มู่เฉิงซีนั่งมองใบหน้าสวยที่เขาเฝ้าคิดถึงด้วยความทรมาน หลังจากผ่านไปนาน ความโกรธเคืองที่มีอยู่ในใจหดหายไป แววตาของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ”เวินอี๋ อย่าโกรธผมเลยนะ ดีไหมครับ” มือใหญ่ยื่นออกไปจับมือเล็กๆ ของเธอ ”เรามาคุยกันดีๆ”
เวินอี๋สะบัดมือเขาทิ้งอย่างไม่ใยดี ”ฉันไม่ได้โกรธคุณนานแล้วค่ะ ตอนนี้ฉันมีแฟนแล้ว ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ คุณที่เป็นถึงตำรวจ แต่กลับจับตัวผู้หญิงที่ไม่ได้ทำความผิดมาแบบนี้ ไม่ผิดกฎหมายหรือไงคะ”
ความอ่อนโยนที่มู่เฉิงซีพยายามรักษาเอาไว้ เวลานี้ถูกพายุลูกใหญ่หอบไปจนหมด ความโมโหเข้ามาแทนที่ เพลิงไฟแห่งความโกรธปะทุขึ้นภายในห้อง ”ถ้าขืนคุณยังพูดถึงผู้ชายคนนั้นให้ผมได้ยินอีก ตอนนี้ผมจะส่งคนไปฆ่ามันทิ้ง!”
ความขุ่นเคืองของเวินอี๋ก็ปะทุขึ้นมาเช่นเดียวกัน เธอลุกขึ้นยืน ”คุณมู่เฉิงซี นอกจากคุณจะเผด็จการและเหี้ยมโหดแล้ว คุณก็ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น!”
ถ้าเป็นเวินอี๋คนเดิม ต้องหน้าแดงและหัวใจเต้นแรงไปแล้ว แต่เธอในตอนนี้กลับเงยหน้าขึ้นมองและสู้สายตาของเขาด้วยความโมโห ไม่มีความอ่อนแอแม้แต่น้อย ”ตอนนั้นฉันมันตาบอดเอง ถึงได้เห็นขี้หมาเป็นทองคำ”
มู่เฉิงซี ”…”
ผู้หญิงคนนี้ เธอไปจากเขาแค่หนึ่งเดือนกว่า แม้แต่ความสามารถในการด่าคนก็พัฒนาขึ้นมาแล้ว เขาควบคุมเธอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว?
เห็นขี้หมาเป็นทองคำ? ทำไมถึงเหมือนเป็นคำพูดที่เหลิ่งรั่วปิงสอน เวินอี๋ที่เคยดีงาม ทำไมถึงถูกนางมารร้ายอย่างเหลิ่งรั่วปิงเสี้ยมจนกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมีความหมายจริงๆ!
“หึๆๆ…” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เฉิงซีหัวเราะเสียงเบา กลิ่นอายของน้ำตาแผ่ซ่านออกมา ”ถึงแม้ผมจะเป็นขี้หมา แต่ก็เป็นขี้หมาก้อนที่คุณเหยียบไปแล้ว ตอนนี้คุณอยากจะไปจากผมมันไม่สายไปหน่อยเหรอ คุณทนอยู่กับคนอย่างผมก็แล้วกัน?”
“ถุย!” เวินอี๋ไม่อ่อนโยนและมีมารยาทอีกต่อไปแล้ว เธอถ่มน้ำลายลงตรงหน้ามู่เฉิงซี ”คุณแต่งงานกับซย่าอี่มั่วแล้วแต่กลับมาตามตอแยฉันไม่เลิก หน้าด้านที่สุด!”
มู่เฉิงซีกัดฟันแน่นอีกครั้ง เขาบอกว่าเธอมีความกล้ามากขึ้นและเธอก็เสพติดความกล้านี้ไปแล้ว ทั้งยังกล้าถ่มน้ำลายให้เขาอีก! แต่ว่า เมื่อมองดูดวงตากลมโตของเธอ ร่วมกับใบหน้าเล็กๆ นั้น ทำให้เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ สุดท้ายมู่เฉิงซีหัวเราะเสียงดัง เสียดายน้ำลายตรงหน้าจนถึงขั้นไม่อยากเช็ด
หัวเราะไปไม่กี่วินาที มู่เฉิงซีดึงตัวเวินอี๋เข้ามากอด ให้เธอนั่งอยู่บนต้นขาของเขา แขนแข็งแกร่งพันธนาการเธอเอาไว้ไม่ให้เธอขัดขืน พูดอธิบายด้วยความอดทน ”ผมยังไม่ได้แต่งงานกับซย่าอี่มั่ว”
เวินอี๋พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีในการแกะมือของเขา พยายามจะออกมาจากพันธนาการ ”คุณเห็นฉันเป็นคนโง่หรือไงคะ ทุกสำนักข่าวต่างรายงานการแต่งงานของสองตระกูลทหารที่ยิ่งใหญ่ นั่นเป็นแค่การแสดงหรือไงคะ”
มู่เฉิงซี ”ใช่ครับเป็นแค่การแสดง เป็นการแสดงที่ทำเพื่อเอาใจคุณปู่และแม่ของผม”
เวินอี๋กัดฟันแน่ ”แม้แต่ผีก็ยังไม่เชื่อคุณเลย”
มู่เฉิงซีก้มหน้าลงขยับเข้าแนบชิดแก้มของเธอพร้อมกับหัวเราะ ”ผีจะเชื่อหรือเปล่าผมไม่สนใจ ผมต้องการแค่คุณเชื่อ”
เวินอี๋หันหน้าหนีด้วยความโมโห ลมหายใจอุ่นๆของเขาทำให้เธอเขินอายอย่างมาก ”ฉันไม่เชื่อ”
มือข้างหนึ่งของมู่เฉิงซีล็อคมือเธอเอาไว้ ส่วนมืออีกครั้งก็หยิบทะเบียนสมรสขึ้นมาสองแผ่น ”คุณดูสิ ทะเบียนสมรสที่ผมจดกับซย่าอี่มั่วเป็นของปลอม ชุดแต่งงานที่ไปถ่ายด้วยกันก็ยังไม่ได้ล้าง ทั้งยังลบทิ้งหมดแล้ว วันแต่งงานปู่ของผมท่านจากไปกะทันหัน พวกเรายังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานกันเลย ทุกๆ เรื่องล้วนพิสูจน์ว่า ผมยังไม่ได้แต่งงานกับซย่าอี่มั่ว”
เวินอี๋หยุดทุกการกระทำลง มองมู่เฉิงซีด้วยความตกตะลึง ”คุณ…คุณปล่อยให้ผู้หญิงที่รักคุณเป็นคุณผู้หญิงมู่ปลอม ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ได้แม้แต่จะจดทะเบียนสมรสอย่างนั้นเหรอคะ”
มู่เฉิงซียิ้มด้วยความอ่อนโยนราวกับน้ำ มือของเขาลูบจับผมสีดำของเธอ ”ใครบอกให้ผู้หญิงคนนั้นมาทำร้ายคนที่ผมรัก นี่คือบทลงโทษ”
เวินอี๋ไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่มองมู่เฉิงซีด้วยความหวาดกลัว ”คุณมู่เฉิงซี คุณน่ากลัวมากจริงๆ”
มู่เฉิงซีเชยคางเวินอี๋ขึ้น ”ผมน่ากลัว ผมไม่เคยปรานีศัตรูของผม ความอ่อนโยนของผมมีให้คุณแค่คนเดียว”
ความอ่อนโยนของเขามีให้กับเธอแค่คนเดียว
ได้รู้เรื่องที่น่าตกใจแบบนี้กะทันหัน ทำให้เวินอี๋มีสติขึ้นมาทันที เธอขัดขืนอยู่ในอ้อมกอดของมู่เฉิงซี หลังจากหลุดพ้นจากพันธนาการของเขา เธอก็รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย พร้อมกับถามตนเองว่าทำไมถึงปล่อยให้เขาได้คืบเอาศอกแบบนี้ด้วยความโมโห
มองดูท่าทีโกรธเคืองของเวินอี๋ มู่เฉิงซีรู้ว่าเธอยังไม่หายโกรธ เขาไม่อาจบีบบังคับเธอได้ ดังนั้นจึงพยายามข่มหัวใจที่เต้นแรงของตน ”เราไปจดทะเบียนสมรสกับเถอะ” เสียงของเขาแหบพร่า
แก้มของเวินอี๋แดงระเรื่อ มองค้อนไปที่มู่เฉิงซี ”ทำไมฉันต้องเชื่อฟังคุณด้วย ราวกับว่าคุณพยายามทำอะไรเพื่อฉันอย่างนั้นแหละ ตอนแรกคุณคิดจะแต่งงานกับซย่าอี่มั่วจริงๆ แล้วรักษาความสัมพันธ์กับฉันโดยที่ไม่มีการแต่งงาน”
มู่เฉิงซีพยักหน้า ”ผมยอมรับ ผมทำผิดไป แต่ผมก็แก้ไขได้ทันเวลา อีกอย่างหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก คุณให้อภัยผมดีไหมครับ”
เวินอี๋พูดเสียงหนักแน่น ”ไม่ดีค่ะ!”
“เวินอี๋!” เพลิงไฟแห่งความโมโหของมู่เฉิงซีปะทุขึ้นอย่างแรง ”คุณต้องการอะไรกันแน่ หรือคุณจะคบกับกู้จือเหาจริงๆ” แววตาพิฆาตราวกับอินทรี ”ผมขอบอกเอาไว้เลยนะ ถ้าขืนคุณยังคบกับมัน ผมจะไม่มีวันปล่อยให้มันมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองหลงได้”
เวินอี๋โมโหอย่างมาก เธอคว้าหมอนอิงขึ้นมาแล้วปาออกไป มู่เฉิงซีไม่ได้หลบ หมอนนั้นกระแทกหน้าของเขาอย่างแรง เขาเอาหมอนลงมาช้าๆ มองดูเวินอี๋ที่กำลังโมโห ”ตีเลย ตีจนกว่าคุณจะหายโกรธ ตีจนคุณพอใจเราจะได้กลับมาใช้ชีวิตด้วยกันอีก”
ความรู้สึกเสียใจและโมโหที่เวินอี๋เก็บเอาไว้มันสุมอยู่เต็มอก เขาบอกให้เธอทำร้ายเขา เธอไม่มีวันเกรงใจ ด้วยเหตุนี้เธอจึงเดินเข้าไปหามู่เฉิงซี ใช้ทั้งมือและเท้า ทั้งต่อยและเตะ ดาบตำรวจมู่แห่งเมืองหลง ใช้เวลาไม่นานก็ถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำร้ายจนหน้าเขียวหน้าแดงไปหมด ข้อมือของเขายังถูกกัดจนเลือดออก
หลังจากหนานกงเยี่ยโทรศัพท์ไปหามู่เฉิงซี เห็นเหลิ่งรั่วปิงกำลังนอนหลับ เขาจึงปิดประตูให้เรียบร้อย จากนั้นเดินลงไปชั้นล่าง เข้าไปที่ห้องครัว ใส่ผ้ากันเปื้อนลายดอก แล้วเริ่มทำน้ำซุปบำรุงครรภ์ ขณะที่เขาทำอยู่นั้นก็คิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น เขาตระหนักขึ้นมาได้กะทันหัน การที่จะรักกันนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การแต่งงานเป็นเรื่องยาก เพื่อรักเราทำทุกอย่างแม้ต้องตายก็ยินดี แต่ชีวิตแต่งงานนั้นต้องระมัดระวังคอยประคับประคองกันและกัน
เมื่อเทียบกับความรัก การแต่งงานคือบทเรียนที่ซับซ้อน
ถึงแม้จะตระหนักได้ ถึงแม้ชีวิตแต่งงานจะมีปัญหาต่างๆ มากมาย แต่เขาไม่เคยสงสัยในความรักของตนเอง ตอนนี้และในอนาคต เขาล้วนไม่มีวันสงสัย คนที่เขารักมีแค่เหลิ่งรั่วปิง ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไร เขาก็จะรักเธอ
ไม่ว่าเธอจะใจกว้างก็ดี ชอบคิดเล็กคิดน้อยก็ช่าง โอบอ้อมอารีก็ดี ใจร้ายก็ช่าง อ่อนโยนก็ดี หรือเกรี้ยวกราดก็ช่าง ล้วนเป็นเหลิ่งรั่วปิงของเขา เป็นคนที่เขารัก
ตั้งแต่วันแรกที่เขารักเธอ ก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าเขาจะรักเธอตลอดชีวิต
ไม่นานหลังจากนั้น น้ำในหม้อเดือด ไอน้ำพุ่งออกมา เต็มพื้นที่ตรงหน้าเขา หนานกงเยี่ยเปิดหม้อแล้วปรุงอาหาร จากนั้นก็ปิดฝาหม้ออีกครั้ง เขาเปิดไฟอ่อนๆ เพื่อตุ๋นน้ำซุป ขณะที่เขาหมุนตัวหันหลังนั้น หัวใจของเขาเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ คล้ายกับมีอาวุธบางอย่างพุ่งเข้ามา หนานกงเยี่ยเอามือมากุมหน้าอกตนเองเอาไว้ จากนั้นความรู้สึกหวาดกลัวที่แปลกประหลาดแผ่ซ่านออกมา
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกะทันหันแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีคนมาตัดขั้วหัวใจ
เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน จากนั้นเปิดประตูห้องนอน เห็นเหลิ่งรั่วปิงกำลังกระเสือกกระสนดีดดิ้นไปมาด้วยความทรมาน เธอหลับตา คิ้วขมวดเป็นปม หน้าผากมีเหงื่อไหลลงมา คล้ายว่ากำลังฝันร้าย
หนานกงเยี่ยรู้สึกหัวใจหล่นวูบ เขารีบวิ่งไปที่เตียง กอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ พร้อมกับตบหน้าเธอเบาๆ ”ที่รัก ที่รัก ตื่นๆ”
คล้ายคนที่ทุกข์ทรมานอยู่ท่ามกลางทะเล พยายามคว้าความหวังสุดท้ายของชีวิตเอาไว้ เหลิ่งรั่วปิงลืมตาขึ้นเพราะเสียงของหนานกงเยี่ย หัวใจของเธอเต้นแรง ใบหน้าซีดขาว หายใจหืดหอบ เห็นหนานกงเยี่ย เธอรู้สึกเหมือนได้ไถ่ถอนชีวิตกลับคืนมา คว้าคอเสื้อเขาแน่นน
หนานกงเยี่ยเป็นห่วงเธออย่างมาก มือใหญ่ลูบจับผมของเหลิ่งรั่วปิง ”ที่รัก คุณเป็นอะไรไปครับ”
เหลิ่งรั่วปิงสงบสติอารมณ์ ซบอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ยอย่างหมดเรี่ยวแรง ”คุณหนานกงเยี่ย ฉันฝันร้ายค่ะ ฉันฝันเห็นชายชุดดำคนหนึ่งขโมยลูกในท้องของฉันไป ฉันวิ่งตามเขาเพื่อจะเอาตัวลูกกลับคืนมา แต่เขากลับบอกฉันด้วยเสียงเยือกเย็น เขาคือยมทูต” เหลิ่งรั่วปิงจับคอเสื้อหนานกงเยี่ยแน่น ”ยมฑูตมาเอาลูกของเราไปค่ะ”
พูดถึงตรงนี้ เหลิ่งรั่วปิงร้องไห้ แม้จะเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากแค่ไหน เผชิญหน้ากับลูกในท้องของตนเอง แม้จะเป็นแค่ความฝัน แต่เธอก็ทุกข์ทรมานและยากที่จะอดทน เหลิ่งรั่วปิงในตอนนี้ ราวกับดอกไม้อ่อนแอท่ามกลางพายุฝนรุนแรง ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไร ก็ไม่อาจทนต่อแรงลมได้
หนานกงเยี่ยโอบกอดเธอเอาไว้แน่น แล้วตบหลังเหลิ่งรั่วปิงเพื่อเป็นการปลอบโยน ”อย่าคิดมากเลยนะครับ เป็นแค่ความฝันเท่านั้น คนท้องมักจะคิดมาก และทำให้ฝันร้ายได้ คุณอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะครับ”
ถึงแม้ตนจะรู้ว่านั่นเป็นแค่ความฝัน แต่เหลิ่งรั่วปิงเสียใจมาก ยากที่พาตัวเองออกมาจากความเศร้านั้น ”คุณหนานกงเยี่ย ฉันกลัวจังเลยค่ะ กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น”
หนานกงเยี่ยรีบปลอบทันที ”ไม่ต้องกลัวนะครับ เมื่อวันก่อนพวกเราเพิ่งไปหาหมอมา ลูกยังแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาอะไร คุณอย่าคิดมากเลยนะครับ หืม ต้องเป็นเพราะคุณเป็นห่วงเวินอี๋มาก ก็เลยไม่สบายใจ ผมจะบอกให้ไอ้สารเลวมู่เฉิงซีพาเวินอี๋กลับมา คุณไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ หืม?”