บทที่ 2 ตอนที่ 5
「แล้ว มันหมายความว่ายังไงกันแน่」
หลังเลิกเรียน ผมอยู่กับอันนาที่ร้านอาหารครอบครัวใกล้โรงเรียน
ในตอนนั้น อันนาทำให้ห้องเรียนเต็มไปด้วยวังวนแห่งความอยากรู้อยากเห็นและความสับสน แล้วพออาจารย์โฮมรูมมาถึงเธอก็จากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจากก็บอกว่าหลังเลิกเรียนจะมารับอีก
เป็นเรื่องยุ่งยากเอามากๆ สำหรับผม ทั้งห้องเรียนต่างพากันถามเรื่องความสัมพันธ์ที่ผมมีกับเด็กสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นแสนสวย
ยิ่งพอมีบางคนที่รู้สึกตัวว่าอันนาเป็นลูกสาวของประธานดันเจี้ยนมาร์ทเรื่องมันก็ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก เข้าขั้นบ้าคลั่งไปแล้ว
พวกผู้ชายในห้องล้วนแล้วแต่มองผมด้วยสายตาที่สามารถฆ่าคนได้จากความอิจฉา ยุ่งเหยิงสุดๆเลย
พออันนามารับตามที่สัญญาไว้ ผมก็รีบคว้าตัวเธอแล้ววิ่งหนีมาที่ร้านอาหารครอบครัวแห่งนี้
「โอ่ย ฟังอยู่รึเปล่า? นี่ผมต้องเจอเรื่องยุ่งยากมากมายก็เพราะเธอเลยนะ」
「เอ๋? อ๊า ขอโทษค่า ฟังอยู่ส์ๆ」
อันนาที่เอาแต่มองไปรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น เรียกคืนสติกลับมาแล้วก้มหัวให้
เป็นอะไรไปอีกล่ะยัยนี่ ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเคยมาร้านอาหารครอบครัวครั้งแรกซักหน่อย…..ไม่สิ บางที
「หรือว่า นี่จะเป็นครั้งแรกที่มาสถานที่แบบนี้?」
「แหม~ น่าอายจัง เพราะว่าพ่อกับแม่ปกป้องมากเกินไปนั่นแหละค่ะ」
อันนาเกาหัวด้วยความเขิน
เอาจริงดิ…..ไม่เคยมาที่ร้านอาหารครอบครัวมาก่อน ครอบครัวแบบนี้มีตัวตนอยู่จริงๆด้วย…..
ผมขนลุกเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กสาวคนนี้มาจากครอบครัวไฮโซของจริง
「เอ แล้วปกติไปทานข้าวที่ไหนล่ะ」
「ก็ไม่ค่อยได้ออกไปทานข้าวนอกบ้านตั้งแต่แรกอยู่แล้วส์ ปกติที่บ้านจะมีมัตสึโมโต้ซัง…..อะ เชฟคอยทำอาหารให้ทานอยู่ค่ะ」
「ช-เชฟงั้นสินะ」
ถ้าเป็นงั้น ก็คงไม่ต้องออกไปทานข้างนอกหรอก
「มีตอนที่ออกไปทานข้างนอกปีละไม่กี่ครั้งก็เป็นสถานที่ที่ต้องจองล่วงหน้าเอาไว้ก่อนประมาณ 6 เดือนค่ะส์」
「ฮ-โฮโฮ่…..」
ชัดเลย แม่สาวคนนี้เป็นคุณหนูตัวจริงเลยไม่ใช่รึไง
「ร-เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอกค่ะส์ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า」
「อ-โอ้ นั่นสินะ เธอ เรื่องนั้นมันหมายความว่ายังไงล่ะ」
จู่ๆก็จะมาตั้งชมรมนักผจญภัย นึกว่าเป็นบทนำของนิยายไลท์โนเวลที่ไหน แถมยังมาห้วนๆอีก
「ก็หมายความตามที่บอกนั่นแหละค่ะ ชั้นกับรุ่นพี่ พวกเรามาตั้งชมรมนักผจญภัยด้วยกันไหม ตามนั้นเลย」
「ไม่สิ ก็บอกว่าไม่เข้าใจว่านั่นหมายความว่าอะไร」
「ก็แหม~ แบบว่าตอนนี้ได้เป็นนักเรียนมัธยมปลายแล้ว แบบ ไม่ใช่ว่าอยากจะทำอะไรที่มันดูสมเป็นวัยรุ่นดูหน่อยเหรอ? แล้วการตั้งชมรมใหม่ ก็น่าจะดีเลยส์ไม่ใช่เหรอ?」
กับอันนาที่ทำท่าทางเขินอาย ผมก็ยิ้มให้ราวกับว่าได้มองดูอะไรตลกๆแล้ว…..
「จ้า แยกย้ายได้」
「อ๊า กรุณารอซักประเดี๋ยวค่าส์!」
อันนารีบห้ามผมที่กำลังจะลุกออกจากที่นั่ง
「นั่นไง อาหารมาแล้ว! นะ?」
「ช่วยไม่ได้น้า~」
อาหารมาถึงพอดี ผมก็เลยจำใจต้องนั่งลง
อาหารถูกจัดวางบนโต๊ะ ที่ผมสั่งไปก็คือ「ข้าวไข่ข้นออมไรซ์」กับเมนูข้างเคียงเป็นสลัดแซลมอนรมควัน
ยังไงก็ตาม คิดว่าของที่อร่อยที่สุดของ Denim ก็คือออมไรซ์ล่ะ ไม่เหมือนกับออมไรซ์ที่ทำที่บ้าน หรือออมไรซ์จากร้านอาหารตะวันตกทั่วไป มันเป็นออมไรซ์ลึกลับที่สามารถหาทานได้แค่ที่ Denim เท่านั้น
อันนาอีกด้านหนึ่ง ดูจะสั่งแฮมเบิร์กของช่วงเวลาจำกัดมา
「ทานละนะคะ…..โอ้! รสชาติแตกต่างจากแฮมเบิร์กที่ชั้นเคยทานเลยส์」
กับอันนาที่ไม่แน่ใจว่ากำลังชมหรือติอาหารอยู่ ผมก็ถามคำถามขณะที่ทานไปด้วย
「แล้ว เหตุผลมีแค่นั้นจริงๆเหรอ?」
「ก็ นั่นก็เป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่ง แต่ก็มีเหตุผลสำคัญอีกอย่างส์ ขอถามอะไรอย่างนึงก่อน รุ่นพี่มีวางแผนที่จะเป็นมืออาชีพในอนาคตอยู่รึเปล่าคะ?」
「แน่นอนอยู่แล้ว」
ตอบในทันที สำหรับผู้ที่เป็นถึง 3 ดาวแล้ว มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยว่าเป็นพวกที่มุ่งมั่นจะเป็นมืออาชีพ
หลังจากได้ยินคำตอบของผม อันนาก็ยิ้มอย่างพอใจ
「สมแล้วล่ะส์ นี่แหละถึงจะเป็นผู้ชายที่ชั้นตามหาอยู่ งั้น รุ่นพี่ก็คงจะรู้เงื่อนไขที่จะได้เป็นมืออาชีพแน่นอนอยู่แล้วใช่ไหมส์ค่ะ?」
「อา แน่นอน」
ไม่เหมือนกับการเลื่อนระดับสู่ 3 ดาว ความยากในการเลื่อนระดับจะเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ 4 ดาวขึ้นไป
ครอบครองการ์ดแรงค์ C อย่างต่ำ 8 ใบ, สถิติบันทึกการพิชิตเขาวงกตแรงค์ D มากกว่า 100 แห่ง, การสอบข้อเขียนด้านกฏหมายหลายข้อ, การสอบภาคปฏิบัติที่รวมถึงการต่อสู้จริงกับนักผจญภัยมืออาชีพ…..
ไม่ว่าอย่างไหนก็ไม่สามารถทำเสร็จได้ในเวลาชั่วข้ามคืน
อันที่กินเวลามากที่สุดก็คงจะเป็น สถิติบันทึกการพิชิตเขาวงกตแรงค์ D มากกว่า 100 แห่งล่ะมั้ง ความลึกของเขาวงกตแรงค์ D คือ 21 ~ 30 ชั้น เป็นความลึกที่ต่อให้ผมที่มีขลุ่ยของฮาเมลินก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมด้วยข้อกำหนดสำหรับการเลื่อนขั้นที่ต้องเป็นเขาวงกตที่ไม่ซ้ำกัน ในโตเกียวมีเขาวงกตแรงค์ D ประมาณ 40 แห่ง ด้วยตัวเลขนี้มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ถึงความจำเป็นที่ต้องไปทำการสำรวจในจังหวัดอื่น
อุปสรรคด้านจิตวิทยาที่ใหญ่ที่สุด อย่างที่คิดว่าต้องเป็นการสอบข้อเขียน อันนี้ได้ยินว่าระดับความยากของมันจะง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการสอบภาคปฏิบัติ แต่ก็มั่นใจได้เลยว่าไม่ใช่แค่ผมแน่ที่พอได้ยินว่าเป็นการสอบข้อเขียนแล้วจะเกิดปฏิกริยาด้านลบเข้าให้
ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ต้องใช้เวลาและผมก็จะใช้เวลาค่อยๆทำมันไป เพราะยังไงซะ แม้แต่เงื่อนไขที่ง่ายที่สุดอย่างการครอบครองการ์ดแรงค์ C อย่างต่ำ 8 ใบก็ยังไม่ได้เลย
「งั้น รู้เรื่องนี้รึเปล่า? สถิติบันทึกการผจญภัย สามารถเอาแบบทีมมารวมด้วยได้」
「เอ๋ ไม่รู้มาก่อนเลย」
「ก็นะ ข้อมูลนี้ทางกิลล์ไม่ได้ประกาศเป็นทางการด้วยแหละส์ เพราะอย่างหนึ่ง มันมีข้อจำกัดในวิธีนี้อยู่」
จากที่อันนาบอก
ทางกิลล์นักผจญภัยมีสิ่งที่เรียกว่าระบบทีมอยู่ และดูเหมือนว่าทีมจะมีการประเมินที่ถูกแบ่งแยกออกจากการประเมินตัวบุคคล
แม้ว่าตัวบุคคลจะอยู่ที่ระดับ 3 ดาว แต่ถ้าได้ไปเข้าร่วมในทีมระดับ 4 ดาว พวกเขาเหล่านั้นก็จะถูกมองเป็นนักผจญภัย 4 ดาวในกรณีที่ได้ทำกิจกรรมแบบทีมเท่านั้น อีกทั้งความสำเร็จที่ได้ในขณะทำกิจกรรมแบบทีม จะถูกเพิ่มเป็นความสำเร็จของตัวบุคคลไปด้วย
หรือก็คือ ไม่ว่าจะเป็นการพิชิตเขาวงกตแรงค์ D 100 แห่งในแบบทีม หรือจะพิชิตเขาวงกตแรงค์ D 100 แห่งด้วยตัวเองคนเดียว มันก็ไม่มีปัญหากับการเลื่อนระดับ
คนเดียวหรือหลายคน แทบไม่ต้องคิดเลยว่าอย่างไหนจะง่ายกว่ากัน นั่นเพราะขอแค่ดำเนินเรื่องไว้ก่อนล่วงหน้า ต่อให้กระจายกันไปสำรวจเขาวงกต มันก็ยังนับเป็นความสำเร็จด้วยหมด
「แต่ถ้าแบบนั้น หมายความว่าถ้าสร้างทีม 100 คนขึ้นแล้วแต่ละคนไปสำรวจ 1 แห่ง แบบนั้นก็เสร็จเงื่อนไขแล้วงั้นเหรอ?」
「ถ้าเป็นทีมแล้วใช้วิธีนั้นก็ไม่มีปัญหาส์ แต่ว่าถ้าออกจากทีมไปก็จะต้องกลับไปเป็น 3 ดาว เพราะงั้นสุดท้ายแล้วก็ไม่มีความหมายอยู่ดีคะ」
「หมายความว่าความสำเร็จที่ได้มาจากคนอื่นจะไม่ถูกนับเป็นผลงานส่วนบุคคลสินะ แล้ว จะตั้งทีมขึ้นมาทำไมล่ะ?」
「นั่นมันก็แน่อยู่แล้ว เพื่อจะได้ลงสำรวจเขาวงกตที่มีแรงค์มากกว่าแรงค์ดั้งเดิมตัวเองยังไงล่ะส์ ต่อให้ไปลงเขาวงกตแรงค์ D เยอะแค่ไหน มันก็ไม่ดรอปการ์ดแรงค์ C มาหรอก รู้อัตราดรอปของการ์ดแรงค์ C รึเปล่าค่ะ? 0.1 ใช่ไหมส์? ถ้าตั้งเป้าอยู่แค่เขาวงกตแรงค์ D ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็หาไม่ได้หรอกคะ」
「น-นั่นสินะ…..」
「…..?」
นี่ได้การ์ดแรงค์ C จากเขาวงกตแรงค์ D มาแล้ว 3 ใบ ผมเลยได้แต่พูดตามน้ำไป
「…..ในกรณีนั้น ทางเดียวที่จะได้การ์ดแรงค์ C มาก็คือการซื้อส์ แต่นั่นก็เป็นกระทบด้านการเงินมากเกินไป และถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหามาด้วยมือของตัวเองใช่ไหมล่ะคะ? ในกรณีนี่…..」
「ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปลงเขาวงกตแรงค์ C ซึ่งตรงจุดนี้ก็เป็นที่ทีมเข้ามาเป็นตัวแปรสินะ」
「ถูกต้องแล้วส์ และก็ดูเหมือนว่าจะขอแค่ให้ใครซักคนเครียการสอบก็ถือว่า OK แล้วเพราะแบบนั้นมันถึงเป็นที่นิยมยังไงล่ะส์」
「โฮ่!」
สำหรับคนที่เกลียดการสอบอย่างผม ระบบนี้นับว่าช่วยได้มากเลย
พอเห็นผมเป็นแบบนั้น อันนาก็ยิ้ม
「จะว่าไปแล้ว ชั้นผ่านการสอบข้อเขียนไปแล้ว เพราะงั้นที่เหลืออยู่ก็แค่การ์ด, สถิติ, กับภาคปฏิบัติค่ะส์」
「เอาจริงดิ!」
ยัยนี่ ทำให้ผมประหลาดใจได้จริงๆเลย
「หรือก็คือ ถ้ามารวมทีมกับชั้น ที่ต้องทำก็แค่ลงเขาวงกตไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้เป็น 4 ดาวยังไงล่ะส์」
「อย่างงี้นี่เอง…..ไม่สิ เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก่อน ทำไมถึงมาคุยเรื่องตั้งทีมกับเธอล่ะ ที่ต้องทำก็แค่ไปเข้าร่วมกับทีมอื่นก็ได้ไม่ใช่เหรอ? 」
อันนาฮึดจมูกเล็กน้อยให้กับคำพูดของผม
「จะทำแบบนั้นก็ได้แต่ทำไมถึงไม่ส์ทำงั้นสินะค่ะ?」
「แบบว่ารู้สึกไม่ชอบมาพากล หมายความว่ามีอะไรที่พูดยากงั้นเหรอ?」
「ก็นะ เป็นเฉพาะกับพวกผู้ชายนั่นแหละ ถ้าเกิดว่าเป็นสาวสวยอย่างชั้นไปก็คงได้เข้าร่วมอยู่หรอก แต่แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอกส์」
「…..อย่างงี้นี่เอง」
เป็นที่ความรู้สึกสินะ
「โดยทั่วไปแล้ว ทีมไม่ใช่อะไรที่จะไปเข้าร่วมแต่เป็นอะไรที่ต้องสร้างขึ้นมาเองค่ะ ถ้าเกิดว่าทีมที่ไปร่วมที่ไม่ดีพอก็ยุ่งยากอีก แถมบางที่ยังมีการให้จ่ายค่าเข้าเอาไว้ล่วงหน้าอีกต่างหากส์」
「จิงดิ」
ดูเป็นอะไรที่เฉพาะตัวน่าดูแหะ…..
หมายความว่า
「ก็เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องทีมแล้ว แต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับชมรมนักผจญภัยล่ะ」
ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นกิจกรรมชมรม ที่ต้องทำก็แค่ผมกับอันนามารวมทีมกันเท่านั้น
「ก็ถ้าเอาแค่ตั้งทีมอย่างเดียวมันก็ใช่อยู่หรอกส์ค่ะ」
อันนาพยักหน้า จากนั้นก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา
「…..รุ่นพี่พอจะรู้เรื่องทฤษฏีวันสิ้นโลกจากเขาวงกตรึเปล่าคะ?」
「ทฤษฏีวันสิ้นโลกจากเขาวงกต…..」
มันก็คือ ทฤษฏีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการล่มสลายของมนุษยชาติ
นับตั้งแต่ที่เขาวงกตปรากฏขึ้นมาบนโลกนี้ จำนวนของมันก็มีเพิ่มมากขึ้นอยู่ทั่วทั้งโลก
แค่ในญี่ปุ่นที่เดียว แรกเริ่มเดิมทีมีเขาวงกตเพียงประมาณ 100 แห่ง แต่ใน 20 ปีที่ผ่านมา จำนวนกลับเพิ่มอย่างน่าตกใจถึง 7,000 แห่ง
สาเหตุใหญ่ที่สุดก็เพราะแองโกลมัวร์ จำนวนของเขาวงกตเมื่อแองโกลมัวร์ครั้งที่ 1 ได้เพิ่มเป็น 1,000 แห่ง และในแองโกลมัวร์ครั้งที่ 2 เพิ่มเป็น 5,000 แห่ง หากอิงตามนี้ จะได้ทฤษฎีที่แพร่หลายกันว่าแองโกลมัวร์คือกระบวนการแพร่ขยายของเขาวงกต
การเพิ่มขึ้นจะอิงตามจำนวนเขาวงกตทั้งหมด ซึ่งเมื่อเวลายิ่งผ่านไปก็จะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้น
หลังจากแองโกลมัวร์ครั้งที่ 2 อัตราการแพร่ขยายของเขาวงกตที่จากเดิมมีประมาณ 10 แห่งต่อปี ถูกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จำนวนที่เพิ่มขึ้นมากลายเป็น 2,000 ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
หากประมาณการณ์ก็จะได้ 200 แห่งต่อปี ซึ่งนี่เป็นตัวเลขที่หากวันหนึ่งโรงเรียนหรือที่ทำงานของผมเองจะกลายไปเป็นเขาวงกตก็ไม่น่าแปลกใจเลย
ในอีกด้านหนึ่ง มนุษยชาติกลับยังไม่ค้นพบวิธีที่จะทำลายเขาวงกตได้…..
ว่ากันว่า ถ้าหากเกิดแองโกลมัวร์ขึ้นอีกหนึ่งครั้ง จำนวนของเขาวงกตจะเพิ่มขึ้นในทันทีอีกกว่านับหมื่น แล้วผลของมันก็จะทำให้จำนวนการเกิดขึ้นตามธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่ากว่าตอนนี้…..
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่กลายเป็นว่าโลกจะเต็มไปด้วยเขาวงกตงั้นเหรอ?
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความพยายามของมนุษย์ในการรับมือแองโกลมัวร์จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป และมอนสเตอร์ก็จะทะลักออกมาจากเขาวงกตทั่วโลก
ณ เวลานั้น มนุษยชาติก็จะสูญสิ้น
…..นี่ก็คือทฤษฏีวันสิ้นโลกจากเขาวงกต
「เธอ เชื่อเรื่องนั้นด้วยเหรอ…..」
「อ้าวแหม รุ่นพี่ไม่เชื่อเหรอส์คะ?」
「จะบอกว่าไม่เชื่อเลยมันก็…..」
จริงอยู่ว่าสามารถรับรู้ได้ถึงวิกฤติ จากเขาวงกตที่เพิ่มจำนวนไม่มีหยุดและความจริงที่ว่ายังไม่พบวิธีลบมัน
ทว่า ไม่ใช่ว่าเขาวงกตจะล้นโลกใน 1 ปีหรือ 2 ปีซักหน่อย อีกทั้งในระหว่างนั้นมันก็น่าจะมีคนเก่งๆที่สามารถหาวิธีการลบมันออกมาได้
มีของมีประโยชน์หลายอย่างที่ถูกค้นพบในเขาวงกต ไม่คิดว่าจุดจบมันจะแย่ขนาดนั้นหรอก
ซึ่งนี่เป็นความคิดเห็นจากสาธารณะรวมถึงผมด้วย
「รุ่นพี่ นั่นมันเพราะพวกสื่อชี้นำให้คนคิดแบบนั้นต่างหากส์ล่ะค่ะ…..」
แต่พออันนาได้ยินความคิดเห็นของผม เธอก็มองมาด้วยสายตาตกใจและสงสาร
「อ-อะไรกันล่ะ」
「ฟังส์นะคะ? โลกเนี่ยกำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับเขาวงกตมากกว่าที่รุ่นพี่คิดเอาไว้อยู่ส์นะคะ ตรงๆเลยคือเหล่ามหาเศรษฐีของโลก ได้มองว่าการล่มสลายของอารยธรรมเนื่องจากเขาวงกตเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วส์ ทำไมการ์ดแรงค์ C และการ์ดแรงค์ B ราคาถึงไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ รู้รึเปล่าส์คะ?」
「เอ…..ไม่ใช่ว่าเพราะมีคนตั้งเป้าจะเป็นมืออาชีพมากขึ้นจนอุปสงค์มีมากกว่าอุปทานหรอกเหรอ?」
「นั่นมันก็แค่จากรายงานข่าวส์ค่ะ อุปสงค์เพิ่มขึ้นส์ก็จริง แต่อุปทานน่ะยิ่งเพิ่มขึ้นส์มากกว่าอีก นั่นก็เพราะจำนวนนักผจญภัยเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก คำตอบก็คือทางประเทศและมหาเศรษฐีต่างพากันกว้านซื้อหมดส์ ที่ออกมาสู่ตลาดนั้นก็แค่ส่วนเล็กๆของอุปทานเท่านั้น เช่นเดียวกันกับอุปกรณ์เวทค่ะ」
「เอาจิงดิ…..」
ถ้าหากว่าเป็นคนธรรมดาทั่วไปมาพูดแบบนี้ล่ะก็ ผมก็คงได้หัวเราะกลับไปดังๆ
ทว่าพอมันออกมาจากปากของลูกสาวเพียงคนเดียวของคนที่มีฐานะที่ติดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกแล้ว มันกลับมีแรงโน้มน้าวอย่างมากมายมหาศาล
「รุ่นพี่เคยคิดสงสัยบ้างไหมคะว่าทำไมเด็กมัธยมต้นถึงสามารถเป็นนักผจญภัยได้ถ้ามีความต้องการส์? ต่อให้มันมีอันตรายถึงแก่ชีวิต…..ถ้าเป็นตามปกติแล้วมันไม่มีทางถูกอนุญาตแน่ กับระบบแบบนี้」
「มันก็จริง…..」
ก็เคยมีคิดตั้งคำถามกับการที่สังคมอนุญาตให้ผู้เยาว์เข้าสำรวจเขาวงกตที่มีความอันตรายแบบนี้ เพราะจากความจริงที่ว่าการตื่มสุราและสูบบุหรี่กลับยังคงถูกห้ามไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าถึงเพราะว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพอยู่เลย
「หรือก็คือ รัฐบาลกำลังมีความกังวลมากถึงขนาดนั้นส์ยังไงล่ะ เพื่อที่จะรับมือกับแองโกลมัวร์จึงอยากเพิ่มจำนวนนักผจญภัยให้มากขึ้นเท่าที่จะทำได้แม้จะเพียงเล็กน้อย ในอีกด้านหนึ่งก็ค้นหาวิธีการที่จะกำจัดเขาวงกต….. นี่ก็คือนโยบายปัจจุบันของประเทศทั่วโลกส์ ถึงจะไม่มีการออกข่าวก็เถอะส์ แล้วถ้าเกิดเข้าตาจนมากเข้า ไม่ใช่ว่าจะเริ่มทำอะไรอย่างการเกณฑ์ทหารหรอกเหรอส์คะ?」
「……………」
「มีกรณีหนึ่งอย่างการบุกเบิกดาวอังคารที่กำลังดำเนินการอยู่ แต่ระหว่างอย่างนั้นกับการล้นทะลักของเขาวงกต อย่างไหนมันจะเกิดก่อนกัน…..ต่อให้ทำสำเร็จทันเวลา มันก็ต้องมีขีดจำกัดที่สามารถอพยพไปได้ คนส่วนใหญ่จะถูกปล่อยให้อยู่บนดาวที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดสิ่งผิดปกติที่ทำให้แมลงสาปกลายพันธ์และอยู่อาศัยไม่ได้อยู่ ถึงตอนนั้นแล้วรู้ไหมคะว่าสิ่งที่ต้องทำคืออะไร?」
ก่อนที่จะรู้สึกตัว คำลงท้าย ส์ ของอันนาก็หายไปแล้ว เดาว่าคงเป็นเพราะความจริงจังในตอนที่เธอพูด
ผมกลืนน้ำลายแล้วตอบ
「การผ่าตัดบัคส์…..」
「จูวจู…..ไม่ใช่ล่ะ! ไม่สิ ถึงชั้นจะเป็นคนยกหัวข้อนั้นขึ้นมาเองหน้าตาเฉยก็เถอะ แต่ว่านี่เรื่องจริงจังนะค่ะ! จะว่าไปแล้วส่วนตัวชอบอดอลฟ์มากที่สุดค่ะ」
จะว่าไปผมเองก็ชอบอดอลฟ์มากที่สุดเหมือนกัน
พอถูกขอให้ตอบใหม่ ผมก็ตัดสินใจตอบอย่างจริงจังไปรอบนี้
「…..พลังที่จะปกป้องตัวเอง?」
「ใช่แล้วค่ะส์ และพลังนั่นก็ไม่ใช่เฉพาะแค่การ์ดเท่านั้น ยังหมายถึงพรรคพวกที่เชื่อใจได้อีกด้วย…..」
「เพราะงั้นก็เลยมาชวนโดยอ้างถึงกิจกรรมชมรม?」
「ไม่เคยได้ยินมาเหรอส์ค่ะ? เขาว่ากันว่าเพื่อนฝูงที่สร้างในช่วงชีวิตโรงเรียนจะกลายเป็นเพื่อนกันตลอดชีวิต เพื่อนที่เชื่อมต่อกันด้วยแค่ผลประโยชน์น่ะอ่อนแอ ที่ต้องการคือพรรคพวกที่มีสายสัมพันธ์คะส์ พวกเราจะรวบรวมเฉพาะเหล่าคนที่มุ่งมั่นจะเป็นมืออาชีพหรือสูงกว่านั้น แม้จะจบการศึกษาไปแล้วก็จะร่วมกันทำงานต่อไปเป็นทีม และด้วยการรับสมัครรุ่นน้อง พวกเราก็จะสามารถเพิ่มกำลังใหม่ๆเข้าไปได้ด้วย ถ้าหากคิดถึงอนาคตแล้ว กิจกรรมชมรมนี่แหละคะที่ดีส์ที่สุด」
「อืม~…..」
รู้เรื่องที่พูดมา พอเข้าใจอยู่แต่ว่า มันดูเหมือนพยายามให้เหตุผลกับอะไรซักอย่าง
「แล้ว เหตุผลจริงๆล่ะ?」
「เอ๋ ไม่สิ ที่บอกเมื่อกี้ก็จริงแล้ว…..
「ก็ ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็ตามทีแต่ว่า ถ้าที่ต้องทำมีแค่นั้นแล้วไม่ใช่ว่ายังมีอย่างอื่นที่ทำได้อยู่งั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่ามันเป็นแค่เธอยึดติดกับเรื่องของชมรมหรอกรึ?」
「อุ」
ประเด็นของผมดูสมเหตุสมผล อันนาผงะไปอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาจ้องกันด้วยความเงียบ แล้วในที่สุดราวกับว่าคิดได้แล้วก็เริ่มเอ่ยปากพูดมาด้วยความเขินอาย
「…..ก็แบบ…..น่ะสิ」
「เอ๋? ว่าไงนะ?」
「!」
เพราะฟังไม่ทันเลยถามอีกรอบ อันนาหน้าแดงไปถึงหูแล้วส่งเสียงดังขึ้นมา
「ก็บอกว่าอยากจะเริ่มชมรมใหม่ก็เพราะว่ามันดูเป็นเรียจูดีน่ะสิ!」
「อ-โอ้…..」
ผมพยักหน้าให้ขณะที่พยายามทนเสียง-กิ๊ง-ที่ดังก้องอยู่ในหัว
「ก-ก็แบบพวกนิยายไลท์โนเวลอะไรนั่น มีการตั้งชมรมทำกิจกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็ดูสนุกกันมากส์เลย เพราะงั้น ชั้นเองก็คิดอยู่เสมอว่าอยากจะสร้างอะไรแบบนั้นบ้างตอนที่ขึ้นมัธยมปลาย…..」
「………………..」
ขณะที่เธอกำลังพูดด้วยความเขินอายอย่างที่สุด ผมก็หลับตาลงเงียบๆ
ผมนึกไปถึงตอนก่อนจะขึ้นมัธยมปลาย
พอมาคิดดูแล้ว ก่อนจะขึ้นมัธยมปลายมา ผมก็นึกไปถึงความตื่นเต้นและวันสนุกๆตามมังงะหรือไลท์โนเวลที่กำลังรอตัวผมอยู่ด้วยเหมือนกัน
ทว่าในความเป็นจริง มันไม่มีชมรมบ้าๆบอๆแบบในโลกของนิยาย ที่มีอยู่ก็แค่ชมรมธรรมดาๆน่าเบื่อ ไม่ได้มีประธานนักเรียนสุดเก่งกาจหรืออาจารย์ห้องพยาบาลสุดสวย
เมื่อได้เข้าเรียนแล้วเรียนรู้ว่ามันไม่มีกิจกรรมชมรมหรือตัวละครแบบที่ปรากฏในวัฒนธรรมย่อย ผมก็「มันเป็นแบบนั้นสินะ」ทำใจกับมันได้ แต่มันก็จริงที่รู้สึกผิดหวัง
นี่คิดจะสร้างกิจกรรมชมรมแบบมังงะหรือไลท์โนเวลจริงๆ งั้นรึ
「…..อืม ก็น่าสนใจดีนี่」
「เอ๋?」
พอผมพึมพำไป อันนาที่กำลังคอตกก็เงยหน้าขึ้นมา
「ชมรมนักผจญภัย มาทำกันเถอะ」
「เอาจริงส์เหรอคะ!?」
「อา」
ตั้งชมรมกับรุ่นน้องแสนสวย เป็นอะไรที่ดีและเต็มไปด้วยความเรียจูเลยนี่!
แต่ไหนแต่ไรแล้ว ในโลกที่เขาวงกตและมอนสเตอร์มีตัวตนจริงๆอยู่ ไอ้การที่ไม่มีชมรมแบบในไลท์โนเวลเลยนี่ต่างหากที่แปลก
ในแง่ของความเป็นไปได้แล้วมันก็ไม่ได้ต่ำอะไรเลย!
มหาวิทยาลัยก็มี circle นักผจญภัย เพราะงั้นการที่ม.ปลายจะมีบ้างมันก็ไม่เห็นจะผิดแปลกตรงไหน
ถึงจะไม่รู้ว่าโรงเรียนจะอนุญาตรึเปล่าก็เถอะ…..
「จากนี้ไปพวกเราก็คือชมรมนักผจญภัยล่ะ!」
「โออออออ้! ร-รุ่นพี่ เท่สุดๆไปเลยส์!」
อันนาที่ความตื่นเต้นพุ่งถึงขีดสุด-ป้าบป้าบ-ตบโต๊ะรัวๆ
「ร-รุ่นพี่ จริงๆแล้วชั้น มีคิดชื่อของชมรมนักผจญภัยเอาไว้อยู่แล้วด้วย! ถ้าเรียกมันเลยแบบนั้นจะดูไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ค่ะ!」
「ว่าไงนะ? คิดว่าแค่ชมรมนักผจญภัยมันก็ดีอยู่แล้วแต่ ไหนลองว่ามาซิ」
พอผมพยักหน้า อันนาก็ทำหน้าตาอวดดีแล้วพูด
「การพบกันเพื่อเตรียมพร้อมรับมือจุดจบของโลกไปพร้อมกับกับพรรคพวก หรือเรียกย่อๆว่า SOS…..」
「เงียบไปเลย」
【Tips】ทฤษฏีวันสิ้นโลกจากเขาวงกต
ด้วยจำนวนเขาวงกตที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีและไม่มีหนทางที่จะกำจัดมัน จนในที่สุดมาตรการรับมือแองโกลมัวร์จะไม่สามารถตามทันได้ แล้วไม่ใช่ว่าโลกก็จะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์หรอกหรือ…..? นี่คือทฤษฏีการสูญสิ้นของมนุษยชาติ
สิ่งที่ทำให้ทฤษฏีวันสิ้นโลกจากเขาวงกตแตกต่างไปจากทฤษฏีสบคบคิดไร้สาระก็คือ มันมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดขึ้นในความเป็นจริง
เหตุผลที่รัฐบาลยินยอมให้แม้แต่นักเรียนกลายเป็นนักผจญภัยที่ต้องเสี่ยงชีวิต นั่นก็เพราะต้องการจะซื้อเวลา
หลายประเทศต่างควบคุมสื่อก็เพื่อหลีกเลี่ยงความวิตกกังวลในหมู่ประชาชน แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้มีอำนาจและเงินทองก็เตรียมการอยู่อย่างต่อเนื่อง สำหรับการล่มสลายของอารยธรรมที่กำลังใกล้เข้ามา
เทอร์ร่าฟอร์มิ่งบนดาวอังคารเองก็เป็นหนึ่งในนั้น จูวจู
ข้อมูลเพิ่มเติม
Denim ชื่อร้านอาหารในเรื่อง ของจริงไม่ทราบเหมือนกันว่าร้านไหน ที่ค้นเจอเป็นร้านพาสต้า กับบาร์ ไม่ใช่ร้านอาหารครอบครัว
แมลงสาปดาวอังคารจากเรื่อง Terra Formars
จูวจู เสียงร้องแมลงสาปในเรื่อง
https://en.wikipedia.org/wiki/Terra_Formars
ชมรม SOS จากเรื่องฮารุฮิ
https://en.wikipedia.org/wiki/Haruhi_Suzumiya