ตอนที่ 327 จิตวิญญาณอันงดงาม
ตอนที่ 327 จิตวิญญาณอันงดงาม
เนื่องจากถังจวิ้นเฟิงมีธุระที่ต้องทำและไม่สามารถมาได้ เซี่ยไห่จึงติดต่อฟางจิ้นเป่ากับเฉินเจียเหอ และขอให้พวกเขาพาเพื่อนมารวมตัวกันที่หน้าประตูห้องเต้นรำ
ทุกคนต่างรอพบพี่ใหญ่ตามที่เขาเคยสัญญาเอาไว้แล้ว แต่พี่ใหญ่ของเขาเป็นคนที่คุยด้วยไม่ง่ายนัก แถมยังเข้าสังคมไม่เก่งอีก จึงต้องจัดฉากทำเหมือนว่าทุกคนมาเจอเขาโดยบังเอิญ
พอพี่ใหญ่มาเดินดูสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ร้าน เขาค่อยแนะนำให้เพื่อน ๆ ในไห่เฉิงรู้จักกับพี่ใหญ่ทีหลัง
ฟางจิ้นเป่าขอลาหยุดครึ่งวันเป็นพิเศษเพื่อมาที่ห้องเต้นรำก่อนเวลาและมาหาลู่เจิ้งอวี่
เขาไม่เพียงแต่ตัดแต่งหนวดเคราใหม่เท่านั้น ยังสวมแจ็กเก็ตสีกรมท่าตัวใหม่มาอีกด้วย ซึ่งทุกอย่างล้วนดูแลและจัดการเป็นอย่างดี
ลู่เจิ้งอวี่ไปที่ร้านของหลินเซี่ยเพื่อรีบไปสระผมและไดร์ผมให้แห้ง วันนี้เขาสวมกางเกงขายาวสีดำและเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งเซี่ยไห่ซื้อให้หลังจากย้ายมาทำงานที่ห้องเต้นรำ
ลู่เจิ้งอวี่ยังเด็กและหน้าตาดี เมื่อเขามาทำงานในห้องเต้นรำและเปลี่ยนมาใส่ยูนิฟอร์มพนักงาน รูปลักษณ์ของเขาก็ดูเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง
ฟางจิ้นเป่ามองไปทางลู่เจิ้งอวี่ ตอนนี้ตัวเขาเองต่างหากที่ดูเหมือนพ่อแก่ใจดี
“เจิ้งอวี่ นายคิดไม่ผิดเลยที่ย้ายมาทำงานที่นี่ ดูสิเหล่าเซี่ย ตอนนี้เขาดูเป็นหนุ่มมากกว่าเมื่อก่อนอีก”
ไม่นานดวงตาของเขาก็เหม่อมองไปทางลู่เจิ้งอวี่อีกครั้ง และถามด้วยรอยยิ้มว่า “จริงสิ ว่าแต่นายรู้จักผู้หญิงคนไหนบ้างหรือยัง?”
ลู่เจิ้งอวี่เกาหัวอย่างไม่สบายใจ “พี่เป่า ผมเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่กี่วันเอง ต้องทำความคุ้นเคยกับงานก่อนสิ”
“ไอ้การทำความคุ้นเคยกับงานเนี่ยมันไม่ได้ทำให้นายได้พบปะกับสาว ๆ สักหน่อย ฉันเห็นว่ามีผู้หญิงหลายคนเลยที่ทำงานในห้องเต้นรำ มีคนไหนตรงสเปคนายบ้างหรือเปล่า?”
ลู่เจิ้งอวี่ส่ายหน้า “ไม่มีเลย”
“แล้วร้านพี่สะใภ้หลินเซี่ยของนายล่ะ หล่อนเปิดร้านตัดผมไม่ใช่เหรอ? นอกจากหล่อนก็ยังมีสาวสวยทำงานอยู่ในร้านตั้งสองคนนี่นา? ฉันว่าทั้งคู่ก็ดูเหมือนเป็นเด็กสาวที่ถึงวัยสมควรแก่การแต่งงานอยู่นะ ถ้านายถูกใจก็ลองเข้าหาสักคนสิ”
เด็กผู้หญิงสองคนในร้านตัดผมดูเหมือนเป็นคนติดดิน ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มาจากภูมิหลังครอบครัวที่ดี มีความรู้ความสามารถอีกด้วย
ลู่เจิ้งอวี่เฉไฉมองไปทางอื่นอย่างเขินอาย ไม่ยอมพูดอะไร
ฟางจิ้นเป่าเห็นเขาเอาแต่ทำกระบิดกระบวนแบบนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมา “นายไม่ต้องเขินหรอก ฉันขอบอกเลยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการมองหาคู่ครองคือต้องใจกล้าหน้าด้านเข้าไว้ ถึงเวลางัดความมุ่งมั่นออกมาหาคนที่ชอบได้แล้ว”
“แล้วผมควรเริ่มยังไงดี?” ลู่เจิ้งอวี่มองหน้าฟางจิ้นเป่าด้วยสีหน้าซื่อตรง
หลังจากเขามาทำงานที่นี่ เขาก็เอาแต่เฝ้าสังเกตเห็นผู้หญิงที่เขาชอบอยู่ห่าง ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปคุยกับหล่อนเลย
พอไม่มีอะไรจะพูด ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรเลย
ฟางจิ้นเป่าจึงแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองว่า “ฉันมักชอบออกไปเที่ยวพบปะผู้คนบ่อย ๆ เลี้ยงขนมสาว ๆ บ้าง ถ้าเจอคนที่ชอบก็เข้าไปทำความคุ้นเคยกับพวกหล่อนก่อน เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ต่อต้าน ทีนี้นายก็รีบทำความคุ้นเคยกับพวกหล่อนซะ นัดออกไปดูหนัง เดินเล่นในสวนสาธารณะ หรืออะไรทำนองนั้น”
“พี่เป่า เชื่อได้จริงเหรอ?” ลู่เจิ้งอวี่มองชายผู้มั่นอกมั่นใจตรงหน้าเขา รู้สึกอยู่เสมอว่าประสบการณ์ที่อีกฝ่ายแบ่งปันให้ฟังนั้นดูไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย
“ทำไมจะไม่น่าเชื่อถือล่ะ? ฉันจะแต่งงานกับพี่สะใภ้ของนายได้ยังไงถ้าวิธีพวกนั้นใช้ไม่ได้? ถึงฉันจะไม่ได้หน้าตาหล่อเหลาเหมือนนายก็เหอะ แต่ฉันแต่งภรรยาได้ก็เพราะความพากเพียรล้วน ๆ” ฟางจิ้นเป่าพูดเสริม “นอกจากนี้นะ พี่เฉินเองก็เคยขอความช่วยเหลือจากฉัน ฉันแนะนำเขาให้ซื้อสินสอดสามชิ้นให้พี่สะใภ้นาย ดูสิว่าตอนนี้พี่สะใภ้นายปฏิบัติต่อเหล่าเฉินยังไง บอกแล้วว่าผู้ชายต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเพื่อให้ผู้หญิงรู้สึกถึงความจริงใจ ถ้านายมัวยึดติดอยู่กับที่ละก็ นายไม่มีทางได้สมหวังหรอก”
“พี่เป่า พูดถูกที่สุดเลย”
ถังหลิงที่เคยเปิดร้านฝั่งตรงข้ามถนนก็มักจะทำตัวยึดติดกับพี่ไห่ของพวกเขาเสมอ
ปรากฏว่าหล่อนดันเป็นผู้หญิงจอมปอกลอกเสียได้
เฉินเจียเหอออกไปทำงานแต่เช้าและรีบกลับ เมื่อเขากลับมาก็เห็นชายสองคนแต่งตัวเนี้ยบเหมือนเพื่อนเจ้าบ่าวกำลังยืนคุยกันอยู่ที่นั่น
จากนั้นก็ก้มมองดูชุดทำงานที่เปื้อนน้ำมันเครื่องของตัวเอง เป็นความแตกต่างที่มากเกินไปนิดหน่อย
เฉินเจียเหอเดินไปหาพวกเขา มุมปากกระตุกขณะพูด “เหล่าฟาง ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ?”
“ก็แต่งตัวให้เหมาะสมเพื่อพบกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ไง นี่เป็นการแสดงความเคารพขั้นพื้นฐานที่สุดสำหรับสัตว์สังคมนะ”
ลู่เจิ้งอวี่มองไปยังชุดทำงานสีเทาซีเมนต์ของเฉินเจียเหอ ลังเลอยู่สองวินาทีแล้วเสนอว่า “พี่เฉิน ทำไมไม่กลับบ้านไปเปลี่ยนชุดก่อนล่ะ?”
นี่มันออกจะน่าอายเกินไป
เฉินเจียเหอตบเสื้อผ้าแล้วพูดว่า “ช่างมันเถอะ พ่อตาฉันไม่ได้เป็นคนเข้มงวดขนาดนั้น”
เนื่องจากเขาต้องแก้ไขจุดบกพร่องในฝ่ายผลิตใหม่เมื่อช่วงบ่าย เซี่ยไห่จึงโทรไปขอลาที่สำนักงานให้ ทำให้เขาเพิ่งมีเวลาว่าง หลังจากเลิกงานก่อนเวลาก็รีบกลับมาทันที
ฟางจิ้นเป่า “!!!”
ลู่เจิ้งอวี่ “!!!”
ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วทำไมต้องยกตนข่มพวกเขาด้วยล่ะ?
เฉินเจียเหอเตือนพวกเขาว่า “ไม่ใช่แค่นั้น พ่อตาฉันอยู่ในภาวะความจำเสื่อมด้วย เขาจำเซี่ยเซี่ยไม่ได้ และเรายังไม่ได้บอกตัวตนของเซี่ยเซี่ยให้เขารู้ เราจะต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำให้มาก เวลาอยู่ด้วยกันก็พยายามอย่าพูดถึงเรื่องนั้น”
ฟางจิ้นเป่าเน้นไปที่ประเด็นสำคัญ “เข้าใจแล้ว ตอนนี้นายและฉันมีตัวตนที่เหมือนกัน เราทั้งคู่ต่างเป็นแฟนตัวยงของเขา ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร”
“แล้วทำไมยังไม่รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก?”
“ไม่ต้องหรอก มาด้วยใจก็พอแล้ว”
เฉินเจียเหอวางแผนไปที่ร้านตัดผมเพื่อเจอหน้าภรรยาก่อนที่เซี่ยไห่และคนอื่น ๆ จะมาถึง
ขณะที่เขาพูดจบ มอเตอร์ไซค์ของเย่ไป๋ก็ส่งเสียงคำรามดังสนั่น
รถแล่นมาเร็วมาก จนพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาถึงตั้งแต่ตอนไหน
เย่ไป๋เบรกรถอยู่ข้าง ๆ เฉินเจียเหอ ก่อนจะดับเครื่อง
เฉินเจียเหอกลัวตัวเองกะระยะไม่ถูก เลยก้าวถอยหลังหลบรถ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ทำไมไม่บินมาเลยล่ะ?”
เย่ไป๋ถอดหมวกกันน็อกออกแล้วตอบกลับ “ฉันเพิ่งเลิกงาน รีบแทบตายกลัวมาไม่ทัน”
ฟางจิ้นเป่าถามด้วยความสงสัย “หมอเย่ นายก็เป็นแฟนตัวยงของเซี่ยเหลยเหมือนกันเหรอ?”
เย่ไป๋ยิ้ม “ถูกต้องแล้วครับ”
ขณะตอบกลับ พวกเขาก็ได้ยินเสียงแหวลั่นของหลินเซี่ยดังมาจากประตูหน้าร้านตัดผม “หลินจินซาน พี่อยากตายนักใช่ไหม? เล่นใช้เจลแต่งผมของฉันซะเกลี้ยงขนาดนี้”
หลินจินซานยังไม่หยุดหยิบขวดเจลมาบีบแล้วปาดลงบนเส้นผม หลินเซี่ยจึงยกแขนขึ้นแล้วคว้าขวดเจลจากมือเขาไป
“ใช้ไปนิดเดียวเอง ขี้เหนียวชะมัด”
“ใช้ไปนิดเดียวงั้นเหรอ? ดูผมมันวาวของพี่เข้าสิ กลิ่นเจลแรงขนาดนี้ จะไปยืนให้ใครดมจนเหม็นตายหรือไง”
“หยวน ๆ หน่อยน่า อย่าทำให้ฉันเสียเวลาเตรียมตัวสิ”
หลินเซี่ยคว้าขวดเจลกลับมาทันที และผลักหลินจินซานกระเด็นออกไป
เธอเหลือบมองไปทางเฉินเจียเหอ จากนั้นจึงหันหลังกลับเข้าไปในร้านตัดผม
เฉินเจียเหอ “…”
นี่เขาถูกภรรยาเมินอีกแล้วเหรอเนี่ย?
“หัวหน้าหลิน วันนี้แต่งตัวดีเกินไปหรือเปล่า?”
หลินจินซานเดินไปหาพวกเขา ปากของลู่เจิ้งอวี่กระตุกเล็กน้อย ขณะที่เขามองแจ็คเก็ตลายสก๊อตสีสดใสของหลินจินซาน รองเท้าหนังหัวแหลม และเส้นผมที่มันเลื่อมเป็นกลีบ วาววับถึงขนาดแมลงวันบินไปเกาะยังลื่นหัวแตก
หลินจินซานดึงมุมเสื้อขึ้น ค่อนข้างพอใจกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองในวันนี้มาก “ดีเกินไปเหรอ? เถ้าแก่ไม่ได้บอกเราแต่งตัวให้เหมาะสมหรอกเหรอ?”
เฉินเจียเหอไม่ต้องการใส่ใจกับผู้ชายที่ชอบทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจคนนี้ จึงตีตัวออกห่างจากหลินจินซาน และแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขา
ทันใดนั้นเอง
รถของเซี่ยไห่ก็ขับผ่านมา
เซี่ยอวี่เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องเต้นรำจากระยะไกล
“พวกเขามายืนทำอะไรกันน่ะ? ปกติเปิดห้องเต้นรำเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
เซี่ยไห่เหลือบมองพี่ใหญ่ผ่านกระจกมองหลัง แต่ไม่ได้อธิบายว่าพวกสหายพี่น้องของเขาตั้งใจมาเข้าแถวรอต้อนรับ เขาพูดว่า “เปล่า นั่นเจียเหอและคนอื่น ๆ ไม่ใช่เหรอ? บางทีเพื่อนฉันอาจจะแวะมาเยี่ยมฉันพอดีก็ได้”
ขณะที่รถขับเข้ามาใกล้พวกเขา เซี่ยอวี่ก็เห็นชายคนหนึ่งสวมใส่เสื้อกันลมที่คุ้นเคย
พูดให้ถูกก็คือเสื้อกันลมที่หล่อนเคยใส่
เย่ไป๋มาทำอะไรที่นี่?
นี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยนะ ผู้ชายคนนี้ว่างมากหรือไง?
รถขับไปจอดเทียบ เซี่ยไห่ก้าวลงจากรถเป็นคนแรก “พี่ใหญ่ เดี๋ยวผมอ้อมไปเปิดประตูรถให้”
เซี่ยไห่หันไปขยิบตาให้สหายพี่น้อง บอกให้พวกเขายืนเก็บอาการกันนิ่ง ๆ เฉินเจียเหอเดินเข้ามาเปิดประตูด้านหลังให้เขาอย่างกระตือรือร้น
“สวัสดีครับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ลำบากคุณแล้ว!”
ก่อนที่เฉินเจียเหอจะเปิดประตูรถจนสุดองศาความกว้าง ฟางจิ้นเป่าก็รีบยกมือขึ้นเพื่อแสดงท่าทักทายแบบวันทยาหัตถ์อย่างเคร่งขรึม พร้อมกับกล่าวสวัสดีด้วยเสียงอันดัง
แต่แล้วขาที่ก้าวลงมาจากรถกลับสวมรองเท้าส้นสูง
ฟางจิ้นเป่า “???”
เฉินเจียเหอเหลือบมองที่เหล่าฟางด้วยความรังเกียจ
“คุณอา ค่อย ๆ ลงจากรถนะครับ”
หญิงสาวสวยคนหนึ่งบิดตัวก้าวลงจากรถ ฟางจิ้นเป่าทั้งตกตะลึงและสับสน
ลู่เจิ้งอวี่รีบดึงฟางจิ้นเป่ากลับมา แล้วอธิบายด้วยเสียงแผ่วเหมือนกระซิบว่า “เธอคือพี่สาวของพี่ไห่ต่างหากล่ะ ดาราดังจากฮ่องกงไง”
“โอ้ ราชินีภาพยนตร์คนนั้นนั่นเอง”
ฟางจิ้นเป่าได้แต่มองไปยังน่องขาวผ่องที่เปิดเผยอยู่นอกร่มผ้า ใบหน้าของเขาเริ่มร้อนแดงขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบก้าวถอยออกไปด้วยความอับอาย
ไม่มีใครกล้าทักทายนางเอกหนังดังเลย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใจเย็นๆ กันก่อนหนุ่มๆ พี่ใหญ่ยังไม่ลงจากรถเลย
ไหหม่า(海馬)