดของผู้ชายห่วยๆ คนนี้คือรับฟังคำพูดของผู้อื่น

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือแค่ไหน เพียงเป็นคำพูดของคนที่เขาเชื่อถือ หลี่หลิงซู่ก็จะเก็บเอามาใส่ใจ จากนั้นก็เกิดความระมัดระวังและไปสังเกตการณ์

นี่คือจุดเด่นที่ยอดฝีมือวัยหนุ่มหลายคนไม่มี

“ผู้อาวุโส อย่าล้อกันเล่น นิกายสวรรค์จะจับกุมข้ากับศิษย์น้องเมี่ยวเจินได้อย่างไร”

ประตูเมืองทางทิศใต้ของเมืองยงโจว

บรรดาคนที่เดินอยู่พากันหันไปมองกลุ่มคนสามคน ในบรรดาพวกเขาแบ่งเป็น นักพรตหญิงใบหน้างดงามเยือกเย็น นักพรตวัยกลางคนที่หนวดยาวถึงหน้าอก และหญิงสาวที่มีบุคลิกห้าวหาญ

ที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงก็คือ นักพรตหญิงใบหน้างดงามเยือกเย็น ใช้เชือกเส้นหนึ่งจูงหญิงสาวที่มีลักษณะท่าทางองอาจห้าวหาญผู้นั้นอยู่

มือทั้งคู่ของหญิงสาวถูกมัดไว้ และเดินตามหลังนักพรตหญิงที่มีใบหน้างดงามเยือกเย็น

‘อัปยศอดสูยิ่งนัก หากพบกับคนที่รู้จักข้า ท่วงทีของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินคงอันตรธานไปจนหมดสิ้น…’ หลี่เมี่ยวเจินบ่นอยู่ด้านหลังอาจารย์

“ข้าไม่หนีหรอก และก็หนีไม่ได้ด้วย อาจารย์ท่านเก็บเชือกมัดวิญญาณนี้ไปเถิด”

เทพธิดาปิงอี๋มีสีหน้าเมินเฉยและไม่สนใจนางเลย

“หากสหายเห็นเข้า ข้าจะเสียหน้าได้” หลี่เมี่ยวเจินพูดซุบซิบ

ตอนนี้เทพธิดาปิงอี๋ถึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “หากเจ้าสามารถปลงตกได้ ก็จะไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องเสียหน้า”

หลี่เมี่ยวเจินไม่ยอมจึงพูดโต้เถียง “ถ้าท่านทำได้ ท่านก็หมอบอยู่บนพื้นแล้วเลียนเสียงสุนัขเห่าสิ”

เทพธิดาปิงอี๋หยุดฝีเท้า และจ้องมองนางอย่างเยือกเย็น ลูกตาดำขลับงดงามค่อยๆ โปร่งแสง

ครู่ต่อมา หลี่เมี่ยวเจินก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อค้นพบว่าปากทรยศตนเอง ส่งเสียงร้อง “โฮ่งๆ” ออกมา

นางรีบหุบปากทันที

“โฮ่งๆ…”

แต่ก็ไม่ได้ผล

“อา อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว ศิษย์ผิดไปแล้ว ท่านทำแบบนี้กับข้าไม่ได้…โฮ่งๆ!”

เทพธิดาปิงอี๋หมุนตัวกลับ และจูงนางเดินต่อ

“โฮ่งๆ โฮ่งๆ!”

หลี่เมี่ยวเจินเดินไปด้วย เลียนเสียงสุนัขเห่าไปด้วย นางหลั่งน้ำตาด้วยความอับอายท่ามกลางสายตาที่มองมาของผู้คนที่อยู่ข้างถนน

‘ข้าคงอยู่กับเจ้าสุนัขอย่างสวี่ชีอันนานเกินไป ถึงได้ติดโรคที่ต่ำทรามที่สุดของเขา…’ พอหลี่เมี่ยวเจินอ้าปาก ก็ส่งเสียงสุนัขเห่าออกมาอีก

“โฮ่ง!”

ทุ่งต้าเจี่ยว ค่ายทหาร

จีเสวียนนั่งอยู่ในห้องโถง ทางด้านซ้ายขวาเป็นหลิ่วหงเหมียน นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ย และคณะแกนนำอีกหลายท่าน

“เหตุการณ์ของเรื่องราวที่ผ่านมาก็ประมาณนี้ ทุกท่านมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร” จีเสวียนมองไปรอบๆ คนทั้งหลาย

สวี่หยวนซวงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นน้ำเสียงไพเราะก็กล่าวออกมา

“ว่าตามหลักแล้ว แม้คนผู้นี้จะมาเพราะงานใหญ่กลุ่มจอมยุทธ์ ช้าเร็วก็ต้องมาถึงทุ่งต้าเจี่ยว แต่นี่ก็หลายวันแล้ว ข้ากลับไม่สังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเขา

“มีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรก เขามาแล้ว แต่คลาดกันในเวลาที่พวกเราพักผ่อนพอดี นี่คือความโชคดีของผู้มีปราณมังกรอาศัย

“ประการที่สอง มีเรื่องบางอย่างที่หน่วงเหนี่ยวเขา นี่ก็เป็นความโชคดีของผู้มีปราณมังกรอาศัยที่ส่งผลต่อเขาท่ามกลางความมืดเช่นกัน”

ในด้านของดวงชะตา สวี่หยวนซวงที่เป็นโหรย่อมเชี่ยวชาญในเรื่องนี้

หลิ่วหงเหมียนขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านั้นท่านบอกว่า เพียงพวกเรากุมผู้มีปราณมังกรอาศัยไว้ในมือ อาศัยคุณสมบัติเฉพาะในการดึงดูดซึ่งกันและกันของปราณมังกร เขาจะพบกับพวกเราในไม่ช้าก็เร็วมิใช่หรือ”

สวี่หยวนซวงกระตุกมุมปากและกล่าวเหน็บแนม “ความจำเจ้าดีมาก ข้าพูดว่าไม่ช้าก็เร็ว แต่ใครจะรู้ว่ามาตอนไหน อาจเป็นวันนี้ อาจเป็นพรุ่งนี้ หรืออาจเป็นเวลาที่นานกว่านั้น”

“หากเขาถูกจับได้ในก่อนหน้านี้ พวกเราตามจากชิงโจวจนมาถึงสถานที่แห่งนี้ด้วยความยากลำบาก แต่ความพยายามที่ทุ่มเทไปกลับล้วนสูญสิ้นไปเปล่าๆ” ฉีฮวนตานเซียงพันเสื้อคลุมยาวสีสันแพรวพราวและกล่าวเตือน

“อย่าลืมนะ สวีเชียนผู้นั้นก็รวบรวมปราณมังกรอยู่ และบนตัวของเขาก็มีปราณมังกรสองสาย ตามกฎการดึงดูดกันระหว่างปราณมังกร มีความเป็นไปได้สูงกว่าที่เขาจะพบเจ้าเด็กนั่นก่อนพวกเรา”

นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยฟั่นหนวดกล่าว “ข้ากลับมีวิธีการสองสามวิธี”

จีเสวียนได้ยินก็ยิ้มออกมา “นักบวชเต๋า รอท่านบอกอยู่นะ”

พูดถึงประสบการณ์ การผ่านโลก ไม่มีใครในที่นี้เทียบกับนักบวชเฒ่าเจียวเยี่ยได้ การผ่านโลกกับประสบการณ์ มักจะสามารถเปลี่ยนเป็นวิธีการในการรับมือต่อเหตุการณ์ได้

“หากปล่อยไปตามเรื่องตามราว เกรงว่าคนที่พบเจ้าเด็กนั่นก่อนต้องเป็นสวีเชียนอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือขัดขวางสวีเชียน และเพิ่มความเร็วของระดับกำลังในการค้นหา ส่วนจะขัดขวางสวีเชียนอย่างไรนั้น ง่ายมาก ให้ภิกษุระดับสูงในสำนักพุทธลาดตระเวนในเมืองก็ได้แล้ว หากบรรดาภิกษุระดับสูงได้สัมผัสเขาในระยะใกล้ชิดแล้วค้นพบวิชาลับของเขาก็ยิ่งดีไปเลย

“ส่วนพวกเราจะค้นหาเจ้าเด็กนั่นอย่างไรนั้น ด้านหนึ่งเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวคนของตระกูลกงซุน อีกด้านหนึ่งก็ใช้เงินจำนวนหนึ่งสืบข่าวกรองจากเสี่ยวเอ้อร์ตามโรงเตี๊ยมใหญ่ต่างๆ ในเมือง

“ตรวจตราและควบคุมตระกูลกงซุน ให้ฉีฮวนตานเซียงไปจัดการได้ เขาเป็นปรมาจารย์ซินกู่ ทั้งมี ‘กำลังคน’ เพียงพอ ทั้งยังทำได้แบบลับๆ เรื่องสืบข่าวกรองให้สายสืบตำหนักความลับสวรรค์ไปจัดการ

“นอกจากนี้ ต้องรบกวนคุณหนูหยวนซวงออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกบ่อยๆ อาศัยวิชามองปราณค้นหา ทางที่ดีพาผู้มีปราณมังกรอาศัยของพวกเราไปด้วย”

ฟังคำพูดของนักพรตเจียวเยี่ยจบ คนทั้งหลายก็พยักหน้าเล็กน้อย

ขณะนี้ สวี่หยวนซวงพลันกล่าวออกมา “กลุ่มดาวมังกรเจ็ดกลุ่มมาแล้ว”

กลุ่มดาวมังกรทั้งเจ็ด…ฝูงชนในห้องโถงนิ่งเงียบ

ราชครูเมืองเฉียนหลงท่านนั้น อยู่สังกัดสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่ แบ่งออกเป็นสถาบันจัดตั้งโหรที่อยู่ในเมือง ยี่สิบแปดกลุ่มดาว และตำหนักความลับสวรรค์

ตำหนักความลับสวรรค์ทำหน้าที่เป็นเครือข่ายข่าวกรอง ลึกลับที่สุด คนนอกยากจะเข้าใจ

แต่สถาบันจัดตั้งโหรกับยี่สิบแปดกลุ่มดาวเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในบรรดาบุคคลระดับสูงของเมืองเฉียนหลง

ในบรรดายี่สิบแปดกลุ่มดาวนั้น กลุ่มดาวหงส์ไฟเจ็ดกลุ่มดำรงตำแหน่งในกองทัพ ควบคุมกองทัพอสูรเหินเวหากองหนึ่งที่มีแปดพันตัว นอกจากนี้พวกเขายังเป็นทหารสอดแนมที่ยอดเยี่ยมที่สุด

หน่วยองครักษ์พยัคฆ์ขาวที่นำโดยกลุ่มดาวพยัคฆ์ขาวเจ็ดกลุ่ม ก็อาศัยสถานะองครักษ์ถูกจัดแจงไว้ข้างกายคนสนิทของราชครูและขุนนางสำคัญจำนวนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน

กลุ่มดาวเต่าดำเจ็ดกลุ่ม เป็นกองทหารม้าหนักขนาดห้าพันนาย

กลุ่มดาวมังกรเจ็ดกลุ่ม รวมทั้งดาวมังกรในนั้น มีคนแค่หยิบมือเดียว พวกเขาคือกลุ่มนักล่าสังหารที่ทำให้ผู้คนที่ได้ยินชื่อถึงกับต้องขวัญหนีดีฝ่อ

ทั้งยังเป็นกำลังรบระดับสูงสุดที่ราชครูสร้างมากับมือ ทั้งแปดคนอาศัยค่ายกลเวทและอาวุธเวทร่วมกันบุกโจมตี สามารถระเบิดพลังทำลายล้างระดับสามได้

ระดับสามนั้นไม่ธรรมดา ไม่ว่าเวลาใด อยู่ในกลุ่มอิทธิพลใด ก็เป็นการดำรงอยู่ในขั้นสูงสุด

ไป๋หู่ที่เป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พอดาวมังกรมา เมืองยงโจวก็ไม่มีเหตุที่คาดไม่ถึงแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องพิจารณากลับเป็นเรื่องที่ว่าสำนักพุทธจะตระบัดสัตย์หรือไม่”

จีเสวียนส่ายหน้า “ตำหนักความลับสวรรค์ได้ทำข้อตกลงกับสำนักพุทธไว้แต่แรกแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ไม่ต้องกังวลไป”

สวี่หยวนไหวแค่นเสียงกล่าว “รอจับสวีเชียนได้ ข้าจะสังหารเขาด้วยมือของข้าเอง”

จนกระทั่งบัดนี้ เขายังคงคิดว่าสวีเชียนทำให้พี่สาวของเขาด่างพร้อย

ได้ยินเช่นนี้ คนทั้งหลายก็มองสวี่หยวนซวงอย่างอดไม่ได้ ไป๋หู่หัวเราะกระหึ่มก่อนกล่าวออกมา “พอถึงตอนนั้น จะมอบคนผู้นี้ให้คุณชายจัดการตามอำเภอใจ”

ฉีฮวนตานเซียงกล่าวเรียบๆ “ที่ข้ามีตู๋กู่สำหรับทรมานคนจำนวนมาก แต่การฆ่าคนไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำให้ศีรษะตกพื้น ไม่จำเป็นต้องทรมาน”

นิสัยของปรมาจารย์กู่ผู้นี้สุดโต่ง แต่ในภายใต้สถานการณ์ปกติก็ไม่ชอบการสังหาร

หลิ่วหงเหมียนเล่นอยู่กับเล็บของตัวเอง ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ

สำหรับผู้ที่มีหน้าตาสวยงามโดดเด่นอย่างนางแล้ว ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่มีค่าพอที่นางจะให้ความสนใจ ชายบนโลกที่ดึงดูดความสนใจของนางได้ ถ้าไม่ใช่ที่ผู้มีตำแหน่งไม่ธรรมดา ก็ต้องเป็นผู้ที่มีตบะสูงส่ง

ในบรรดาคนรุ่นหนุ่มสาว มีเพียงจีเสวียนเท่านั้นที่นางสนใจ

ต่อให้เป็นคนมีสถานะอย่างสวี่หยวนไหวก็ไม่เข้าตานาง แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่สังคมใหม่ๆ นางจึงสนใจที่จะพูดจาหยอกล้อด้วยถ้อยคำจำนวนมาก

หลังเที่ยง ยามตะวันรอน

สวี่ชีอันกับหลี่หลิงซู่มุ่งหน้ากลับโรงเตี๊ยมท่ามกลางแสงสีส้ม

หลังออกจากโรงน้ำชา พวกเขาก็ไปบ่อนพนันลิ่วป๋อหนึ่งรอบ แต่ที่นั่นปิดประตูไปนานแล้ว

เมื่อพิจารณาได้ว่าคนของตำหนักความลับสวรรค์รวมทั้งสำนักพุทธให้ความสนใจกับเรื่องนี้อยู่ สวี่ชีอันจึงไม่ได้ทำการสืบเพิ่ม เรื่องราวของเหตุการณ์เขารู้มาจากหน่วยข่าวกรองของตระกูลกงซุนแล้ว

ไม่มีพยานคดีในที่เกิดเหตุ แต่มีเพียงคำคาดการณ์ของผู้นำตระกูลกงซุน และคำให้การของคนที่ดูแลสถานที่บ่อนการพนัน

เถ้าแก่เจ้าของบ่อนการพนันที่ชื่อเฉินเอ้อร์ผู้นั้น ดูเหมือนจะแพ้พนันเงินมากเกินไป อีกทั้งยังเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นคนต่างถิ่น จึงเกิดใจคิดคด ด้วยเหตุนี้จึงถูกสังหารกลับ

“เจ้าแจ้งกงซุนเซี่ยงหยาง ให้เขาให้ความสนใจโรงเตี๊ยมในเมืองสักหน่อย คนต่างถิ่นมาที่นี่ ถึงอย่างไรก็ต้องพักโรงเตี๊ยมอยู่ดี”

หลี่หลิงซู่ตอบ “อืม” ไปคำหนึ่ง สายตามองไปข้างหน้า จู่ๆ เขาก็เห็นพระรูปร่างกำยำที่สวมจีวรสีเหลืองตัดสลับแดงรูปหนึ่งเดินมาจากท้ายถนน

เขาสูงแปดฉื่อ สูงกว่าคนทั่วไปสองสามศีรษะ ความสูงที่โดดเด่นนี้สะดุดตามาก

เทพอารักษ์ตู้หนาน!

หลี่หลิงซู่ใจสั่นสะท้านจนเกือบจะก้มหน้าลง

“อย่าลนลาน อย่าขัดแข้งขัดขาตัวเอง”

น้ำเสียงของสวีเชียนถ่ายทอดเข้ามาข้างหู

‘ผู้อาวุโสสมกับเป็นผู้อาวุโสจริงๆ ถึงไม่สะทกสะท้านเช่นนี้…’ หลี่หลิงซู่สูดหายใจเข้าลึกๆ อารมณ์หวาดกลัวอันตรธานจนหมดสิ้น ใบหน้าไม่เปลี่ยนสี

เวรเอ๊ย เหตุใดถึงเจอกับตู้หนานที่นี่ อย่าถูกเขาค้นพบเด็ดขาดเชียว ข้ายังปวดไตไม่หาย…สวี่ชีอันแอบแยกเขี้ยว

……………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท