บทที่ 838 เหตุการณ์พลิกผัน
บทที่ 838 เหตุการณ์พลิกผัน
ทั้งสองเดินลงไปตามบันไดสุสาน ทว่าการตกแต่งหรือสภาพแวดล้อมรอบด้านในสุสานทุกอย่างกลับเป็นไปตามที่ซูอันจำได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งทำให้เขางงงันมาก
ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันยิ่งยากที่จะแยกแยะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในการทดสอบเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงภาพมายากันแน่
ซูอันใช้เวลาไม่นานในการค้นหาตราหยก และภาชนะทองสัมฤทธิ์ที่ใส่หัวของเจียงเจียงในการทดสอบ ซูอันได้ออกคำสั่งเฉพาะให้ฝังศพของเจียงเจียงลงในสุสานนี้ด้วยความกังวลว่าเขาจะไม่พบศพในภายหลัง ซึ่งมันก็เช่นนั้นเพราะศพของเจียงเจียงอยู่ในสุสานนี้จริง ๆ
เพ่ยเหมียนหมานมีสีหน้าแปลก ๆ “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันอยู่ที่นี่จริง ๆ เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เราประสบในการทดสอบนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
“ไม่มีทางที่เราจะอธิบายเรื่องบังเอิญนี้โดยอาศัยสิ่งที่เรารู้มาจนถึงตอนนี้ อย่าเดาเลย”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ซูอันก็ถูกดึงดูดให้มองไปยังโลงศพยักษ์ซึ่งวางอยู่ด้านข้าง
เพ่ยเหมียนหมานก็ถูกดึงดูดเข้าหามันเช่นกัน นางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าอยากเห็นคนที่ถูกฝังอยู่ข้างใน”
ซูอันจับมือนางและส่ายหัว “ข้าคิดว่า จะเป็นการดีกว่าถ้าเราไม่เปิดดู ขณะนี้เจ้าอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างความกังขาใดที่ไม่จำเป็นให้แก่ตัวเราเอง”
เพ่ยเหมียนหมานอึ้งครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มหวาน “เจ้าพูดถูก ข้าเป็นตัวของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองสงสัยสิ่งอื่นใดที่ไม่จำเป็น”
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาทั้งสองจึงหลีกเลี่ยงการคาดเดาใด ๆ เพิ่มเติม และทิ้งโลงของฟู่ห่าวไว้เบื้องหลัง
“ตอนนี้ข้ารู้วิธีออกจากมิติลับนี้แล้ว” เพ่ยเหมียนหมานกล่าว
“เราจะออกไปได้อย่างไร?” ซูอันถามอย่างกระตือรือร้น ทั้งสองคนอยู่ในมิติลับนี้นานเกินไปแล้ว พวกเขาสงสัยว่าชูเหยียนและคนอื่น ๆ กำลังทำอะไรอยู่ข้างนอก
แม้ว่าหมี่ลี่จะบอกว่าเวลาภายนอกไม่ได้ผ่านไปมากเท่ากับเวลาในการทดสอบ แต่พวกเขาอยู่ในมิติลับนี้เป็นเวลานานแล้ว สมมติว่ากระแสของเวลาภายในมิติลับนี้ไม่แตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริงมากเท่าที่พวกเขาคิด ผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องเผชิญเมื่อออกไปมันจะไม่ต่างอะไรจากเรื่องเศร้า
“รูปปั้นนกฮูกเป็นแกนหลักของมิติลับนี้ เราสามารถใช้มันออกจากมิติลับนี้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ…” เพ่ยเหมียนหมานตอบกลับ “อย่างไรก็ตาม หากเราออกจากมิติลับไปแล้ว มิติลับนี้จะไม่เปิดขึ้นมาอีกเลย”
“อย่างนั้นเรานำตราหยกนี้ไปมอบให้แก่เจียงเจียงก่อน” ซูอันกล่าว “ด้วยวิธีนี้ อย่างน้อยนางก็สามารถนำความสงบสุขไปให้พวกพ้องของนางได้”
ทั้งสองคนเชื่อในการรักษาสัญญาและรีบกลับไปที่ทางเข้าที่พวกเขาแยกจากนาง
“เจียงเจียง?” บริเวณโดยรอบมืดสนิท ซูอันมองไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงต้องเรียกชื่อนาง
แม้จะมืดมิด แต่พวกเขารู้ว่านี่คือถิ่นของเจียงเจียง และพวกเขาได้ผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย ดังนั้นจึงไม่กลัวเหมือนเมื่อก่อน
“นางอยู่ตรงนั้น” เพ่ยเหมียนหมานพูดพร้อมชี้นิ้ว
ซูอันรู้สึกประหลาดใจ แต่เดินไปตามทางที่นางกำลังชี้ มันยังคงมืดมิด “เจ้ามองเห็นนางได้อย่างไรในที่ ๆ มืดขนาดนี้?”
“ข้าคิดว่าเป็นเพราะรูปปั้นนกฮูกของฟู่ห่าว นกฮูกคือราชาแห่งราตรี ต่อให้อยู่ในความมืดมิด สิ่งต่าง ๆ ก็ยังดูแจ่มชัด ข้ามีความรู้สึกว่าถ้าข้าเชี่ยวชาญในการใช้รูปปั้นนกฮูกนี้ ข้าอาจจะสามารถสร้างเขตแดนความมืดและลากศัตรูเข้าไปได้ด้วยซ้ำ” เพ่ยเหมียนหมานกล่าวอย่างตื่นเต้น
“ถ้าเป็นเช่นนั้นได้จะยิ่งดีเยี่ยม ในอนาคตเมื่อเจ้าเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่า เจ้าจะได้มีโอกาสในการเอาชนะมากขึ้น” ซูอันยิ้มและชื่นชม
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกัน เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาพวกเขา “พี่ใหญ่ พี่สาว…”
นางวิ่งเข้าหาพวกเขาอย่างตื่นเต้น แต่เมื่อนางเข้าใกล้ทั้งสองคน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปในทันใด
ทว่าทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสีหน้าของนาง ซูอันมอบตราหยกให้นาง “เจียงเจียง นี่คือตราหยกที่เจ้าขอ”
เด็กสาวรับมันไปจากเขา เมื่อนางสัมผัสตราหยก ความสุขก็กลับมาบนใบหน้าของนาง “ขอบคุณ…ขอบคุณ”
เมื่อตราหยกอยู่ในมือของเจียงเจียง พื้นผิวของตราหยกสว่างขึ้นชั่วขณะก่อนที่แสงจะค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับตราหยกก็หายไปเช่นกัน
แต่ทว่าที่หัวไหล่ของนางกลับมีลวดลายที่คล้ายกับตราหยกปรากฏขึ้น
ซูอันเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ พวกเขาได้เรียนรู้ในการทดสอบว่าตราหยกชิ้นนี้คือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของอนารยชนตะวันออก แต่สำหรับเขาและเพ่ยเหมียนหมานมันดูเหมือนกับตราหยกทั่วไป มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างวิจิตรบรรจง แต่นอกเหนือจากนั้น พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นอะไรพิเศษเลย อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างออกไปเมื่ออยู่ในความครอบครองของเจียงเจียง
ถัดมา ซูอันยื่นภาชนะที่มีศีรษะให้นาง “เจียงเจียง นี่คงจะเป็นหัวของเจ้า…”
เขาต้องการจะกล่าวคำปลอบใจ แต่เมื่อหญิงสาวเห็นศีรษะของตัวเองดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที “ทุกคนที่มาจากอินซางจะต้องตาย!”
นางพูดอย่างเกรี้ยวกราด
ซูอันตั้งท่าป้องกันและดึงเพ่ยเหมียนหมานไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว พื้นดินที่ทั้งสองคนยืนอยู่เมื่อครู่พังทลายลงทันทีซึ่งเป็นผลจากคลื่นพลังมหาศาลที่เจียงเจียงปลดปล่อย
“เจียงเจียง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!?” ซูอันตวาดโกรธเคือง
เด็กสาวลอยอยู่กลางอากาศ ผมยาวสวยพลิ้วไสว “ชาวซางทุกคนต้องตาย! พวกเจ้าสองคนมีกลิ่นอายของชาวซางรุนแรงมาก พวกเจ้าเป็นชาวซางอย่างแน่นอน!”
ซูอันพูดไม่ออก มันอาจเป็นเพราะวิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์ที่เขาได้เรียนรู้ และรูปปั้นนกฮูกล้ำค่าของฟู่ห่าวกับหยกปัญญาแห่งสวรรค์ที่เหมียนหมานครอบครอง
อีกทั้งพวกเขายังเคยทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของราชวงศ์ซางมาหลายชั่วอายุคน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะไม่มีกลิ่นอายของชาวซางเลย
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง “มันคือเหตุผลที่…พวกเจ้าต้อง…ตาย!”
นางเอื้อมมือออกไป เสียงเริ่มก้องกังวานในสายลม การแสดงออกของซูอันและเพ่ยเหมียนหมานเริ่มแย่ลงในทันที
กุมารทองปรากฏตัวรอบหญิงสาวอีกครั้งและนักรบโครงกระดูกก็มารวมตัวกันเช่นกัน แม้กระทั่งเสียงฟู่ซึ่งบ่งบอกถึงการปรากฏตัวของงูประหลาดที่พวกเขาเห็นในหลุมใหญ่นอกสุสาน
ซูอันยังคงจำได้ว่างูเหล่านี้น่าปวดหัวมากแค่ไหนและเขาก็รีบหันไปหาเพ่ยเหมียนหมาน “เจ้าบอกว่าเรามีทางออกจากมิติลับนี้ไม่ใช่เหรอ?” เขาถาม “เราออกไปตอนนี้เลยได้ไหม?”
เพ่ยเหมียนหมานส่ายหัว “ยังไม่ได้” นางตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว “ข้าต้องการเวลาที่จะสร้างประตูมิติ ซึ่งข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะให้เวลาเรา”
นักรบโครงกระดูกที่กำลังใกล้เข้ามาได้ชักกระบี่แล้วเหวี่ยงพวกมันมาก่อนที่นางจะจบประโยค
ซูอันชักกระบี่ไท่เอ๋อร์และแทงสวนเข้าไปในหัวของนักรบโครงกระดูกที่ใกล้ที่สุด อย่างไรก็ตาม โครงกระดูกจำนวนมากพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็วแทนที่เพื่อนของมันที่ล้มลง
นอกจากนี้งูหลายตัวก็เลื้อยไปมาบนพื้นพ่นพิษใส่มนุษย์ทั้งสอง บางตัวถึงกับดีดตัวพุ่งเข้าหาเพื่อพยายามกัดพวกเขา
ทั้งสองพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรงอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นมีกุหลาบสีดำประหลาดดอกหนึ่งผลิบานตรงจุดกึ่งกลางการปะทะ มันสวยงามแต่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง โครงกระดูกและงูประหลาดทั้งหมดถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
นี่คือทักษะไม้ตายของเพ่ยเหมียนหมาน ‘กุหลาบมอดไหม้’ ก่อนหน้านี้ที่นางไม่เคยใช้มันเลยเป็นเพราะนางอยู่แต่ในสภาพที่บาดเจ็บร่อแร่ ทว่าขณะนี้นางอยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มที่แล้ว
“ข้าไม่เคยมีโอกาสใช้ทักษะนี้มาก่อน” เพ่ยเหมียนหมานกล่าวเสียงเบา
งูและนักรบโครงกระดูกที่เหลือหลั่งไหลเข้ามาราวกับกระแสน้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เจียงเจียงที่ลอยอยู่ในอากาศขมวดคิ้ว ราวกับว่ากำลังสั่งการบางอย่างกับกุมารทองที่อยู่รอบตัวให้จัดการกับเพ่ยเหมียนหมาน
เพ่ยเหมียนหมานตกตะลึง นางจำความทุกข์ทรมานที่นางได้รับในขณะที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกุมารทองได้ อีกทั้งกุมารทองก็มีความทนทานต่อเปลวไฟเช่นกัน ซึ่งทำให้มันเป็นคู่ต่อสู้ที่เลวร้ายสำหรับนาง
ซูอันกระโดดไปด้านข้างของนางอย่างรวดเร็ว กวัดแกว่งกระบี่ของเขาเพื่อป้องกันกุมารทองที่เข้ามา ตอนนี้เขารู้ว่าความพยายามของเขายังไม่เพียงพอ เขาต้องการใช้วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์ แต่สิ่งมีชีวิตรอบตัวเขาล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วหรือเป็นแค่งูที่น่าขยะแขยง เขาอาจจะสามารถกลืนกินอะไรก็ได้เมื่อเขาเชี่ยวชาญทักษะนี้ แต่ในระดับความเข้าใจในตอนนี้ของเขาไม่มีทางที่เขาจะทำเช่นนั้นได้
แต่เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ตัวประหลาดพวกนี้ทั้งหมดมีสติปัญญาต่ำ เขาอาจไม่มีทักษะใดที่ส่งผลกระทบใดต่อพวกมัน แต่เขารู้จักใครบางคนที่ทำมันได้!
เขารีบเรียกต๋าจี่และออกคำสั่งกับนาง
ดวงตาของเพ่ยเหมียนหมานเบิกกว้าง เมื่อนางเห็นหญิงสาวสวยปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับถือผีผาหยกอยู่ในอ้อมแขน ต๋าจี่ดึงสายผีผาเบา ๆ และท่วงทำนองที่ไพเราะก็เริ่มก้องกังวาน เหล่าตัวประหลาดทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น กุมารทอง นักรบโครงกระดูก หรือพวกงูทั้งหมดต่างหยุดการโจมตี
——————–