คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 450 นี่เป็นสายตาที่ใช้มองกากเดนมนุษย์

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 450 นี่เป็นสายตาที่ใช้มองกากเดนมนุษย์

แม้ว่าเหยียนฉีซานได้พบเห็นด้านลึกลับของฉินหลิวซีทีละน้อย แต่ตอนนี้นางบอกว่าพิณตัวนี้มีวิญญาณพยาบาทสิงอยู่ ทั้งยังถูกเหยียนฉีซานปลุกขึ้นมาอีก ทำให้คนในที่นั้นรู้สึกตื่นตะลึง

“นี่ เลือดหยดเดียวก็ปลุกวิญญาณได้แล้วหรือ” เหยียนฉีซานรู้สึกมึนงง

ฉินหลิวซีชี้ไปที่ดอกหั่วเยี่ยนสีแดงสดพลางเอ่ย “ดอกไม้ชนิดนี้ ท่านคิดว่ามันคืออะไร”

เหยียนฉีซานมองดูแล้วเอ่ย “ไม่ใช่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อไม้ที่นำมาทำเป็นพิณตัวนี้หรือ”

“ก็ใช่ เพียงแต่มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในไม้ที่นำมาทำพิณ มันถูกย้อมด้วยเลือดจากหัวใจที่อาฆาตแค้นเคือง” ฉินหลิวซียิ้มจนตาหยีพลางเอ่ย “หรือจะเอ่ยอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่านี่เป็นดอกไม้เลือด มันแบกรับความคับแค้นใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ยึดมั่นในความอาลัย วนเวียนอยู่ในตัวพิณไม่ยอมจากไป เลือดของท่านหยดลงตรงกลาง ทำให้มันตื่นขึ้น”

เหยียนฉีซานขนหัวลุก ถอยหลังไปสองก้าว

“เหตุใดเลือดเพียงหยดเล็กๆ หยดเดียวก็ปลุกให้ตื่นได้” เจ้าสำนักศึกษาถังไม่ค่อยเข้าใจนัก

ฉินหลิวซีหรี่ตา มองไปยังสายใยแห่งเหตุและผลของมันซึ่งอยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่ระหว่างพิณกับเหยียนฉีซาน “ต้องถามที่ท่านเหยียน หรือคนในครอบครัวท่านเคยทำสิ่งใดไว้”

ใบหน้าเหยียนฉีซานงงงัน “ข้าไม่ได้ทำอะไร นี่เป็นของที่ข้าประมูลได้มาจากโรงประมูล”

เจียงเหวินหลิวขมวดคิ้วพลางเอ่ย “นี่หรือว่าจะเป็นโรงประมูลชักใยอยู่เบื้องหลัง จงใจเอาของแบบนี้มาทำร้ายคน”

ฉินหลิวซี “…”

เฟิงซิวที่กำลังดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์อยู่บนชั้นลอยบนบ้านอยู่ๆ เกิดรู้สึกขนหัวลุก รู้สึกได้ถึงเคราะห์ร้าย หรือว่าที่เขาแอบดื่มเหล้าถูกบรรพบุรุษน้อยนั่นจับได้ นางกำลังถือมีดมา? ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่ากำลังมีใครด่าเขาอยู่ได้อย่างไร

ฉินหลิวซีเอามือถูจมูกพลางเอ่ย “โรงประมูลจิ่วเสียนไม่มีทางทำเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์ นอกเสียจากว่าทำไปโดยไม่รู้ ของที่มาจากพวกเขาเกรงว่าจะเป็นของที่ได้จากหลุมฝังศพ ต้องผ่านพิธีฮว่าซา[1]ขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปก่อนจึงจะสามารถนำออกมาได้ หากไม่สามารถกำจัดได้ก็จะใช้ผ้ายันต์ฝูลู่[2]กักเอาไว้ มิฉะนั้นแล้วหากสิ่งชั่วร้ายออกมาก่อความวุ่นวาย พวกเขาจะต้องรับผิดชอบ”

เจียงเหวินหลิวมองไปที่ฉินหลิวซี “ดูแล้วเจ้าอาวาสน้อยมีความเข้าใจลักษณะการทำงานของโรงประมูลจิ่วเสียนเป็นอย่างดี”

ฉินหลิวซียิ้มอ่อน “พวกเราอารามชิงผิงไม่เหมือนนิกายสมัยก่อนที่เก็บตัวตัดขาดจากโลกภายนอก ทว่าอาศัยอยู่ทั่วไป ข้าก็ไปมาอยู่ในโลกมนุษย์นี้ เคยพบเห็นมาบ้าง”

เจ้าสำนักศึกษาถังขัดขึ้น “อย่าเพิ่งออกนอกเรื่องเลย มาดูพิณตัวนี้ก่อนเถอะ เสี่ยวซีเมื่อครู่เจ้าว่าจ้งชิงเกี่ยวข้องอย่างไรกับพิณตัวนี้นะ?”

“ทุกเรื่องย่อมมีเหตุมีผล เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกันแล้วย่อมมีสายใยเกี่ยวพันกัน ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตทั้งมวล” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “ในสายตาข้า พิณตัวนี้มีสายใยเกี่ยวโยงกับท่านเหยียนฉีซาน คิดแล้วต้องมีความเกี่ยวข้องกับพิณหรือไม่ก็วิญญาณที่สิงอยู่ในพิณ สู้เชิญเจ้าของพิณออกมาไขข้อข้องใจแทนข้าดีกว่า?”

ทุกคน “?”

“เฮ้อ…” เจ้าสำนักศึกษาถังกับคนอื่นๆ เหมือนได้ยินเสียงทอดถอนใจด้วยความรันทด คับแค้น อยู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกเย็นวาบที่คอ มีลมเย็นพัดมาโดนตัว ขนแขนลุกซู่เป็นหนังไก่

ฉินหลิวซีเผายันต์ใบหนึ่ง ประกบนิ้วมือเข้าหากันวาดไปในความว่างเปล่าต่อหน้าพวกเขา “นี่คือยันต์ที่วาดจากน้ำตาของโค สามารถทำให้ดวงตาของพวกท่านเห็นรูปร่างของวิญญาณที่ปกติมองไม่เห็นได้”

หลายคนรู้สึกระคายเคืองตาจนน้ำตาไหลออกมา กะพริบตาปริบๆ พวกเขาเปิดตาจ้องมอง ร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ พลางถอยหลังไปสองสามก้าว

พิณที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ กลายเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง นางเป็นหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวดังสีดวงจันทร์ ผมยาวๆ นั้นมัดไว้อย่างหลวมๆ ด้วยผ้าต่วนเส้นหนึ่ง

และไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางไม่ได้ปรากฏตัวเป็นเวลานานหรือพลังปราณในสำนักศึกษา วิญญาณของนางดูเปราะบางอย่างยิ่ง ราวกับว่าถ้าสัมผัสถูกจะแหลกสลายไปอย่างนั้น ทำให้คนมองเห็นนางไม่ชัดเจน แต่ก็มากพอจะทำให้บัณฑิตผู้หมกมุ่นอยู่แต่กับตำรา ไม่สนเรื่องอำนาจลี้ลับ หรือภูติผีวิญญาณตื่นตะลึงได้

ได้เห็นภาพนี้แล้ว จากวันนี้ไปพวกเขาไม่สามารถกล่าวได้อีกว่า ขงจื่อไม่เชื่อเรื่องอำนาจลี้ลับ หรือภูติผีวิญญาณ ใครพูดต้องตบหน้าตัวเอง

ฉินหลิวซีเห็นนางเป็นวิญญาณที่ขาวสะอาด จึงเขียนยันต์ตรึงวิญญาณแปะไว้ให้อีกแผ่น และยังหยิบกล่องขนาดเท่าฝ่ามือที่เก็บอยู่ในถุงผ้าคาดเอวออกมาเปิด ข้างในมีธูปหนึ่งดอกความยาวประมาณเท่านิ้วมือ

“ทำไมเจ้าพกธูปหอมตัดตัว?” เหยียนฉีซานถามด้วยเสียงสั่นๆ

ฉินหลิวซีหัวเราะแต่ไม่ได้ตอบ นี่เป็นเคล็ดวิชาปราบผี นางกดนับนิ้ว เป็นอันใช้ได้แล้ว นางถามวิญญาณสาวตนนั้น “เจ้าชื่ออะไร”

ดูเหมือนว่ายันต์ตรึงวิญญาณจะใช้ได้ผล วิญญาณของนางเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น นางหันไปมองฉินหลิวซีอย่างไม่มีเจตนาร้าย แล้วจึงตอบ “ไถชิง”

ฉินหลิวซีจึงจุดธูปเซ่นไหว้วิญญาณให้นาง

ไถชิงได้รับธูปเซ่นไหว้ ถึงได้รู้สึกว่าท้องว่าง นางสูดควันธูปเข้าไปไม่รู้ตัว ควันธูปที่ลอยเป็นสายถูกนางสูดลงไปในท้องอย่างผ่อนคลายทว่ารวดเร็ว ทำให้พวกเหยียนฉีซานตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

ผีกินควันธูป เป็นอย่างนี้เองหรือ เขากลืนน้ำลายดังเอื้อก

เจียงเหวินหลิวผู้มีใบหน้าหล่อเหลากอดแขนทั้งสองข้างเอาไว้ อยากจะลูบขนแขนที่ลุกซู่ให้นอนลง

ไถชิงกินควันธูปหอมเสร็จ นางรู้สึกได้กินอิ่มจนพอใจเป็นอย่างยิ่ง เต็มอิ่มแทบกินอะไรไม่ลงอีก วิญญาณของนางดูแข็งแรงขึ้นแล้ว

“นี่ นี่คืออะไร ทำไมนางดูมีตัวตนเป็นจริงมากขึ้น” เจ้าสำนักศึกษาถังถาม

ฉินหลิวซีตอบ “แม่นางไถเมื่อตายลง วิญญาณน่าจะถูกกักขังอยู่ในพิณโดยไม่ได้ออกมาข้างนอกเลย ยังไม่เคยมีอาหารตกถึงท้อง ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกไปแล้ว พลังปราณในสำนักศึกษาเข้มข้น หากมีวิญญาณอยู่ใกล้ๆ ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบ ดังนั้นเมื่อวิญญาณของนางออกมาใหม่ๆ ก็ได้รับผลกระทบนี้เช่นกัน ฉะนั้นจึงได้มีรูปร่างโปร่งบางจนเหมือนจะสลายหายไป ข้าแปะยันต์ตรึงวิญญาณให้นางแผ่นหนึ่ง แล้วจุดธูป นางจึงรู้สึกเต็มอิ่ม วิญญาณตนนี้ก็เลยเห็นได้ชัดเจนขึ้น”

ที่แท้เป็นเช่นนี้

ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน!

เหยียนฉีซานกระซิบชื่อนี้ออกมาเบาๆ เขากล่าว “ฟังดูคุ้นหู”

ไถชิงมองไปยังเขา ดวงตาเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ ทั้งอาลัย คิดถึง ทั้งอ่อนโยนและเคียดแค้นอาฆาตพยาบาท

ในสายตาของคนนอกสามารถเข้าใจได้ในทันที นี่เป็นสายตาอันเศร้าโศกเสียใจที่ใช้มองกากเดนมนุษย์บุรุษที่ทรยศต่อความรู้สึกของสตรี

เหยียนฉีซานเข้าใจความหมาย เขารีบชี้แจง “เจ้าอย่ามองข้าแบบนี้ ข้าไม่รู้จักเจ้าด้วยซ้ำไป”

ไถชิงเป็นหญิงงาม ใบหน้าเรียว คิ้วโก่งดังเสี้ยวพระจันทร์ ดวงตาทั้งสองข้างใสบริสุทธิ์ ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มเป็นสีแดงระเรื่อ แลดูเป็นสาวงามผู้บอบบาง

แสงสายัณห์ทอผ่านต้นอ้อสีเขียวเข้ม อากาศเย็นเป็นน้ำค้าง ที่ว่าหญิงงามนั้น นั่งอยู่ริมธาร[3] บทกวีเอ่ยชมหญิงงามบทหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเหยียนฉีซาน แต่สวรรค์ เขาไม่รู้จักนางจริงๆ

ไถชิงสาวเท้าก้าวเบาๆ มาถึงตรงหน้าพวกเขา นางยกมือขึ้น

แขนเสื้อร่นลงมาจากข้อมือนาง เผยให้เห็นข้อมือขาวผ่องดุจเกล็ดหิมะ มือของไถชิงชะงักค้างอยู่กลางอากาศ น้ำตาคลอเบ้า จะหยดมิหยดแหล่ คนที่เห็นต่างรู้สึกอยากจะดึงนางเข้ามากอดไว้แนบอกปกป้องคุ้มครอง

ไม่ต้องกล่าวถึงพวกเจ้าสำนักศึกษาถังแล้ว แม้แต่เหยียนฉีซานเองยังตำหนิตัวเอง หัวสมองคิดวนเวียนอย่างรวดเร็ว เขากำลังคิดว่าหรือนี่จะเป็นหนี้ความเจ้าชู้สมัยเป็นหนุ่มที่ลืมตอบแทนความรู้สึก หาไม่แล้ว สายตาของนางทำไมยิ่งมองยิ่งเหมือนสายตาของคนรัก?

“ท่านมีนามว่าอะไร” ไถชิงมองกลับมาพลางถาม

“ข้ามีชื่อจริงนามว่าเหยียนฉีซาน ชื่อเล่นจ้งชิง เป็นคนอวี๋หัง”

“เหยียน? เหยียนฉงเฮ่อท่านคือใครกันแน่?” ไถชิงเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา อารมณ์ในใจนางเกิดเปลี่ยนแปลง

[1] ฮว่าซา คือการใช้สิ่งของมงคลต่างๆ ในการขจัด แก้ไข ป้องกัน สิ่งไม่ดี ทำให้ฮวงจุ้ยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้

[2] ผ้ายันต์ฝูลู่ ยันต์ที่วาดโดยนักบวชลัทธิเต๋า

[3] หญิงงามนั้น นั่งอยู่ริมธาร จากคำภีร์ซือจิง เป็นคัมภีร์รวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท