คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 451 ยกตัวเองเป็นหลานชาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 451 ยกตัวเองเป็นหลานชาย

เหยียนฉงเฮ่อ? เหยียนฉีซานรู้สึกตกใจ “นั่นคือน้องชายคนสุดท้องของท่านปู่ข้า ตามศักดิ์แล้วข้าควรเรียกเขาว่าท่านปู่น้อย”

“เป็นเขาจริงๆ” ไถชิงกัดฟันกรอด มองไปที่เหยียนฉีซานพลางเอ่ย “ท่านเหมือนเขาไม่มีผิด”

เหยียนฉีซานลูบใบหน้า “สมัยเป็นหนุ่ม ท่านพ่อข้าพวกเขาเคยเอ่ยเช่นนี้จริงๆ”

เขาคิดแล้วคิดอีก จึงเอ่ยออกมาว่า “ท่านว่าท่านชื่อไถชิง? ข้าจำได้แล้ว ท่านพ่อเคยเอ่ยว่า ท่านอาเคยอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง นางเป็นนักบรรเลงพิณที่มีชื่อเสียง แซ่ไถ? หรือว่าเป็นท่าน?”

ไถชิงตะลึงงัน แล้วยิ้มอย่างเย็นชาทันที “เขาเคยเอ่ยว่าจะแต่งข้าเข้าบ้านหรือ โกหกได้เต็มปากเต็มคำจริงๆ หากต้องการแต่งกับข้าจริง ไปแล้วไยไม่กลับมาเล่า”

เป็นเพราะว่าในใจนางมีความโกรธแค้น พลังหยินของนางอยู่ๆ พลันเพิ่มขึ้น วิญญาณยิ่งเห็นเป็นรูปร่างชัดเจนขึ้น สายตาที่นางมองเหยียนฉีซานรู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว

สองขาเหยียนฉีซานสั่นพั่บๆ ไม่ใช่นางมาบีบคอข้าให้ตายเพื่อระบายความแค้น?

ไถชิงรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง จึงเอ่ยว่า ในตอนที่นางกับเหยียนฉงเฮ่อรู้จักกัน นางเป็นอาจารย์สอนดีดพิณที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมากทีเดียว นางสอนดีดพิณที่สำนักศึกษาแห่งหนึ่งในเมืองหย่งโจว ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังท่องเที่ยว เกิดนึกอยากดีดพิณจึงลงมือร่ายรำนิ้วบนสายพิณ เสียงพิณดึงดูดเหยียนฉงเฮ่อเข้ามา

เหยียนฉงเฮ่อเป็นผู้มีความรู้มาก ฝีมือการดีดพิณล้ำเลิศเช่นกัน เขาเข้าใจเสียงพิณ ทั้งยังทำพิณเป็น เขาได้พบไถชิงเข้าก็เหมือนได้พบคนที่คุ้นเคยกันมานาน จึงมีความรู้สึกว่าใจสื่อถึงกัน ทั้งสองคนรู้จักกันมากขึ้นผ่านพิณ จากนั้นความรู้สึกจึงแปรเปลี่ยนเป็นความรัก

“…พิณตัวนี้ เป็นพิณที่พวกเราช่วยกันทำขึ้นมา ใช้ไม้สนคุณภาพดีที่สุดทำตัวพิณด้านนอก ใช้ไม้จื่อ[1]ทำเป็นหย่องสำหรับขึงสายพิณ พิณนี้มีชื่อว่าชิงชี ชิงมาจากชื่อของข้า ส่วนชีมาจากเฟิ่งชีอู๋ถง[2] เพราะว่าเดิมทีพิณตัวนี้ทำมาเพื่อข้า มันจึงถูกทำขึ้นอย่างละเอียดประณีต งดงาม และจึงมีขนาดเล็กสามารถพกพาไปได้ทุกที่ แม้แต่วางพิณไว้บนตักก็สามารถดีดได้”

ไถชิงลูบคลำพิณ สายตาล่องล่อยไปในความคิด “หลังจากทำพิณจนเสร็จสมบูรณ์ พวกเรายังช่วยกันแต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อบทเพลง เขาก็ได้รับจดหมายจากทางบ้านว่าบิดาป่วยหนักให้รีบกลับไป”

“เขาบอกว่าจะไปบอกทางบ้านให้ชัดเจนเรื่องที่มีข้าอยู่ แล้วจะส่งเกี้ยวแปดคนหามมารับข้า ข้ารู้ว่าเขามาจากตระกูลที่มั่งคั่ง จึงไม่แน่ว่าเขาจะได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ ในเมื่อข้าเป็นเพียงเด็กสาวกำพร้า แม้ว่าจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับเป็นอาจารย์” ไถชิงยิ้มอย่างขมขื่น “แต่ข้าก็ยังรอคอย ข้าหวังว่าเขาจะเป็นสุภาพบุรุษทำตามคำสัญญา จัดสามเทียบหกพิธี[3]มารับตัวข้า แต่ว่าการรอคอยนี้สุดท้ายแล้วก็ว่างเปล่า”

“ข้าเฝ้านับวันนับคืนรอ รอจนเส้นผมเปลี่ยนเป็นสีเงิน ก็ยังไร้ข่าวคราวจากเขาส่งมา ข้าหยิ่งในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะไปตามเขา ผ่านไปสองปี ข้าบรรเลงเพลงนั้นด้วยร่างกายที่ป่วยหนัก เฮือกสุดท้ายข้ากระอักออกมาเป็นเลือด แล้วก็มาอยู่ในพิณนี้ จบบทเพลงคนก็สูญสลาย”

ทุกคนในที่นั้นมองไปยังจอนผมที่เปลี่ยนเป็นสีเงินทั้งสองข้าง อดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา

“เขาโกหก และหักหลังข้า…”

“ไม่ใช่!” เหยียนฉีซานส่ายหน้า “ท่านปู่น้อยไม่ได้โกหก เขาเพียงแต่ไม่ทันได้ไปหาท่านที่นั่น”

ไถชิงตกใจ

เหยียนฉีซานเอ่ยต่อ “ปีนั้นเป็นเพราะท่านปู่ทวดป่วยหนัก ท่านปู่น้อยจึงกลับมาบ้านจริงๆ หลังจากท่านปู่ทวดสิ้นชีพ เขาแบกศพท่านปู่ทวดกลับบ้านเกิดด้วยตัวเองเพื่อทำพิธีศพ เมื่อถึงทะเลสาบลวี่หู เป็นเพราะลงไปช่วยบิดาข้าที่ตกลงไปในน้ำ ท่านปู่น้อยจึงจมน้ำตายในทะเลสาบลวี่หู”

ในสมองไถชิงอยู่ๆ กลับว่างเปล่า นางกระซิบเบาๆ “ท่านเอ่ยว่า เขาตายไปตั้งนานแล้วหรือ”

เหยียนฉีซานพยักหน้า “บิดาข้าบอกว่าท่านปู่น้อยเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้เพียงยี่สิบสอง ยังไม่ทันได้แต่งงาน เพราะฉะนั้นท่านปู่น้อยไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง แต่ไม่สามารถจะทำตามคำสัญญาได้อีกแล้ว”

วิญญาณของไถชิงเดิมทีแข็งแกร่งขึ้นแล้วแต่ตอนนี้กลับสั่นไหวและอ่อนจางลงอีก “ที่แท้เขาเดินล่วงหน้าข้าไปก้าวหนึ่ง” นางพึมพำประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา หยดน้ำตากลายเป็นหยดเลือด ไหลลงมาอาบสองแก้ม

เจียงเหวินหลิวตกใจ อดไม่ไหวเขยิบเข้าใกล้ฉินหลิวซีที่อยู่ข้างๆ

ฉินหลิวซีถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านหมกมุ่นอยู่กับความคิดและความอาฆาตจนตาย วิญญาณลงไปสิงอยู่ในพิณ ท่านถูกความคิดและการรอคอยคนรักแต่เขาไม่กลับมาคุมขังเอาไว้หลายปี จนบัดนี้ความเข้าใจผิดได้คลี่คลาย ท่านก็วางสิ่งที่ยืดถือเอาไว้ได้แล้ว”

“ไม่ ข้ายิ่งอยากพบเขา” ไถชิงเหลือบสองตาที่นองไปด้วยเลือดขึ้นพลางส่ายหน้า “ท่านเป็นปรมาจารย์ ท่านช่วยข้า”

ฉินหลิวซี “…”

นางมองไปยังไถชิง แล้วเอ่ยว่า “พี่สาวท่านนี้ อนุญาตให้ข้าเตือนท่านสักหน่อย ท่านเหยียนบัดนี้อายุห้าสิบกว่าเข้าไปแล้ว ท่านปู่น้อยของเขาตายไปเกือบร้อยปีแล้ว ท่านจะไปหาเขาได้อย่างไร เขากลับชาติมาเกิดใหม่ได้สักสองชาติแล้วกระมัง”

ไถชิง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ท่านก็ช่วยข้าตามหาเขา ไม่แน่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในโลกนี้”

“ท่านกำลังทำให้ข้าลำบากใจ” ฉินหลิวซีเอ่ย “คนเดินทางไปสู่ปรโลกหลายปีแล้ว ท่านเจอเขาแล้วอย่างไร เขาตายเมื่ออายุยังน้อย และไม่ได้จัดงานแต่ง ในตอนนั้นตระกูลเหยียนคงจะจัดการแต่งเจ้าสาวผีให้เขาไปเรียบร้อยแล้ว”

ไถชิงได้ยินประโยคนี้ ความอาฆาตแค้นของนางเพิ่มสูงขึ้นในทันที ปิ่นที่ปักผมนางไว้หักลงโดยไร้สุ้มเสียง เส้นผมสะบัดไปตามลมหยิน บวกกับดวงตาแดงก่ำของนางทั้งสองข้าง นางเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจในทันใด

เหยียนฉีซานตกใจจนรีบเอ่ย “ไม่มี ไม่มีอะไรอย่างนั้น!”

สามคนหนึ่งผีหันมามองเขาเป็นตาเดียว

“พวกเราตระกูลเหยียนเป็นตระกูลบัณฑิต ร่ำเรียนศึกษาหาความรู้มาหลายชั่วคน ตระกูลเหยียนเดิมมีกฎบ้านให้ผู้ชายที่อายุสี่สิบแล้วแต่ยังไม่มีลูก อนุญาตให้รับผู้หญิงเข้ามาอยู่ด้วยได้ พวกเราไม่เหมือนพวกล้าสมัยเช่นนั้น ที่เชื่อว่าหากไม่ได้แต่งงานแล้วถูกฝังลงดินไปอย่างเดียวดายจึงหาคนตายมาเป็นคู่”

เหยียนฉีซานมองไปยังไถชิงพลางเอ่ย “ดังนั้นท่านปู่น้อยของข้าหลังจากตายลงจึงยังคงอยู่คนเดียว เพียงแต่ที่บ้านกลัวว่าจะไม่มีคนรุ่นหลังเซ่นไหว้ท่าน อีกทั้งท่านตายเพื่อช่วยชีวิตบิดาข้าเอาไว้ ท่านปู่ข้าจึงตัดสินใจยกบิดาข้าซึ่งเป็นหลานชายให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านปู่น้อยสืบทอดวงศ์ตระกูล ข้านั้นแม้ไม่คุ้นชินกับการเรียนท่านว่าท่านปู่น้อย แต่ที่จริงข้าเป็นผู้สืบทอดของท่าน เป็นคนปักธูปเซ่นไหว้”

ทุกคนในที่นั้น “…”

เรื่องราวทั้งหมดนี้ช่างซับซ้อนวกวนพิลึกพิลั่นอะไรอย่างนี้?

เหยียนฉีซานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ปลุกความกล้าในตัวขึ้นเพื่อเอ่ย “ในเมื่อท่านปู่ข้าอนุญาตให้ท่านปู่น้อยแต่งท่านเป็นภรรยา แม้ไม่มีวาสนาได้จัดพิธี แต่รับปากย่อมเป็นรับปาก ดังนั้นข้าจึงควรเรียกท่านว่าท่านย่า”

เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา เขาแสดงการคำนับโดยการคุกเข่าลงเอาหน้าผากแตะพื้น เขาคุกเข่าลงต่อหน้าไถชิงเอามือยันพื้นไว้แล้วโน้มศีรษะลงจนหน้าผากแตะพื้น “ท่านย่า โปรดรับการคำนับจากข้า”

ไถชิงตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว หากนางเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ใบหน้านางคงแดงไปหมดแล้ว นางมองชายอายุเกินครึ่งร้อยตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ดูแล้วชายผู้นี้อายุมากกว่านาง

เป็นหลานชายอย่างนั้นหรือ เป็นหลานชายที่โตมากแล้วจริงๆ!

ใบหน้าทุกคนต่างนิ่งอึ้งไป เห็นเหยียนฉีซานคุกเข่าลงไปอย่างฉับไวโดยไม่ลังเล และยังได้ยินเสียงดังกรอบดังมาจากหัวเข่านั่นด้วย ทุกคนพูดไม่ออกสักคำเดียว

ท่าทางการยกตัวเองเป็นหลานชาย แสดงออกถึงความจริงใจและเด็ดขาดไม่ลังเล

เจ้าสำนักศึกษาถังรู้สึกว่าสมเป็นเจ้า เหยียนจ้งชิง ขายผ้าเอาหน้ารอด อายุขนาดนี้ยังถูไถไปได้

เหยียนฉีซานยิ้มหน้าบานเป็นดอกเก๊กฮวย แต่ในใจกลับคิดว่า ข้าไม่กลัวอะไร กลัวแต่นางจะเข้าใจว่าท่านปู่น้อยตายแล้วยังได้แต่งงาน จนไม่พอใจกลายเป็นผีร้าย ข้าคงเป็นคนแรกที่นางจะปลิดชีพ

อายุมากแล้วเป็นอย่างไร ควรแถก็ต้องแถ!

[1] ไม้จื่อ เป็นไม้ยืนต้นของจีนชนิดหนึ่ง ดอกสีขาวอมเหลือง ไม้ใช้ทำเป็นเครื่องเรือนได้

[2] เฟิ่งชีอู๋ถง เฟิ่งคือนกหงส์ ส่วนอู๋ถง เป็นต้นไม้ที่ให้น้ำมัน ใช้ทำเครื่องดนตรี ตามตำนานโบราณ ต้นไม้ชนิดนี้เป็นที่อยู่ของนกหงส์แต่เพียงอย่างเดียว นกอื่นไม่กล้าอาศัยอยู่ ภายหลังนำมาเปรียบเทียบว่าคนที่มีความสามารถก็มักเลือกอาจารย์ที่มีความสามารถเช่นกัน

[3] สามเทียบหกพิธี เป็นพิธีแต่งงานแบบจีนโบราณ สามเทียบคือ เทียบหมั้น เทียบสินสอด เทียบเชิญเจ้าสาว หกพิธีคือ ทาบทาม ถามชื่อ ดูสมพงศ์ หมั้น ดูฤกษ์ รับตัวเจ้าสาว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท