บทที่ 839 เจ้าน่าสงสาร
บทที่ 839 เจ้าน่าสงสาร
เสียงขับขานแห่งปีศาจ!
รายละเอียดทักษะ : ทำให้ตัวตนที่มีระดับการบ่มเพาะหรือสติปัญญาต่ำกว่า สูญเสียการรับรู้และกลายเป็นบ้าไปในทันที
แม้ระดับการบ่มเพาะของต๋าจี่อยู่ที่จุดสูงสุดของระดับที่สี่เท่านั้น ส่วนนักรบโครงกระดูกและกุมารทองมีระดับการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งกว่านาง อย่างไรก็ตามพวกมันทั้งหมดล้วนเหมือนกันคือ พวกมันมีสติปัญญาต่ำ
แม้ว่ากุมารทองจะมีความสามารถในการบงการจิตใจ แต่พวกมันก็ไม่ได้มีสติปัญญาสูงเท่าไรนัก
นักรบโครงกระดูกและกุมารทองต่างหยุดชงัก แม้ว่ากุมารทองไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาแต่ก็ง่ายพอที่จะสัมผัสได้ถึงความทุกข์ทรมานของพวกมัน
เกือบจะในทันทีโครงกระดูกเริ่มโจมตีพวกเดียวกันรอบตัว ทำให้เกิดความโกลาหลอย่างบ้าคลั่ง
พวกงูยิ่งแย่ลงไปอีก พวกมันพัวพันกันยุ่งเหยิงและฝังเขี้ยวพิษหรือพยายามทุบงูตัวอื่นด้วยร่างกายของพวกมันเอง
เพ่ยเหมียนหมานตกตะลึง นางเอนตัวพิงซูอันโดยไม่รู้ตัว
เจียงเจียงก็ตกใจเช่นกัน เสียงของต๋าจี่ใช้ไม่ได้ผลกับนาง เนื่องจากสติปัญญาและระดับการบ่มเพาะของนางนั้นสูงกว่า
หลังจากที่สูญเสียการควบคุมลูกน้อง เจียงเจียงได้รีบโบกมือ ส่งผลให้ลวดลายของตราหยกที่ไหล่ของนางเป็นประกายส่องแสงอาบไปยังร่างของกุมารทองที่อยู่ใกล้เคียงที่สุด แสงนั้นทำให้ร่างของกุมารทองเริ่มเติบโต
ในชั่วพริบตา ร่างของมันใหญ่ขึ้นจากขนาดเท่าทารกจนกลายเป็นขนาดยักษ์สูงสิบจั้ง[1] โดยมีเจียงเจียงยืนอยู่บนหัวของมัน!
ทั้งซูอันและเพ่ยเหมียนหมานแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น…
เจียงเจียงชี้นิ้วมาที่ทั้งสองคน และกุมารทองยักษ์ก็เริ่มขยับเข้ามาหาพวกเขา
แม้ว่ามันจะไม่ได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แต่แค่ก้าวใหญ่เพียงก้าวเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะย่นระยะทางได้หลายจั้ง
ฝีเท้าอันหนักหน่วงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสุสาน นักรบโครงกระดูกโชคร้ายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมันถูกบดขยี้เป็นเศษซากในทันที!
ไม่มีทางที่ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานจะต่อกรกับสิ่งนี้ได้โดยตรง ทั้งสองต่างพยักหน้าให้กัน และแยกย้ายกันไปหลบคนละทิศละทาง
กุมารทองยักษ์ตัวนี้ว่องไวอย่างน่าประหลาด ในทันทีที่ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานเคลื่อนไหว ฝ่ามือยักษ์กวาดมายังตำแหน่งที่พวกเขาสองคนยืนอยู่
ทั้งสองหลบอย่างขนหัวลุก ขณะที่เศษซากต่าง ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ
เจียงเจียงบนยอดกุมารทองยักษ์สั่งมันไปทางต๋าจี่ นางรู้ว่าเมื่อกำจัดผู้หญิงคนนี้แล้วลูกน้องของนางจะฟื้นคืนสติได้
ด้วยการแตะเท้าเบา ๆ ต๋าจี่ก็หลบเลี่ยงยักษ์ที่พุ่งเข้ามาได้อย่างสง่างาม ชุดของนางพลิ้วไหวทำให้นางดูเหมือนเทพธิดาจากสวรรค์
แม้ว่านางจะขาดวิญญาณ แต่นางก็ยังคงมีสัญชาตญาณในการต่อสู้ ดังนั้นนางจึงสามารถหลบการโจมตีที่มุ่งเป้ามาที่นางได้อย่างง่ายดาย
ซูอันรู้ดีว่าการทำแบบนี้ต่อไปเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ ไม่สำคัญว่ากุมารทองจะพลาดกี่ครั้ง พวกเขาจะถึงจุดจบหากถูกโจมตีเพียงครั้งเดียว
เขาเรียกจ้าววายุพุ่งไปทางหัวของกุมารทอง
เจียงเจียงดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง นางสั่งให้กุมารทองหลบไปด้านข้าง
การเคลื่อนไหวกะทันหันนี้หมายความว่าซูอันไม่มีที่สำหรับวางเท้า ขณะที่เขาเสียศูนย์กลางอากาศ เขาได้เหวี่ยงกระบี่ไท่เอ๋อร์ไปเสียบที่ไหล่ของกุมารทอง
ร่างกายของกุมารทองนั้นแข็งแกร่งและยากที่จะสร้างความเสียหาย แต่กระบี่ของซูอันนั้นถูกปกคลุมไปด้วยพลังปฐมบทเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงสามารถแทงฝังเข้าไปในร่างของมันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
กุมารทองร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวดและเหวี่ยงฝ่ามือขนาดใหญ่ตบไปที่ไหล่ของมันเอง
ซูอันยังคงอยู่ในท่าทางที่ไม่ถนัดนักและยังคงไม่สามารถจัดสมดุลร่างกายได้มากพอที่จะออกแรงได้อย่างเต็มที่ เขากำลังพิจารณาถึงตัวเลือกในการกระโดดกลับลงไปที่พื้นเพื่อหาโอกาสอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หากเขากระโดดกลับลงไป ความพยายามในครั้งต่อไปแบบเดียวกันนี้จะยิ่งยากกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ เพราะเจียงเจียงจะต้องระวังตัวยิ่งกว่าเดิม
เพ่ยเหมียนหมานหยิบรูปปั้นนกฮูกออกมา มันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วส่งเสียงกรีดร้องในขณะที่มันพุ่งเข้าหาซูอันเพื่อช่วยปิดกั้นฝ่ามือที่เข้ามาของกุมารทองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ซูอันใช้โอกาสนี้ระเบิดพลังชี่และกระโดดจากไหล่ของกุมารทองตรงไปที่หัวของมัน
ด้วยความตกใจกับการเคลื่อนไหวกะทันหันนี้ เจียงเจียงยกมือขึ้นส่งวิญญาณชั่วร้ายนับไม่ถ้วนบินเข้าหาเขา
ซูอันพ่นลมหายใจ เขาเรียกใช้พลังปฐมบทและฟาดฟันกระบี่ที่ปกคลุมไปด้วยพลังปฐมบทอันเข้มข้นอย่างรวดเร็วจนรอบตัวเขาบังเกิดริ้วแสงแห่งการฟาดฟันกระบี่สีขาวหนาแน่น เมื่อใดที่พวกวิญญาณร้ายสัมผัสกับกระบี่ พวกมันจะละลายไปราวกับหิมะที่ถูกเปลวไฟ
เจียงเจียงยกมือขึ้นและลวดลายตราหยกก็เปล่งประกายออกอีกครั้ง ลูกศรแสงสีน้ำเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบตัวนาง
นางดีดนิ้วและลูกศรทั้งหมดพุ่งเข้าหาซูอัน
อนารยชนตะวันออกได้รับการยกย่องในทักษะการยิงธนู
น่าเสียดายที่ความพยายามของเจียงเจียงไม่เป็นผล แม้ลูกธนูพุ่งเข้าใส่ซูอันและทะลุผ่านร่างเขาไปจริง ๆ แต่ร่างที่ลูกธนูพุ่งเข้าใส่นั้นเป็นเพียงร่างปลอม!
นางกำลังจะใช้ทักษะอื่น แต่แล้วร่างกายของนางก็แข็งทื่อ เมื่อกระบี่ถูกจ่อที่คอของนาง
ซูอันได้ใช้วิชาร่างก้าวทานตะวันหลบเลี่ยงไปข้างหลังนาง
“ทำไมเจ้าถึงแสดงความเมตตาต่อข้า?” เจียงเจียงพูดด้วยความยากลำบาก
แม้ว่าคมกระบี่จะไม่ได้สัมผัสที่ลำคอของนาง แต่นางก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผดเผาจากแสงสีขาวอันน่าสะพรึงกลัวที่โอบล้อมรอบกระบี่ อีกทั้งความเสียหายที่นางได้รับจากแสงสีขาวนี้ ทำให้นางไม่อาจฟื้นฟูกลับคืนมาได้ หากถูกกระบี่เล่มนี้แทง นางจะสลายหายไปในทันที…
ซูอันมองไปที่นางและถอนหายใจ “ชีวิตของเจ้าเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จัดได้ว่าน่าสงสารมากอยู่แล้ว ทำไมข้าจะทำให้ชะตากรรมของเจ้าน่าเศร้ามากยิ่งขึ้น? ข้ากับผู้หญิงของข้าไม่ใช่ชาวซาง เราเพิ่งเข้าร่วมการทดสอบ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีกลิ่นอายของอินซาง”
คงง่ายกว่าถ้าจะฆ่านาง แต่หญิงสาวคนนี้ถูกชาวซางจับในฐานะนักโทษและถูกใช้เป็นเครื่องบูชาอย่างโหดร้าย หัวของนางถูกโยนลงในภาชนะทองสัมฤทธิ์เพื่อนึ่ง และหลังจากนั้นนางต้องใช้ชีวิตอยู่ในมิติลับนี้เพียงลำพังในฐานะวิญญาณเป็นเวลานาน นางประสบชะตากรรมที่เกินความโศกเศร้าไปมากแล้ว
เจียงเจียงรู้สึกประทับใจกับสิ่งที่เขาพูด ดวงตาที่แดงก่ำของนางค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ “ข้าขอโทษ” นางพูดเบา ๆ “ข้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้”
“มันไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของข้ากับการที่ความเกลียดชังนี้จะฝังลึกอยู่ในกระดูกของเจ้า” ซูอันถอนกระบี่กลับ ความเกลียดชังที่อนารยชนตะวันออกมีต่อราชวงศ์ซางไม่ใช่สิ่งที่จะละทิ้งไปได้ง่าย ๆ
[1] สูงราวตึกสิบชั้นโดยประมาณ