บทที่ 819 ถูกขนาบทั้งสองด้าน
บทที่ 819 ถูกขนาบทั้งสองด้าน
เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกสับสน “การทดสอบนี้จัดขึ้นโดยอาณาจักรซาง หากความสงสัยของเจ้าถูกต้อง แสดงว่าพวกเขารู้ล่วงหน้าถึงความพ่ายแพ้ต่อเผ่าโจวอย่างนั้นเหรอ? แล้วทำไมพวกเขาปล่อยให้มันเกิดขึ้น? ถ้าจะบอกว่าการทดสอบนี้ถูกสร้างหลังจากที่อาณาจักรซางพ่ายแพ้ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะพวกเขาคงไม่มีเวลาหรือมีทรัพยากรเพียงพอในการสร้างการทดสอบใหญ่โตเช่นนี้หลังจากที่พวกเขาถูกเผ่าโจวกวาดล้าง”
ซูอันส่ายหัวและกล่าวว่า “หลายคนเชื่อว่าจักรพรรดิตี้ซินหรือที่เรียกว่าพระเจ้าซางโจ้วเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง หลังจากที่อาณาจักรซางพ่ายแพ้ในยุทธการมู่เหย่และจักรพรรดิตี้ซินและพระนางต๋าจี่ได้ฆ่าตัวตายด้วยการเผาตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของอาณาจักรซาง รัชทายาทของจักรพรรดิตี้ซินยังคงดำรงอยู่และรักษาราชวงศ์ซางเอาไว้ได้ นอกจากเขาแล้ว แคว้นซ่งหรือที่รู้จักกันในชื่อเกาหลีเหนือในเวลาต่อมานั้นก็ถูกก่อตั้งโดยผู้คนจากราชวงศ์ซาง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชาวซางถึงน่าจะมีความสามารถในการสร้างการทดสอบเช่นนี้ในภายหลัง”
เพ่ยเหมียนหมานพยักหน้าแล้วถามด้วยความอยากรู้ “เจ้าจัดการกับเผ่าโจวในการทดสอบส่วนก่อนหน้านี้หรือเปล่า?”
ซูอันถอนหายใจ “ในตอนนั้นเผ่าอื่น ๆ ทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ต่างก่อกวนอาณาจักรซางของเรามาโดยตลอด บรรดาขุนนางทั้งหลายจึงไม่มีใครถือว่าเผ่าโจวเป็นภัยคุกคาม ท้ายที่สุดข้าจึงไม่สามารถจัดการกับเผ่าโจวได้ และหลังจากที่เจ้าตายระหว่างคลอด ข้ากลายเป็นเหมือนซากศพที่เดินได้ซะมากกว่า อย่าว่าแต่โจมตีเผ่าโจวเลย แม้แต่ชีวิตประจำวันข้าก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไรอีก”
ความอบอุ่นท่วมท้นใจของเพ่ยเหมียนหมาน นางจับมือเขาแน่น “อาซู เจ้าผ่านอะไรมามากมายจริง ๆ”
ซูอันบีบมือของนางและพูดพร้อมกับถอนหายใจ “เจ้าแย่กว่าที่ต้องผ่านความตาย”
ดวงตาของเพ่ยเหมียนหมานแดงก่ำ นางกัดริมฝีปากและพูดว่า “ตอนนั้นข้ากลัวมาก ข้าไม่อยากผ่านประสบการณ์คลอดลูกอีก”
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้น เราไม่จำเป็นต้องมีลูกก็ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรเรามีเด็กสาวให้ดูแลอยู่แล้วนี่?” เมื่อเหลือบมองไปที่น้องสาวของพวกเขาซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนสกปรก ทั้งคู่ก็หัวเราะ
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกันแต่ในนาม แต่วิญญาณของพวกเขาเป็นของผู้ใหญ่ น้องสาวตัวน้อยจึงเป็นเหมือนลูกสาวของพวกเขา
ราวกับสัมผัสได้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะ ซานไฉ่จึงหันกลับมา เมื่อนางเห็นพวกเขากอดกัน นางก็รีบวิ่งไปโดยที่เนื้อตัวยังเต็มไปด้วยโคลนดิน “พี่ใหญ่ พี่สาว ข้าก็อยากกอดเหมือนกัน! กอดข้าด้วย!”
…
สิบปีผ่านไปในพริบตา เพ่ยเหมียนหมานงดงามมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ซูอันยังคงรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาดังเดิม
แม้แต่ซานไฉ่ซึ่งเคยเล่นโคลนและน้ำลายไหลตลอดเวลาก็ยังเติบโตเป็นหญิงสาวที่สง่างาม
สำหรับซูอัน สิบปีควรจะเป็นเวลานานแต่เขารู้สึกเหมือนเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
มันเหมือนกับรายการทีวีในโลกดั้งเดิมของเขา ตัวละครหลักอายุน้อยจะกระโดดโลดเต้นและวิ่งไปมาในทุ่งหญ้าอย่างมีความสุข จากนั้นในช่วงกลางเรื่องนั้น ข้อความก็ปรากฏขึ้นว่า ‘สิบปีต่อมา…’
ทันใดนั้น เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นนักแสดงนำชายที่เป็นโตผู้ใหญ่
ซูอันส่ายหัวและโยนความคิดไร้สาระนี้ออกไป แม้ว่าเวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาและเพ่ยเหมียนหมานก็ไม่ได้เสียเวลาเปล่า แต่ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับเผ่าโจวให้มากที่สุด…
ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าอู่ติง แม้ว่าจักรพรรดินีฟู่ห่าวจะนำกองทัพทหารจำนวนหนึ่งหมื่นสามพันนายและเอาชนะแคว้นเชียงได้ แต่นางก็ไม่สามารถกวาดล้างอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากหลายปีของการทำสงครามกับราชวงศ์ซาง แคว้นเชียงได้แยกออกเป็นหลายเผ่า ซึ่งยังคงคุกคามดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรซางเป็นครั้งคราว
ราชวงศ์ซางให้เมืองขึ้นช่วยจัดการกับชนเผ่าเหล่านี้ และเผ่าโจวเป็นหนึ่งในเมืองขึ้นของพวกเขา
หลังจากสงครามผ่านไปหลายทศวรรษ เผ่าโจวก็ค่อย ๆ เรืองอำนาจยิ่งกว่าเมืองขึ้นอื่น ๆ และเมื่อแคว้นเชียงแตกกระจาย เกิดสุญญากาศทางอำนาจปกครองในภูมิภาคซานซีและกานซู่ อาณาจักรซางอยู่ไกลเกินกว่าจะใช้อำนาจควบคุมพื้นที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นดินแดนของแคว้นเชียงจึงถูกเผ่าโจวกลืนกินอย่างช้า ๆ
แน่นอนว่าเผ่าโจวไม่ได้เป็นเพียงผู้เดียวที่จ้องจะครอบครองงดินแดนนี้ตาเป็นมัน เมืองขึ้นอื่น ๆ ก็อยากได้ดินแดนนี้เช่นกัน ผู้นำของเผ่าโจวในขณะนั้นมีชื่อว่า จี่หลี เขาเป็นผู้นำชาวโจวสู้รบทั่วทั้งภูมิภาคและเข้ายึดครองดินแดนอันกว้างใหญ่นี้ จัดการแต่งงานทางการเมืองกับขุนนางจากราชวงศ์ซางและรักษาความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับเมืองขึ้นอื่น ๆ ว่ากันว่าเขาเก่งทั้งด้านสงครามและการทูต
ในที่สุด จักรพรรดิซางจึงได้เรียกเขาว่าผู้นำของเมืองขึ้นตะวันตก…
ทั้งซูอันและเพ่ยเหมียนหมานต่างกังวลเมื่อเห็นว่าเผ่าโจวซึ่งเคยอ่อนแอมาก่อนได้เติบโตขึ้นเป็นกลุ่มกำลังที่ยิ่งใหญ่ พวกเขายังคงแนะนำพระเจ้าเหวินติงผู้เป็น ‘พ่อ’ ให้กระทำการสะกดข่มหรือกำจัดชาวโจว
บางทีอาจเป็นเพราะการแทรกแซงของซูอันและเพ่ยเหมียนหมาน หรืออาจเป็นเพราะตัวเขาเองเริ่มกลัวอิทธิพลและอำนาจของเผ่าโจวเช่นกัน พระเจ้าเหวินติงจึงเรียกจี่หลีมายังเมืองหลวงจากนั้นจึงหาข้ออ้างในการประหารชีวิตเขา
ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานต่างพูดไม่ออกจากเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหัน ทั้งสองไม่คิดว่าพระเจ้าเหวินติงจะตรงไปตรงมาและโหดเหี้ยมขนาดนี้!
เผ่าโจวในปัจจุบันนี้แข็งแกร่งอยู่แล้ว และเพียงแค่การฆ่าผู้นำของพวกเขานั้นย่อมไม่ได้ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาลดลง แต่กลับทำให้ราชวงศ์ซางเสียการสนับสนุนจากบรรดาเมืองขึ้นที่เหลืออยู่ ซึ่งทั้งหมดต่างเห็นใจจี่หลีมาก เพราะพวกเขาเห็นว่าผู้นำเมืองขึ้นที่ภักดีมาตลอดถูกประหารอย่างไร้เหตุผลเพียงใด
ซูอันรู้ว่าแม้จี่หลีจะเป็นบุคคลพิเศษ แต่ราชวงศ์โจวยังคงมีจักรพรรดิที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าพระเจ้าเหวินติงและพระเจ้าอู่ติงซึ่งยังไม่ได้ปรากฏตัว
ในทางกลับกัน พระเจ้าเหวินติงไม่ได้กังวลมากนัก แม้แต่คนทั้งอาณาจักรตั้งแต่เสนาบดีจนถึงเหล่าแม่ทัพก็ไม่ได้สนใจการประหารจี่หลีมากนักเพราะนี่คือสิ่งที่จักรพรรดิซางทำมาตลอดประวัติศาสตร์ ทำลายเมืองขึ้นที่ปฏิเสธที่จะยอมจำนนอย่างเชื่อฟัง หรือถ้าผู้นำของเมืองขึ้นแข็งข้อ การถูกประหารย่อมเป็นเรื่องปกติสามัญ
อาณาจักรซางพร้อมเสมอที่จะสอนเมืองขึ้นเหล่านี้ให้รู้ถึงวิธีปฏิบัติตัวอย่างอ่อนน้อม ในเวลาเดียวกัน อาณาจักรซางจำเป็นต้องทำสงครามเป็นประจำ เนื่องจากพวกเขาต้องการทาสจำนวนมาก ผู้คนจำเป็นสำหรับการทำงานหนักและเป็นเครื่องบูชา
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนในอาณาจักรซางต่างเริ่มรู้ตัวว่าพวกเขาคำนวณผิด ชาวอี้ทางทิศตะวันออกริเริ่มที่จะรุกรานอาณาจักรซาง
เมืองขึ้นที่ทำหน้าที่เป็นปราการทางทิศตะวันออกของราชวงศ์ซางถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะการประหารชีวิตที่ไม่เป็นธรรมของจี่หลีทำให้คนเหล่านี้หมดใจที่จะต่อสู้หรือเพราะพวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ชาวอี้กำลังเข้าใกล้ชายแดนอาณาจักรซางเข้ามาทุกที
ข่าวร้ายก็มาจากตะวันตกเช่นกัน เผ่าโจวโกรธเคืองกับการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของผู้นำผู้บริสุทธิ์ของพวกเขา และได้จับอาวุธลุกขึ้นมาก่อกบฏเช่นกัน ดังนั้นอาณาจักรซางจึงถูกขนาบข้างด้วยสงครามจากสองด้าน
แม้ว่าอาณาจักรซางจะแข็งแกร่ง แต่การบุกรุกทางทิศตะวันออกก็เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่เกินไป ถ้าเผ่าโจวโจมตีจากทางตะวันตกด้วยเหตุการณ์ทั้งหลายย่อมจะแย่ลงไปอีก
ในเวลานี้เสนาบดีได้เสนอว่า เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ซางและเผ่าโจวนั้นดีมาตลอดจนกระทั่งจีหลี่เสียชีวิต มันจึงเป็นไปได้ที่จะเอาใจพวกเขาด้วยการเสนอการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ทางการเมืองเป็นการชดเชย
วิธีนี้จะหลีกเลี่ยงภัยคุกคามที่ใกล้เข้ามาจากทางทิศตะวันตกได้อย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกันองค์หญิงมูมีความงดงามยิ่งนัก และไม่มีใครจะดีไปกว่านี้แล้ว