ตอนที่ 443 ตระกูลติงเดินหมากผิดไปหนึ่งก้าว
สะใภ้หวังขึ้นมานั่งบนรถม้า นางอุทานด้วยความประหลาดใจ “เดิมข้าคิดว่าจะไปดูว่าใกล้ๆ นี้มีผู้อพยพหรือขอทานอะไรพวกนั้นก็จะลากมาดูละครสักสองคน ไม่ได้อยากจะเจอคนอื่น บัณฑิตสองสามคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับคุณชายตระกูลติงอย่างนั้นหรือ” สะใภ้หวังมองดูฉินหลิวซี ในใจรู้สึกเบิกบาน
ฉินหลิวซีพยักหน้า “แล้วยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ในรถม้า ไม่ได้ลงมา รถม้านั่นซ่อนกลิ่นอายที่เป็นมงคลอย่างหนึ่งไว้ ข้าคิดว่าคนที่อยู่ข้างในหากไม่ใช่เศรษฐีมั่งคั่งก็คงเป็นขุนนางสูงศักดิ์ อนาคตจะต้องเป็นคนมีความสามารถ สร้างผลงานยิ่งใหญ่”
สะใภ้หวังรู้สึกประหลาดใจ นางย่นคิ้วพลางเอ่ย “คุณชายติงนั่นที่ข้าเห็นดูธรรมดาพื้นๆ คาดไม่ถึงจะรู้จักคนสูงศักดิ์เช่นนี้ ดูท่าอิทธิพลของเจ้าเมืองติงมีมากกว่าแต่ก่อน”
“ก่อนหน้านี้ บุตรและบุตรีของผู้ตรวจการมณฑลโจวก็เคยไปเป็นแขกจวนตระกูลติง”
สะใภ้หวังยิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นไปอีก
“ข้าเห็นว่าตระกูลติงมีโชคจริงๆ คาดว่าสุสานบรรพชนถูกสร้างไว้อย่างดี แผ่ร่มเงาปกปักษ์ลูกหลานให้ร่มเย็น แต่นั่นคือก่อนหน้าวันนี้ ต่อให้มีโชคนำทางก็ยังคุ้มหัวคนของจวนที่พยายามรนหาที่ตายไม่อยู่ พวกเขาทำลายมันไปจนหมดแล้ว” ฉินหลิวซียิ้มเย็น
สะใภ้หวังมองมาที่นาง “เจ้ากำลังคิดว่า?”
“เรื่องนี้ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป เมื่อสักครู่ที่ออกมานั้น รวมกับเรื่องของที่ร้าน ก็สามารถทำให้ ชื่อเสียงอัน ‘ดี’ ของตระกูลติงแพร่ออกไปได้ สำหรับติงหย่งเหลียงที่รู้จักคนสูงศักดิ์นั่น หากข้าเข้าไปยุแยงได้ครั้งหนึ่ง ก็มีครั้งที่สองได้”
ฟังการเล่นละครประสานกันของพวกนางทั้งสองเมื่อสักครู่ คนบนรถม้านั่นแม้ว่าจะไม่รู้สึกเกลียดชัง แต่เวลานี้ก็ตัดสินใจไม่ไปเป็นแขกที่บ้าน ถึงอย่างไรก็เห็นว่ามีธุระของทางบ้านเขามากมายอยู่
“เมื่อครู่เจ้าเอ่ยว่าคนของผู้ตรวจการมณฑลโจวถูกเจ้ายุแยงให้ไม่ชอบตระกูลติงแล้วงั้นหรือ” สะใภ้หวังถามอย่างตื่นตกใจ
“ร้านค้าที่ถนนโซ่วสี่นั่น ทำให้ได้รู้จักและคบหาสมาคมกันกับพวกเขา ได้พูดคุยกันบ่อยครั้งเจ้าค่ะ”
มุมปากสะใภ้หวังยกขึ้น “ร้านโลงศพนั่น? ทำไมถึงมาจองโลงศพได้”
ฉินหลิวซีจนด้วยคำพูด “เดิมทีเป็นร้านโลงศพ แต่ข้าไม่ได้สืบทอดกิจการนั้น ข้าทำสิ่งที่เคยทำ รักษาโรคและไล่ภูติผีเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวัง “…”
นางให้เงินฉินหลิวซีไปเล็กน้อยเพื่อเปิดร้านค้าของตัวเอง แต่ไม่เคยถาม ไม่เคยไปเห็นร้านสักครั้งเดียว ทุกอย่างให้ฉินหลิวซีเป็นคนจัดการ ทำเงินได้ไม่ได้ ได้กำไรเท่าใด นางเองไม่เคยรู้ และไม่รู้ว่าที่จริงแล้วทำกิจการค้าขายอะไรกันแน่
ฉินหลิวซีบอกว่าเปิดร้านแล้ว แต่ปิดบังไว้ครึ่งหนึ่ง อธิบายสั้นๆ เพียง “ที่ซีเป่ยยังไม่มีโอกาส รอโอกาสเหมาะพวกเขาก็จะกลับมาได้”
สะใภ้หวังกุมมือนางเอาไว้ “ข้าเข้าใจ” ความผิดของบิดาสามีถูกคนจัดฉากใส่ความ เขาหนีไม่พ้นต้องสูญเสียตำแหน่งหน้าที่ ยิ่งเกิดความผิดพลาดขึ้นในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ฮ่องเต้ไม่สั่งสังหารเขาตรงนั้นก็นับว่าเป็นโชคดีมากแล้ว นึกจะอภัยโทษก็อภัยได้อย่างนั้นหรือ ยังไม่เอ่ยถึงระยะเวลาที่เกิดเรื่องจนถึงวันนี้ เพิ่งจะผ่านมาเพียงครึ่งปีเท่านั้น
สะใภ้หวังและฉินหลิวซีเล่นละครกัน ฉากแรกให้ติงหย่งเหลียงรู้สึกขยะแขยงเหมือนกลืนแมลงวันเข้าไป กว่าเขาจะเชิญคุณชายเจียงเหวินหลิว จวนเสนาบดีกรมขุนนางแห่งราชวงศ์ต้าเฟิงผู้มีชื่อเสียงมาเป็นแขกที่บ้านได้ สุดท้ายบังเอิญมาเจอละครฉากนี้เข้าที่หน้าจวน เขาไม่แม้แต่จะเข้าประตูจวนก็จากไปแล้ว
ตระกูลเจียงเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีฐานะและชื่อเสียงมากว่าร้อยปี ตระกูลนี้มีบัณฑิตจิ้นซื่อถึงสามคน ยิ่งกว่านั้น เสนาบดีกรมขุนนางคือบัณฑิตจิ้นซื่อลำดับทั่นฮวาที่ผ่านการสอบต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันในตอนที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ และเป็นหรูซื่อ[1]ผู้มีชื่อเสียงที่ดีงามในด้านความสุภาพ มีมารยาท งามสง่า เขาแต่งงานกับหย่งเล่อจวิ้นจู่ องค์หญิงแห่งแคว้นซุ่นเต๋อ จวิ้นอ๋องรักพระชายาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองมีโอรสสององค์ และธิดาหนึ่งองค์ โอรสองค์ใหญ่ก็คือเจียงเหวินหลิว โอรสองค์นี้เกิดมาโดยรับส่วนดีๆ มาจากบิดาและมารดา ด้านวรรณคดีเฉียบแหลม งดงามโดดเด่น มีชื่อเสียงปราดเปรื่องทางด้านการประพันธ์ คนทั่วไปเรียกคุณชายหลิวหลี การสอบหน้าพระที่นั่งในพระราชวังฤดูใบไม้ผลิรอบหน้า เขามีความเป็นไปได้ในการสอบผ่านมากนัก ถ้าหากสอบได้เป็นทั่นฮวา ตระกูลเจียงจะเป็นตระกูลที่มีบัณฑิตจิ้นซื่อสี่คน สองในสี่เป็นจิ้นซื่อระดับทั่นฮวา
ปีนี้เจียงเหวินหลิวเที่ยวเสาะแสวงหาความรู้กับอาจารย์ไปทั่วสารทิศ มาหยุดพักชั่วคราวที่เมืองหลีเพื่อเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่า
ติงหย่งเหลียงรู้จักคุณชายหลิวหลีผู้โด่งดังจากท่านอาจารย์ที่เขาร่ำเรียนด้วย และเพราะว่าสวนท้อของตระกูลติงมีชื่อเสียงมาก ตอนนี้ดอกท้อกำลังบาน จึงเชิญแขกมาชมดอกท้อท่ามกลางหิมะเพื่อพูดคุยทำความรู้จักให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ไม่คิดว่าจะถูกคนตระกูลฉินปั่นหัวเอา ติงหย่งเหลียงไปที่สวนหลังบ้านเข้าพบฮูหยินติงผู้เฒ่า เขาเล่าเรื่องราวนี้ด้วยสีหน้าบึ้งตึง ฮูหยินติงผู้เฒ่าได้ฟังแทบจะเป็นลมล้มไป
“ตระกูลฉิน พวกนางกล้าดีอย่างไร” ฮูหยินติงผู้เฒ่าตกตะลึง
ลูกหลานตระกูลฉินตกต่ำไปแล้ว ไม่ควรลดตัวลงไปข้องเกี่ยว แต่ยังถูกพวกเขาดูถูกเอาได้ แถมยังกล้าวางท่าใหญ่โตเอาของขวัญมาคืน จัดฉากเล่นละคร พวกนางไม่กลัวตระกูลติงไปแก้แค้นหรือ
ที่สำคัญที่สุดคือ ถูกเพื่อนร่วมห้องเรียนที่หลานชายคนโตลำบากลำบนเชิญมาได้เห็นเข้า หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะมีผลกระทบในด้านไม่ดีต่อชื่อเสียงของพวกเขาตั้งเท่าไหร่ ดูเถอะ เขาไม่แม้แต่จะเดินเข้าประตูจวน ฮูหยินติงผู้เฒ่าโกรธจนตัวสั่น
ติงหย่งเหลียงยิ่งโมโหหนักกว่าเก่า “ท่านย่า ท่านไปบ้านตระกูลฉินยั่วโมโหนางฉินผู้เฒ่าจริงหรือ ข้าได้ยินมา ดูเหมือนว่าท่านต้องการร้านค้าของพวกมันแห่งหนึ่งงั้นหรือ”
ฮูหยินติงผู้เฒ่าสำลัก อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าท่าทางกินปูนร้อนท้อง นางจะไม่รู้เอ่ยอย่างไร
ติงหย่งเหลียงกล่าวด้วยสีหน้าแทบดูไม่ได้ “ท่านย่าเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ ร้านเล็กๆ ร้านเดียวนั่นจะทำเงินได้มากสักเท่าไหร่ ทำไมส่งคนไปก่อความวุ่นวาย แล้วยังไปที่ร้านนั่นด้วยตัวเอง?”
“นี่ก็เพื่อบิดาของเจ้า” นายหญิงสามติงยืนอยู่ข้างๆ ทำตัวขี้ขลาดตาขาว เอ่ยขึ้นว่า “บิดาเจ้าไม่ใช่อยากจะเลื่อนฐานะขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ ติดสินบนที่ไหนไม่ต้องใช้เงิน? ร้านนั่นแม้จะเป็นแค่ร้านขายผลไม้แช่อิ่ม แต่รสชาติทำได้ไม่เลว ปีหนึ่งหาเงินได้มากพอดูทีเดียว…”
“มากพอดูแค่ไหนก็เป็นแค่ร้านขายผลไม้แช่อิ่มเล็กๆ” ติงหย่งเหลียงกล่าวหน้าดำคร่ำเครียด “ท่านอาสะใภ้สาม เพื่อร้านเล็กๆ นั่นแค่ร้านเดียว ตระกูลติงทำกับหญิงแก่หง่อมกับเด็กพวกนั้นเหมือนไม้ซุงกับไม้ซีก คนอื่นเขาจะคิดอย่างไร ไม่ใช่พวกเราตระกูลติงอาศัยอำนาจอิทธิพลรังแกคนที่อ่อนแอกว่าอย่างนั้นหรือ ที่สำคัญคือ พวกเราตระกูลติงกับตระกูลฉินเมื่อก่อนไปมาหาสู่กัน แต่ตอนนี้ตระกูลฉินตกต่ำ พวกเราไม่ช่วยเหลือสงเคราะห์ก็แล้วไป แต่พวกเขาตกที่นั่งลำบากยังไปเหยียบย่ำซ้ำเติม เกินไปแล้ว”
“ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าพูดสักหน่อย? ก็แค่พวกครอบครัวนักโทษ”
ติงหย่งเหลียงหัวเราะเสียงเย็น “พวกท่านอย่าลืม บิดาข้าเคยเรียกใต้เท้าฉินว่าท่านฉินทุกคำ”
พวกฮูหยินติงผู้เฒ่าฟังแล้วหน้าเจื่อน
“เมื่อก่อนเรียกเขาว่าท่านฉิน ตอนนี้ใต้เท้าฉินตกต่ำแล้ว ไม่คบค้าสมาคมกันก็แล้วไป แต่ไปรังแกพวกเขา แย่งชิงการค้า ดูถูกเหยียดหยาม กลัวแต่ว่าจะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงในราชการของท่านพ่อ” ติงหย่งเหลียงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าท่านย่ากับอาสะใภ้สามสองคนนี้เดินหมากผิด ทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเหม็นโฉ่อย่างกับมูลสัตว์ ขโมยแม่ไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวไปเป็นกำ อยากได้กำไรแต่สุดท้ายขาดทุน
ฮูหยินติงผู้เฒ่าร้อนรน “นี่ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นหรอก? ตระกูลฉินเป็นพวกลูกหลานนักโทษนะ”
“มีอะไรเป็นไปไม่ได้ บ้านฉินเป็นครอบครัวนักโทษไม่ผิด แต่ท่านพ่อไม่ใช่ไม่มีศัตรู หนิงโจวกว้างใหญ่เช่นนี้ เจ้าเมืองจากหัวเมืองทั้งหลายใครไม่อยากมีผลงานทางราชการ? พวกท่านคิดว่าถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูคนพวกนั้น จะโจมตีจุดอ่อนท่านพ่ออย่างไรบ้าง” ติงหย่งเหลียงขมวดคิ้ว “พวกเขาต้องว่าท่านพ่อเนรคุณ อกตัญญู ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลแล้วยังทำให้ผู้มีพระคุณเดือดร้อนถึงตาย เจ้านายที่ไหนจะชอบผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาแบบนี้? ไม่กลัวจะถูกโต้ตอบเอาหรือ”
“ท่านย่า คนไม่มีอะไรจะเสียไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ตระกูลฉินพ่ายแพ้ไปไม่ผิด แต่องค์ฮ่องเต้เพียงเนรเทศพวกบุรุษไปเท่านั้น สตรีและเด็กให้กลับบ้านเกิด พวกเขาไม่มีชื่อจะเสีย แต่พวกเราไม่เหมือนพวกเขา ท่านพ่อยังต้องพยายามก้าวหน้า ดูเพียงข้าก็ได้ หากข้าคบหาสมาคมกับคุณชายเจียงได้ดี เขาเป็นลูกชายของเสนาบดีกรมขุนนาง หากได้เป็นสหายกัน นี่ไม่ดีกว่าร้านค้าเล็กๆ นั่นหรือ” แต่ตอนนี้กลับทำให้เขาเห็นคนตระกูลติงเป็นพวกเลวทรามไปแล้ว
ติงหย่งเหลียงยิ่งรู้สึกว่าโชคร้ายเหลือเกิน เดิมทีได้รู้จักโจวเวยแล้ว กลับทำให้เขาตกใจจนห่างออกไป ตอนนี้มีเจียงเหวินหลิวก็ห่างออกไปอีกคน หรือว่าเขาไร้วาสนาได้คบหากับคนสูงศักดิ์?
[1]หรูซื่อ อาจารย์สอนวิชาความรู้ทั้งหกให้กับบุตรหลานของเชื้อพระวงศ์