ตอนที่ 133 แกล้งกิเลน
สิงโตหัวยักษ์ที่ฝังกับผนังหินเก้าหัวสั่นสะเทือน
ใบหน้าสิงโตที่บ้างถลึงตามองบ้างเฉยชาเกียจคร้านเก้าหัวต่างกัน อ้าปากยักษ์นั้นขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งโลกก้นสมุทรภูเขาแดงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงตามการเปิดปาก
ความเป็นเทพหลั่งไหลเข้ามาในกายหนิงอี้
ที่ราบกระดูกรีดพลังของเด็กสาวอย่างไร้ความปรานี แสงสีขาวมากมายไหลเวียนในตันเถียนหนิงอี้เหมือนปลาบิน ทว่าคนที่ถือดาบกลับไม่มีสีหน้ามีความสุขเลย
“ไปให้พ้น!”
เสียงตะโกนด้วยความโกรธดังเข้าหูเจียงหลินดุจฟ้าผ่า ครั้งนี้เขายกล่าวารีขึ้น ยังไม่ฟาดลงก็เห็นเงากระบี่รวดเร็วยิ่ง พละกำลังเหนือกว่าจินตนาการตน ปราณกระบี่เหมือนค้อนหนักทุบเขาลอยไปข้างหลังเบาๆ
แผ่นหลังของเด็กหนุ่มนั่นออกห่างจากผนังหินอีกครั้ง ดวงตาแดง ดูเหมือนดวงตานักสู้
เจียงหลินหน้าดำมืด เตรียมจะชักดาบปะทะอีกครั้ง
แต่ก็เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น หนิงอี้ไม่ได้ใช้กระบี่ยาวในมือสู้กับเขาอีก แต่ใช้พินิจเหมันต์กับวิชาคุมกระบี่ บินไปทางข้างประตูหน้าสุสานภูเขาแดง
“คิดหนีรึ”
เจียงหลินกระทืบเท้าเบาๆ ร่างโคลงเคลง พายุสายฟ้าระเบิดรอบกาย พลันกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งตามไป
……
สวีชิงเยี่ยนพิงหน้าประตูโบราณทองสัมฤทธิ์ นางไม่กล้าเชื่อภาพที่ตนเห็น
หัวหนึ่งในเก้าหัวสิงโตกำลังจ้องตน นัยน์ตามีการยอมศิโรราบรางๆ
หัวสิงโตนั้นอ้าปากแล้ว สุสานภูเขาแดงก็เริ่มสั่นสะเทือน…อะไรที่ทำให้เกิดทุกอย่างนี้ขึ้น
ความเป็นเทพที่มีและเหมือนไม่มีแนบกับหน้าประตูทองสัมฤทธิ์สุสานภูเขาแดง ไหลเป็นเส้นสายออกไปข้างนอก เชื่อมต่อมันกับอย่างไม่อาจเลี่ยง ตำหนักเก่าแก่นี้หลับใหลมานานมาก ต่อให้คนนอกเข้าไปได้ก็เปิดไม่ได้ ก็เพราะขาดความเป็นเทพที่สำคัญที่สุดไป
หัวสิงโตเก้าหัวบนผนังหินมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นตัวแทนยอดปีศาจเผ่าปีศาจปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณในตอนนั้น และสิ่งที่ทำให้ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณยอมศิโรราบได้…คือเจ้าของตำหนักแห่งนี้ ต่อให้ไม่ได้เป็นอมตะในตำนาน ก็ใกล้เคียง แทบจะเรียกว่าเทพได้แล้ว
ตำหนักของเทพ ย่อมมีเพียงเทพที่เปิดได้
สวีชิงเยี่ยนไม่ทันคิดอะไรก็มีเสียงปราณกระบี่พุ่งเข้ามา หนิงอี้ที่ขี่กระบี่บินมาคว้าเด็กสาวไว้ในอ้อมกอด ประตูโบราณทองสัมฤทธิ์มหึมาเปิดเป็นเส้นทีละนิด สองคนเฉียดผ่านซอกเข้าไป
พริบตาที่แสงกระบี่ออกห่างจากพื้น เงาใหญ่ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามา กระแทกลงพื้นดินหน้าประตูโบราณทองสัมฤทธิ์ ดินหินแตกกระจาย
เจียงหลินที่ยืนนอกประตูโบราณมีสีหน้าซับซ้อน
ถุงสีสันสวยงามที่ผูกไว้ตรงเอวเขาขยับไหวตามสายน้ำไม่หยุด
ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำบอกเขาว่าถึงภูเขาแดงแล้วควรทำอย่างไรถึงดำลงมาลึกถึงก้นสมุทรได้ แต่ไม่ได้บอกเขาว่า…สุสานของเจ้าของภูเขาแดงมีกลอุบายยิ่งใหญ่อยู่ หากไม่มีหนิงอี้ เช่นนั้นวันนี้เขามาที่นี่ เกรงว่าคงยากจะเปิดตำหนักได้ ถึงตอนนั้นจะประหยัดการใช้ถุงสวยงามนี่ไปได้
เจียงหลินไม่ได้รีบร้อนตามไป
ในสุสานแห่งนี้จะต้องมีผนึกมากมาย เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นมีกลอุบายหลีกเลี่ยงที่คนอื่นไม่รู้ เขาตามไปเร็วเกินไม่ใช่เรื่องดี เหมือนเพิ่งเข้าส่วนกลางภูเขาแดง เส้นทางนั้นที่ผ่านม่านน้ำ เขาซ่อนตัวมาตลอด ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป ระหว่างทางก็อาศัยการดมกลิ่นกับหกสัมผัสตามหนิงอี้ หลบผนึกภูเขาแดงทั้งหมด
ตอนนี้เจียงหลินยืนอยู่ที่เดิม หรี่ตาลง กำลังนึกถึงคำถามที่น่าสนใจมาก
แดนต้องห้ามภูเขาแดงมีผนึกมากมาย หากเดาไม่ผิด ที่นี่ต่างหากคือที่พำนักของเจ้าของภูเขาแดงที่แท้จริง ที่อื่นเป็นเพียงสุสานของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ…สุสานมีส่วนหลักและส่วนรอง หากจักรพรรดิใต้ฟ้าต้าสุยตายลง สหายเก่าที่สนิทที่สุดในใต้ฟ้าตอนนั้นจะเลือกฝังรอบสุสาน คนใหญ่คนโตที่ทำให้สุสานของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณยอมฝังร่วมกันได้ เป็นเทพเซียนที่ใดกันแน่
เจียงหลินนึกถึงสาเหตุการเปิดภูเขาแดงอย่างไม่มีที่มาที่ไป ลึกๆ ในใจรู้สึกขำเล็กน้อย เขามาเพื่อ ‘ราชสีห์ขาว’ สององค์ชายต้าสุยนั่นมาเพื่ออะไร ราบรื่นตลอดทาง คนที่ต่อสู้แย่งชิงกับตนก็มีเพียงผู้บำเพ็ญหนุ่มต้าสุยที่ไร้ชื่อเสียงคนนี้ เห็นได้ชัดว่าในนี้เป็นเนื้อชิ้นใหญ่ที่สุดของภูเขาแดง แต่กลับไม่พบผู้สูงศักดิ์ที่สุดใต้ฟ้าต้าสุยสองคนนั้น หรือว่าสองคนนั่นยังเดินเล่นกันอยู่ในสุสานของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ
เจียงหลินไม่คิดอะไรมากอีก เขาสำแดงวิชาลับกิเลนอีกครั้ง เฉียดผ่านซอกประตูโบราณทองสัมฤทธิ์ พุ่งเข้าไปส่วนในสุสาน
…….
ก้นสมุทรที่ตั้งสุสานแห่งนี้ เมื่อเข้ามาแล้วกลับไม่เปียกน้ำสักหยด แดนเงียบสงบ แต่พลังผนึกแสงดาราก็ยังอยู่ นี่เป็นเรื่องดีเท่าฟ้า ทำให้หนิงอี้โล่งอกเล็กน้อย
หนิงอี้ใช้สองมือจับเด็กสาว มือข้างหนึ่งสัมผัสตรงเอว อีกมือกอดข้อพับขา ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากตรงหน้าสุดไป ยอดปีศาจนั่นเหมือนจะไม่รีบร้อนตามมา ที่นี่เงียบสงัด ดูเหมือนเจียงหลินคิดจะกดดันให้ถึงทางตันและล่าเหยื่ออีกครั้ง สองคนมีเวลาชั่วครู่ในการพักฟื้น
ท่าทางของสองคนดูระมัดระวังและใกล้ชิดกันเล็กน้อย หนิงอี้รู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มของตัวเด็กสาว ต่อให้มีผ้ากันอยู่ก็ยังจิตใจสั่นไหวนิดๆ ผิวพรรณของสวีชิงเยี่ยนเนียนยิ่งกว่าหิมะ มีความเป็นเทพไหลเวียน ในตัวมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ ไม่เหมือนหญิงโลกมนุษย์
เขาส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระพวกนี้ออกจากสมอง ก่อนจะลดความเร็วของกระบี่ลงช้าๆ
สองคนลงพื้น หนิงอี้พลันวางสวีชิงเยี่ยนในอ้อมกอดลงทันที เด็กสาวปลายเท้าเหยียบพื้น ถอนหายใจโล่งอก เพราะอยู่ใกล้เกินไป ตอนนี้สวีชิงเยี่ยนจึงไม่กล้าพูด นางสัมผัสได้อย่างเฉียบคมถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาหนิงอี้
ต่างจากหมอเหยียนโซ่วนั่นในลานบ้านตรอกฝนพรำเมืองหลวง นางเห็นความใสสะอาดในดวงตาหนิงอี้ ไม่มีสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจเลย
หนิงอี้หันมามอง สุสานนี้ใหญ่โตยิ่ง หน้าหลังมีแต่ความมืด ค่ายกลสังหารวางเต็มไปหมด ต่อให้เป็นการอนุมานของคัมภีร์แสวงมังกรก็ไม่อาจหาเจอเส้นทางที่สมบูรณ์ได้รวดเร็ว หากขี่กระบี่บินไปอีกครั้ง เกรงว่าคงจะพุ่งเข้าไปในค่ายกลสังหาร ถึงตอนนั้นจะมีปัญหาใหญ่ ไม่ต้องให้เจียงหลินลงมือ สองคนก็จะตายในสุสาน ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
หนิงอี้ยิ้มเยาะในใจ
เขาเข้าใจแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเจียงหลินถึงไม่ตามมาทันที
ยอดปีศาจนั่นไม่โง่ รู้ว่ามีผลประโยชน์อยู่ข้างหน้าแต่มีอันตรายอยู่ข้างหลัง ให้ตนเปิดทางให้เขาก่อน ตอนเส้นทางส่วนกลางภูเขาแดง เดาว่าก็คงเป็นเช่นนี้ ตนลำบากหาเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ถูกเขาเลียนแบบง่ายๆ ยังคิดจะใช้ไม้เดิมที่นี่อีกรึ
หนิงอี้สะบัดแขนเสื้อ ปรากฏยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นในมือ
สวีชิงเยี่ยนเห็นยันต์ก็ตาเป็นประกาย
นี่ไม่ค่อยเหมือนกับยันต์ก่อนหน้า ยันต์ก่อนหน้าของหนิงอี้ส่วนใหญ่ทำใหม่ มีเพียงยันต์นี้ที่เหมือนใช้มาสักระยะแล้ว
สวีชิงเยี่ยนถามด้วยความแปลกใจ “หนิงอี้ นี่ยันต์อะไร”
หนิงอี้ท่องคัมภีร์แสวงมังกรเงียบๆ ในความคิดมีเส้นทางเลือนรางคร่าวๆ
เขาไม่ได้รีบร้อนตอบคำถามของสวีชิงเยี่ยน แต่ลากเด็กสาวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน มาอยู่กลางค่ายกลลวงตา
ในค่ายกลลวงตา ทิศทางฟ้าดินพลันเปลี่ยนไป แยกแยะได้ไม่ชัดเจน ยากจะหาทางออกได้ หากหลงเข้าไป มีโอกาสสูงมากที่จะถูกขังตายอยู่ในนั้น
หนิงอี้ลากสวีชิงเยี่ยนพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็มองออกเหมือนกันล่ะสิ ยันต์นี่เก่ามาก ปกติข้าจะใช้ในช่วงเวลาสำคัญ”
พูดเช่นนี้ ยิ่งทำให้สวีชิงเยี่ยนอยากรู้ยิ่งกว่าเดิม
หนิงอี้ทำหน้าเย้ยเยาะ หันไปมอง เห็นเป็นความมืด ยอดปีศาจกิเลนนั่นน่าจะกำลังมา รอตนเปิดผนึกแล้วค่อยมาเก็บผลประโยชน์สองต่อหรือ
ตัวอยู่ในค่ายกลลวงตา หนิงอี้ไม่ตระหนกเลย เขาพาสวีชิงเยี่ยนเดินไปอย่างมีกฎเกณฑ์ หน้าๆ หลังๆ ซ้ายๆ ขวาๆ
ภาพนี้ค่อนข้างคุ้นตา แทบจะเหมือนกับเส้นทางนั้นตอนม่านน้ำภูเขาแดง สวีชิงเยียนพลันนึกถึงภาพที่ตน ‘เต้นระบำ’ ในตอนนั้น
นางแก้มแดงเล็กน้อย
หนิงอี้ท่องคัมภีร์แสวงมังกรในใจ ทางออกของค่ายกลลวงตานี้ เขาได้คาดการณ์ไว้คร่าวๆ ก่อนจะเข้ามาแล้ว และที่ก้าวเข้ามาในนี้ก็เพราะตั้งใจไว้
ภาพค่ายกลยันต์แปดทิศกางออกตรงหน้า ดวงตาหนิงอี้สว่างขึ้น แค่ครู่เดียวเขาก็พาสวีชิงเยี่ยนก้าวออกจากค่ายกลลวงตา จากนั้น…เขาก้าวเข้าค่ายกลลวงตาที่สอง
ค่ายกลของสุสานภูเขาแดงวางไว้แบบขอไปที มองออกได้ว่าเจ้าของสุสานมีความชำนาญด้านค่ายกลอยู่บ้าง แต่ไม่ถือว่าสูงส่งเท่าไร อย่างน้อยก็แย่กว่านักวางค่ายกลของยอดค่ายกลสุสานราชาหัวใจราชสีห์ขั้นหนึ่ง
จนถึงตอนนี้หนิงอี้ยังจำสิ่งที่เผชิญบนที่ราบหัวใจราชสีห์นั้นได้…รวมเป็นค่ายกลธรรมชาติเช่นนั้นได้ จะต้องเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ที่มีชื่อในประวัติศาสตร์แน่นอน
ใจนึกถึง หนิงอี้ก็ใจสั่นไหวขึ้นมา
ปรมาจารย์ค่ายกลนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นคนนั้นที่แกะสลักตรงส่วนกลางภูเขาแดงในตอนแรก!
น่าเสียดายเงื่อนไขการเปิดสุสานภูเขาแดงไม่ขึ้นอยู่กับขอบเขตที่ท่านนั้นสัมผัสได้ ต่อให้เข้ามาที่นี่ก็คงถูกขวางไว้นอกประตู หากให้โอกาสปรมาจารย์ท่านนั้นเข้ามาในสุสาน ค่ายกลที่นี่ไม่นับว่าเท่าไรเลย
คัมภีร์แสวงมังกรฝ่าค่ายกลลวงตาได้ ทำให้หนิงอี้ได้เปรียบมาก เขามีความชำนาญด้านค่ายกลตื้นเขิน ไม่เรียกว่าสูงส่ง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการวางค่ายกล แต่เรื่องหนีเคราะห์ไปหาโชคเช่นนี้ หนิงอี้ทำได้อย่างแน่นอนมาก
หนิงอี้หาค่ายกลลวงตาเจ็ดแปดค่ายกลติดต่อกัน เลือกค่ายกลที่ค่อนข้างอันตราย ไม่ระวังนิดเดียวก็จะถูกขังในนั้น เปิดผนึกขังตาย ออกมาไม่ได้อีก ค่ายกลลวงตาเจ็ดแปดค่ายกลนี้เดินตามคัมภีร์แสวงมังกร หนิงอี้ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งก้านธูป ตอนนี้เข้ามาในสุสานลึก ยอดปีศาจนั่นช้ากว่านี้ก็น่าจะตามมาแล้ว…
หนิงอี้ที่มีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาจากหน้าผากหัวเราะเบาๆ “กอดข้าไว้”
เด็กสาวหน้าแดงเล็กน้อย
แต่ก็ยังทำตามอย่างว่าง่าย
หนิงอี้มีสีหน้าจริงจัง ใช้ความเป็นเทพตรงปลายนิ้วกระตุ้นยันต์เก่า…ยันต์นี้อยู่กับเขามาก็นานแล้ว
เข้าจวนภูเขาครามครั้งแรกก็ใช้ ‘ยันต์อำพรางตัว’ นี้
ยันต์อำพรางตัวทำงาน กลิ่นอายพลังในตัวหนิงอี้พลันเป็นคลื่นกระจายออก สวีชิงเยี่ยนที่กอดหนิงอี้ถูกยันต์ถาโถมใส่เช่นกัน ร่องรอยของสองคนหายไปกับอากาศ
หนิงอี้หรี่ตาลงมองไปข้างหลัง เขาได้ยินเสียงโกรธนั้นจากในค่ายกลลวงตา
เจียงหลินตามตนเข้าไปในค่ายกลลวงตา
เจ้าไม่ใช่สุนัขดมกลิ่นหรอกรึ
ข้าอยากรู้นักว่าเจ้ายังมีอุบายอะไรอีก
………………………….