หงส์เพลิงรู้สึกว่าร่างกายของนางร้อนระอุราวกับถูกย่างอยู่บนเตา นางทั้งอ่อนแอและไร้เรี่ยวแรง แม้กระทั่งจะยกนิ้วขึ้นนางก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือทนรับการกระแทกกระทั้นอย่างบ้าคลั่งจากชายหนุ่มโดยไม่อาจทำอะไรได้ ทุกการกระแทกนั้นรุนแรงจนทำให้หนังศีรษะของนางเริ่มรู้สึกชาหนึบ
ยิ่งแรงกระแทกรุนแรงขึ้นเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในร่างของนางถูกฉีกกระชากออกจากกัน หยดน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มของนาง แต่นางไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นเพราะความทรมานหรือเพราะพอใจ นางกัดริมฝีปากแน่นเพื่อให้รอดผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
ชายหนุ่มแนบหน้าผากของเขาเข้ากับหน้าผากของนาง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยลมหายใจอันหนักหน่วงว่า ”ผ่อนคลายดีหรือเปล่า”
หงส์เพลิงรู้ว่าเขาตั้งใจถามนางเช่นนั้นเพื่อบังคับให้นางอ้าปากพูด
”ดูเหมือนเจ้าจะยังผ่อนคลายไม่พอ” ชายหนุ่มสำรวจร่างกายของหงส์เพลิงพลางขยับสะโพกไปในเวลาเดียวกัน ”เห็นทีข้าคงต้องเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นกระมัง” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำแหบพร่าและน่าดึงดูด
ทันทีที่พูดจบ เขาก็โอบเอวนางไว้ แล้วเริ่มจู่โจมจุดที่อ่อนไหวที่สุดของนางด้วยทุกสิ่งที่เขามี!
”ไม่…” หงส์เพลิงข่มความต้องการไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เสียงครางจึงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของนาง ผมที่เปียกไปด้วยเหงื่อของนางติดอยู่ที่สองข้างแก้ม น้ำเสียงของนางแหบแห้ง และดวงตาของนางก็ยังเต็มไปด้วยความทรมานและความละอาย
”ในที่สุดเจ้าก็พูดได้แล้วหรือ” ชายหนุ่มพอใจอย่างมากกับปฏิกิริยาของนาง เขารีบสอดลิ้นของตัวเองเปิดริมฝีปากที่เคยปิดแน่นของนางออก และบังคับให้ปลายลิ้นของอีกฝ่ายเกี่ยวกับลิ้นของเขา
ภายใต้รสจูบอันรุนแรงนี้ หงส์เพลิงก็รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงของนางถูกดูดหายไป ทั้งหมดที่นางทำได้คือการมองชายหนุ่มผู้หล่อเหลาที่อยู่บนตัวนาง
”เด็กดี” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะมองหน้านาง การที่นางยอมให้เขาทุกอย่างที่เขาอยากทำกับนางเช่นนี้ยิ่งทำให้ลมหายใจของเขารุนแรงขึ้น แค่ความคิดที่ว่าหงส์เพลิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งหกภพภูมิถูกตรึงอยู่ใต้ร่างของเขาอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะปลุกความต้องการในการทำลายล้างของเขาขึ้น
หงส์เพลิงชะงักไปเมื่อนางรู้สึกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในร่างของนางกำลังร้อนขึ้นและแข็งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเมื่อครู่ ความเสียวซ่านในเวลานี้ยิ่งรุนแรงกว่านัก
ดูเหมือนเขาจะทำนางพังไปเสียแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดที่จะสนใจอะไรอีกต่อไป เตียงไม้แกะสลักโยกตามทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาและส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่พวกเขาขยับตัว
เขาลิ้มรสชาติของนางราวกับพายุฝนพร้อมกับกระชับเอวของนางแน่น ดังนั้นนางจึงไม่มีทางหนีไปจากเขาได้
เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นเหนือพวกเขา
แต่ไม่เพียงแค่ชายหนุ่มจะไม่ปล่อยนาง แต่เขากลับยิ่งเพิ่มแรงขึ้นและทำให้นางยิ่งรู้สึกชาพร้อมกับกัดเข้าที่ลำคอของนาง!
เหมือนมีใครบางคนละเมิดกฎสวรรค์และพระพุทธศาสนา
จู่ๆ บนภูเขาซวีหมีที่อยู่ไกลออกไปหลายพันลี้ก็เกิดพายุขึ้นอย่างกะทันหัน
ระฆังของวัดเหลยอินส่งเสียงราวกับเกิดความโกลาหล ขณะที่เปลวเพลิงสีแดงกระจายไปทั่วท้องฟ้า ก่อนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ กลางอากาศ เกิดเสียงโครมครามดังสนั่นพร้อมกับดอกบัวที่ถูกไฟไหม้จนไม่เหลือ
ดวงตาอันเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจของสมเด็จที่นั่งอยู่กึ่งกลางดอกบัวสีทองเปิดขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นจึงปิดลงอีกครั้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน
สามเณรที่กำลังเติมน้ำมันใส่โคมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เพียงแต่ว่าท้องฟ้าของภพสวรรค์และพระพุทธศาสนาไม่เคยมืดครึ้มเช่นวันนี้มาก่อน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่ต่อต้านพระพุทธศาสนาปรากฏตัวขึ้นบนโลกมนุษย์หรือ
สมเด็จไม่ได้พูดอะไร สิ่งเดียวที่เขาทำคือการพนมมือแล้วเอ่ยว่า ”อมิตาพุทธ”
ดวงตาของเขาดูจดจ่อ แต่เขากลับมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติอันใด
เหมือนอย่างที่คนมักพูดกันว่า ”เสียงแห่งพระพุทธคุณมีอยู่ทุกแห่งหน”
ไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้จะสามารถหลบหนีชะตากรรมของตัวเองได้
แต่คราวนี้ แม้แต่สมเด็จก็ยังไม่สามารถคาดเดาจุดจบของเรื่องนี้ได้ สิ่งที่เขาทำได้จึงเป็นการหันหน้าไปยังอรหันต์ดอกบัวทองคำที่สวดมนต์อยู่ แล้วถามนางเสียงต่ำว่า ”บนโลกมนุษย์มีผู้ก่อกรรมทำชั่วคนใดอยู่ระหว่างการกลับตัวกลับใจหรือไม่”
ดอกบัวทองคำส่ายศีรษะอย่างเคารพ ”สมเด็จ จริงอยู่ที่ในช่วงสองสามวันนี้มีผู้ก่อกรรมทำชั่วกำลังกลับตัวกลับใจอยู่บนโลกมนุษย์ แต่วันนี้ไม่มีเจ้าค่ะ”
คิ้วของสมเด็จยิ่งขมวดเข้าหากัน
ดอกบัวทองคำสังเกตเห็นว่าคำตอบของนางทำให้สมเด็จไม่พอใจ ดังนั้นนางจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิมว่า ”บางทีอาจมีคนที่เราไม่ได้บันทึกเอาไว้แต่ได้รับผลบุญและกำลังอยู่ในระหว่างกลับตัวก็ได้นะเจ้าคะ เหมือนที่อรหันต์หงส์เพลิงทำลายเปลือกไข่ของตัวเองได้ก่อนเวลาอันควรสมัยที่นางอยู่ในนรกเจ้าค่ะ”
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเกิดของหงส์เพลิงเป็นหัวข้อที่ไม่ควรหยิบยกขึ้นมาพูดในพระพุทธศาสนา
นางควรเป็นผู้นำของเหล่าอรหันต์และทุกสรรพสัตว์ที่พระศากยมุนีรอคอยมาตั้งแต่ตอนที่นางยังไม่ทันเกิดด้วยซ้ำ พระศากยมุนีส่งแสงแห่งพระพุทธคุณทั้งสามสิบสามลงไปยังขุมนรกเพื่อนำทางหงส์เพลิงเข้าสู่พระพุทธศาสนา
แต่หงส์เพลิงเกิดมาพร้อมกับนิสัยดื้อรั้น ตอนอยู่ในนรก นางเจาะเปลือกไข่และฟักออกมาได้ก่อนเวลาที่พวกเขาคาดเอาไว้ และถูกแสงแห่งพระพุทธคุณดึงดูดหลังจากกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว
ผู้คนในพระพุทธศาสนายังหวาดกลัวต่อเรื่องนี้อยู่ เพราะถ้าจะพูดกันตามตรง หงส์เพลิงไม่ได้ภักดีต่อพระพุทธองค์อย่างแท้จริง
สมเด็จหยุดคิด เขาเคลื่อนสายตาไปมองดอกบัวทองคำ แล้วใช้น้ำเสียงสงบนิ่งราวกับสายน้ำอันไร้คลื่นเอ่ยกับนางว่า ”ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้หงส์เพลิงกับตี้จวินสนิทสนมกันอย่างมาก”
”ใช่เจ้าค่ะ” ดอกบัวทองคำตอบพร้อมก้มหน้าลงเมื่อนางได้ยินคำพูดของสมเด็จ
ดวงตาของสมเด็จหรี่ลงครึ่งหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยต่อว่า ”ดอกบัวทองคำ สาเหตุที่ทำให้เจ้ากลายร่างเป็นมนุษย์ได้นั้นมาจากการกวาดล้างทะเลเลือดของตี้จวิน พระพุทธศาสนาอนุญาตให้เจ้าอยู่กับตี้จวินเพื่อที่เจ้าจะได้ตอบแทนพระคุณของเขา เจ้าน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี”
”ข้าเข้าใจในทุกสิ่งที่สมเด็จกล่าวมาดีเจ้าค่ะ” ดอกบัวทองคำเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคู่งามอันเต็มไปด้วยความปรารถนา ”ถึงแม้ว่าสมเด็จจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ข้าก็พร้อมถวายชีวิตของข้าให้กับตี้จวินเพื่อตอบแทนความเมตตาของเขาเจ้าค่ะ ชีวิตของข้าเป็นของตี้จวิน เช่นเดียวกันกับร่างกายของข้า”
สมเด็จเหลือบมองดอกบัวทองคำอีกครั้ง ”ข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ โลกใบนี้มีสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมอยู่ และชะตาของเจ้าคือการอยู่เคียงข้างตี้จวิน ดังนั้นจงปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่ของมันก็แล้วกัน ข้ายังไม่ได้เห็นพัฒนาการของเจ้า แต่หงส์เพลิงกลับเป็นฝ่ายที่ได้เข้าใกล้ตี้จวินแทนก็เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะเจ้ายังพยายามไม่พอ”
”สมเด็จพูดถูก ข้ายังพยายามไม่พอเจ้าค่ะ” ดอกบัวทองคำฝืนยิ้ม ”ข้าคิดว่ามันเป็นชะตากรรมของข้า และคงไม่มีใครสามารถพรากมันไปจากข้าได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าอรหันต์หงส์เพลิงจะเข้ามาแทรกแซง แม้ข้าจะเป็นดอกบัวทองคำที่ชูขึ้นต่อหน้าพระพุทธเจ้า แต่ฐานะของข้าภายในพระพุทธศาสนาก็ยังต่ำต้อย อีกทั้งข้ายังไม่สามารถใช้เหตุผลกับอรหันต์หงส์เพลิงได้อีกด้วยเจ้าค่ะ ข้าหวังเพียงว่าอรหันต์หงส์เพลิงจะสำนึกได้”
สมเด็จขมวดคิ้วระหว่างฟัง เขากวักมือเรียกดอกบัวทองคำแล้วบอกว่า ”มานี่สิ”
ดอกบัวทองคำเดินเข้าไปขณะที่อีกฝ่ายแบมือให้กับนาง ในมือของเขามีด้ายแดงอยู่เส้นหนึ่ง ”รับสิ่งนี้ไป ถ้ามันเป็นชะตากรรมของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรรักษาเอาไว้”
ความยินดีปรากฏขึ้นในดวงตาของดอกบัวทองคำเมื่อนางเห็นด้ายแดงเส้นนั้น ตราบใดที่นางผูกมันไว้บนข้อมือ พวกเขาก็จะถูกลิขิตให้ได้อยู่ด้วยกันไปถึงสามภพสามชาติ
สมเด็จละสายตาออกจากดอกบัวทองคำ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันลึกล้ำว่า ”ค่อยเป็นค่อยไป แม้จะมีคนเข้าใกล้หงส์เพลิง แต่พวกเขาต่างก็ไม่ได้จริงใจกับนาง นางเองก็รู้เรื่องนี้ดี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนางเกิดมาพร้อมกับชะตาไร้คู่ ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครต้องการเข้าหานางโดยไร้จุดประสงค์แอบแฝง นางเป็นของพระพุทธศาสนา และมีหน้าที่ดูแลสรรพชีวิตทั้งหมด ในอนาคต ข้าจะไม่ยอมให้ใครนินทาว่าร้ายหงส์เพลิงอีก ถ้าข้าได้ยินเข้าอีกละก็ เจ้าจะต้องยอมรับในเคราะห์กรรมของตัวเอง”
”เจ้าค่ะ” ดอกบัวทองคำตอบเสียงเบา สายตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
แต่ในเวลานั้น นางก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ไม่แปลกใจเลยที่หงส์เพลิงปฏิเสธคำขอแต่งงานพวกนั้น ทุกอย่างมาจากสาเหตุนี้นี่เอง
ไม่มีใครจะปฏิบัติต่อนางด้วยความห่วงใยอย่างไร้จุดประสงค์แอบแฝง…
หากเป็นเช่นนั้น ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงยังทำตัวอวดดีเวลาที่อยู่ต่อหน้านางได้
มันถึงเวลาที่มือของนางจะต้องแปดเปื้อนแล้ว…